สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และ KoreanKori อีกเช่นเคย
ตอนนี้น้องๆ มัธยมคงเริ่มสอบกลางภาคแล้ว รวมถึงเด็กมหา'ลัยก็จะเปิดเทอมแล้ว
ไปเรียนก็อย่าลืมพกร่มด้วยนะคะ ฝนตกแทบทุกวันเลยช่วงนี้
พี่ได้หนังสือภาษาเกาหลีเล่มหนึ่งมานานมากๆๆๆ แล้ว วันก่อนเพิ่งมีโอกาส
ได้หยิบมาอ่าน บอกเลยว่าเป็นหนังสือที่ดีมากๆ ค่ะ เพราะในหนังสือได้พูดถึง
การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จสำหรับคนอายุช่วง 20 ปี และได้ยกตัวอย่าง
หลายๆ เคสในเกาหลีที่เจ้าของธุรกิจได้เริ่มลงมือตั้งแต่อายุยังน้อย อ่านแล้วก็
มีหลายเรื่องที่ชอบค่ะ เลยอยากนำมาแบ่งปันกัน
총각네 야채가게
ร้านขายผักที่สนุกสนานที่สุดในโลก
ถ้าพูดถึงร้านขายผักผลไม้หรือแผงขายผัก เราคงนึกภาพคุณลุงคุณป้าที่มีอายุนั่งขายผักและปัดแมลงวันไปเรื่อยๆ แต่ในย่านคังนัม เกาหลีใต้ มีร้านขายผักแห่งหนึ่งที่แหวกแนวร้านขายผักทุกร้านที่เคยมีในโลกนี้ เพราะเขาไม่ได้ขายผัก แต่ "ขายความสนุกสนาน" ให้แก่ลูกค้าที่มาซื้อผักในร้าน ลูกค้าก็จะเพลินอกเพลินใจและหยิบผักผลไม้เต็มตะกร้ากลับบ้านไปทานอย่างมีความสุข ว่าแต่ความสนุกสนานที่ว่ามันคืออะไรล่ะ?
- ป้ายสินค้า ป้ายสินค้าในแผนกขายผักผลไม้ทั่วไปจะติดประมาณว่า พริก 100 กรัม ราคา 1,000 วอน แต่ที่นี่จะไม่ติดแบบนั้นค่ะ ทุกป้ายจะต้องมีลีลาลูกเล่นติดบอก อย่างมุมนี้ขายพริก ก็มีการติดว่า 고추부인 몸 꼬였네. หากแปลตรงตัวจะแปลได้ว่า "พริกคุณนาย รูปร่างเป็นเกลียว" เหมือนเป็นการบอกว่า พริกมีรูปร่างบิดเป็นเกลียวเหมือนหุ่นของคุณแม่บ้าน หรือ กินแล้วเผ็ดจนตัวบิดเป็นเกลียว อะไรทำนองนี้ค่ะ
- พนักงานในร้านทุกคนซึ่งเป็นผู้ชาย จะมีชื่อเล่นโดยจะมีป้ายแขวนคออยู่ โดยจะเป็นชื่อตลกๆ น่ารักๆ เพื่อให้ลูกค้าจำได้และได้เรียกใช้ได้ง่ายๆ ด้วยค่ะ อย่างพนักงานคนนี้ได้ชื่อเล่นว่า "โท-โอล" เพราะว่าหัวล้านเหมือนกับนักปรัชญาชื่อดังของเกาหลีที่หัวล้านและใช้นามปากกว่า "โท-โอล" นั่นเอง
- บรรยากาศในร้านจะต้องสนุกสนานตลอดเวลา พนักงานจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อลูกค้าเสมอ จะเป็นยังไงดูได้จากคลิปเลยค่ะ
สำหรับเจ้าของกิจการหรือ "อียองซอก" เรียนจบมหาวิทยาลัยจากสาขานันทนาการ จึงถือว่าเข้าทางมากๆ ค่ะที่ได้ใช้สิ่งที่เรียนมามาคิดพัฒนาไอเดียสนุกๆ ในร้านเพื่อเรียกลูกค้า โดยตอนแรกคุณอียองซอกก็เคยทำงานในบริษัทอีเวนท์ แต่วันหนึ่งก็อยากลองทำอะไรใหม่ๆ โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เขาได้รับการยอมรับและได้รับความไว้วางใจ
ในระหว่างที่คิด เขาก็เดินไปเรื่อยๆ ตามริมแม่น้ำฮัน แล้วก็เจอกับคุณลุงคนหนึ่งที่มาขายปลาหมึกอยู่เป็นประจำ เขาเลยมีโอกาสได้พูดคุยกับคุณลุงท่านนี้ ซึ่งคุณลุงนั้นก็มีชีวิตไม่แตกต่างจากเขาเลย เพราะคุณลุงก็อยากทำอะไรใหม่ๆ นอกเหนือจากตำราที่เรียนมา เลยออกมาขายปลาหมึก ดังนั้นถ้าจะบอกว่า ร้านขายผักของคุณอียองซอกได้แรงบันดาลใจมาจากร้านขายปลาหมึกก็คงไม่แปลก
ปัจจุบันร้านขายผักแห่งนี้มีชื่อเสียงมาก คุณอียองซอกก็เดินสายเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ตามสถาบันต่างๆ อยู่เสมอ มีชื่อเสียงขนาดที่ว่า เคยมีซีรีส์และละครเวทีเอาเนื้อเรื่องของร้านนี้ไปสร้างมาแล้วล่ะค่ะ เริดมั้ยล่ะ
ข้อคิดดีๆ จากคุณอียองซอก
비록 나이를 먹었다 해도 열정이 있다면 청춘이나 다름없으며
아무리 젊다 해도 열정이 없다면 늙은이나 다름없다.
แม้อายุมาก แต่หากยังมีความกระตือรือล้น ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กวัยรุ่น
แม้ยังอายุน้อย แต่หากไม่มีความกระตือรือล้น ก็ไม่ต่างอะไรกับคนแก่
|
"หากไม่กลัวความล้มเหลว มีไอเดียของตัวเอง
และมีความกล้า
ใครๆ ก็สามารถเป็นมาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก 2 ได้"
พักซูวัง เจ้าของแอพพลิเคชั่นชื่อดังของเกาหลี "iLoveCampus"
ในช่วงอายุ 20 ปี พักซูวังเรียนหนังสือไปด้วยและช่วยที่บ้านทำธุรกิจค้าขายไปด้วย ธุรกิจที่ว่าก็คือกิมจิและอุปกรณ์การแสดง จนวันหนึ่งก็เกิดความรู้สึกท้อแท้ ต่อมาเขาต้องไปเกณฑ์ทหารตามหน้าที่ผู้ชายเกาหลี พักซูวังรู้สึกว่ามีหนังสือหลายเล่มที่เขียนเกี่ยวกับการปรับตัวก่อนเข้าไปในกรม แต่ไม่มีใครเขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตทหารเกณฑ์ สุดท้ายเขาได้ออกหนังสือชื่อว่า "ฉันได้เรียนรู้ทุกอย่างบนโลกจากการเกณฑ์ทหาร" จนกลายเป็นหนังสือขายดีของหลายๆ ร้านเลยทีเดียว
จนในปี 2010 ที่เขาออกจากกรม เขาก็เริ่มคิดว่า ระหว่างเข้าทำงานเป็นพนักงานบริษัทกับทำธุรกิจของตัวเอง จะเลือกอะไรดี? เขามองไปรอบๆ และเริ่มคิดว่า ตัวเขาเองเก่งอะไร? สุดท้ายเขาก็เลือกทำแอพพลิเคชั่นซึ่งเป็นสิ่งที่เขาสนใจอยู่แล้ว
เขาเริ่มทำแอพพลิเคชันนี้ตอนอายุ 25 ปี โดยได้ไอเดียว่า "หากทุกๆ มหาวิทยาลัยในเกาหลีมีแอพพลิเคชั่นของตัวเอง ก็คงจะดี" ซึ่งในความจริงแล้วเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ทุกมหาวิทยาลัยที่จะมีแอพของตัวเอง ดังนั้นเขามีความคิดที่อยากจะสร้างแอพพลิเคชั่นที่จะให้ประสบการณ์ใหม่ๆ กับข้อเสนอพิเศษดีๆ แก่เหล่านักศึกษาในเกาหลี เหมือนเป็นการสร้างวัฒนธรรมในวิทยาเขตมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ สุดท้ายออกมาเป็นแอพชื่อ "iLoveCampus" จนกลายเป็นแอพพลิเคชั่นที่ได้ชื่อว่าดีมากที่สุดแอพหนึ่งของเกาหลี มีฐานผู้ใช้มากกว่า 5 แสนคน รวมข้อมูลกว่าร้อยมหาวิทยาลัย โดยมีหลายๆ ส่วนและหลายๆ กิจกรรมที่เกิดขึ้นในแอพนี้ เช่น
- หมวด CAMPUS 10 คือบทความสนุกๆ สำหรับนักศึกษาในรูปแบบคล้ายแม็กกาซีน
- หมวด ONE Campus สามารถเช็คที่นั่งว่างของห้องสมุดในมหาวิทยาลัยต่างๆ เช็คเมนูอาหารในโรงอาหารว่าวันนี้มีอะไรบ้าง รวมถึงเช็คตารางเรียนได้ด้วย
- Campus Attack สำหรับช่วงเวลาสอบกลางภาคและปลายภาค จะมีการส่งของขวัญและขนมไปให้เหล่านักศึกษาที่กำลังเครียดกับการอ่านหนังสือสอบด้วย
- Campus Party เรียนหนักก็ต้องปลดปล่อย โดยแอพพลิเคชั่นนี้จะจัดงานปาร์ตี้ของจริงแบบฟรีๆ ให้แก่เหล่านักศึกษา โดยเคยจัดมาแล้วเกือบ 10 ครั้งมีคนเข้าร่วมงานทั้งหมดเกือบ 1 หมื่นคนเลยทีเดียว โดยจะจัดตั้งแต่ตอนดึกจนถึงเกือบรุ่งเช้า ในงานจะมีคอนเสิร์ตและเครื่องดื่ม แน่นอนว่าไม่เก็บเงินสักวอนเลยล่ะค่ะ
เขาพยายามพัฒนาหาโอกาสใหม่ๆ และใช้ความกล้าทำมันให้เกิดขึ้น จนประสบความสำเร็จถึงทุกวันนี้ แค่ปีแรกที่สร้างแอพพลิเคชั่น มันก็สร้างรายได้ให้เขา 15 ล้านบาท ต่อมาในในปี 2012 ก็กระโดดไปเป็น 4 เท่าเพราะทำรายได้ประมาณ 60 ล้านบาท ปี 2014 นี้ไม่อยากคิดว่าเป็นเท่าไหร่แล้ว!
국가대표 떡볶이
ต๊อกบกกี ตัวแทนของชาติ
พูดถึงอาหารเกาหลี หลายคนคงนึกถึงกิมจิไม่ก็คิมพับ อาหารอีกอย่างที่เราพบเห็นบ่อยมากๆ ก็คือ "ต๊อกบกกี" เป็นก้อนแป้งผัดกับซอสเผ็ดๆ ค่ะ วันนี้จะพาไปรู้จักกับร้าน 국가대표 떡볶이 (กุกกาแทพโย ต๊อกบกกี) หากแปลชื่อร้านตรงตัวจะแปลว่า ต๊อกบกกี ตัวแทนของชาติ เพราะอะไรนะ??
ต๊อกบกกี มักถูกขายตามแผงอาหารข้างถนน หลังเลิกเรียนหรือเลิกงานก็จะมีนักเรียนและหนุ่มสาวออฟฟิศมายืนจิ้มกินกันอย่างหิวโหย ร้านกุกกาแทพโย ต๊อกบกกี ก็คือร้านที่ขายต๊อกบกกีเหมือนกัน โดยเปิดในปี 2010 เริ่มต้นทำกัน 3 คน ผ่านมาถึงตอนนี้ ขายเฟรนไชส์ร้านไปแล้วกว่า 150 สาขา!!
"คิมซังฮยอน" ผู้เริ่มธุรกิจร้านต๊อกบกกีนี้เล่าว่า เขาเรียนจบจากแคนาดาในปี 2008 พอกลับมาเกาหลีใต้ ก็อยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เคยทั้งขายมันหวาน ขายรองเท้าออนไลน์ แต่ก็เจ๊ง ผิดพลาดล้มเหลวหลายครั้ง
ต่อมาเขาเริ่มเปิดแผงขายต๊อกบกกีแถวมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา พอปี 2009 ก็ได้เริ่มขยับขยายเป็นร้านใหญ่แถวคาโรซูกิล เพราะอยากมีร้านอาหารดีๆ เป็นของตัวเอง ไม่อยากให้คุณแม่ต้องอายใคร ไม่ต้องเปียกฝนเวลาฝนตก โดยการทำต๊อกบกกีของร้านนี้จะยึดว่า อยากให้ลูกค้าได้ทานต๊อกบกกีในรสชาติเก่าๆ ดั้งเดิม เพราะปัจจุบันต๊อกบกกีนั้นรสชาติเริ่มไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว จึงใช้ชื่อร้านว่า 국가대표 떡볶이 (กุกกาแทพโย ต๊อกบกกี) เพื่อต้องการสื่อว่า ถ้าอยากกินรสชาติแบบดั้งเดิม ก็ต้องมาที่ร้านนี้ซึ่งเหมือนเป็นตัวแทนของต๊อกบกกีทั้งเกาหลีใต้(ขนาดนั้นเลย)
ดังนั้นบรรยากาศในร้านจึงแต่งสไตล์โบราณ ออกแนวเรโทรวินเทจ ให้บรรยากาศเก่าๆ ดั้งเดิมของเกาหลีแบบพื้นบ้านเป็นจุดขาย ไม่ซ้ำกับที่ไหน
เมื่อถามว่า การประสบความสำเร็จคืออะไร? คุณคิมซังฮยอนตอบว่า คือวันที่ได้เปลี่ยนรถคันใหม่ให้แม่ใช้ คือวันที่พาพนักงานทั้งร้านไปตรวจสุขภาพประจำปี คือวันที่พาพนักงานทั้งร้านไปหาอะไรอร่อยๆ กินด้วยกัน
นอกจากนี้ เขายังยึดหลักว่า "ได้แต่พอดี เหลือแต่พอดี" และ "อยากสร้างบริษัทหรือธุรกิจที่ไม่ใช่เพื่อคนสองคน แต่เพื่อคนหลายคนต่างหาก" นั่นคือ เมื่อเขาร่ำรวยจากการเปิดธุรกิจร้านต๊อกบกกีแล้ว เขาจึงไม่รับค่าเฟรนไชส์จากคนที่มาขอซื้อเพื่อไปเปิดต่อ เพราะเชื่อว่าตัวเองได้รับมามากพอแล้ว จึงอยากเปิดโอกาสให้คนอื่นบ้าง รวมถึงหากมีคนถามสูตรการทำต๊อกบกกี เขาก็ยินดีบอก ไม่ได้ปิดเป็นความลับแต่อย่างใด
เป็นยังไงคะกับ 3 เรื่องที่นำมาฝาก ชอบเรื่องไหนกันบ้าง จริงๆ ยังมีอีกเพียบ
ใครอยากอ่านตอน 2 ขอเสียงคอมเม้นท์หน่อยจ้าาา
Special Thanks : 20대 창업으로 세상에 뛰어들어라
8 ความคิดเห็น
รับสมัครพนักงานสักคนมั้ยค่ะ? จะรีบบินไปเกาหลีอย่างไวค่ะ?
ชอบทุกเรื่องเลยค่ะ อยากดูตอนต่อไป
I like it!
อยากอ่านอีกค่า รู้สึกมีแรงใจขึ้นเยอะเลยค่าาา
สุดยอดเลยค่ะ ชอบมากเลยทั้ง 3 เรื่อง ^^ รู้สึกว่าคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอะไรใหม่ๆแบบนี้สิถึงจะประสบความสำเร็จ