น้องๆ ลองหันไปมองรอบๆ ห้องเรียน นอกจากหน้าตาของเพื่อนแต่ละคนจะแตกต่างกันแล้ว "สีผิว" ยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันไปด้วย บางคนก็ขาวมากกกกกก บางคนขาวเหลือง บางคนก็ผิวสีแทน หน้าตาคมเข้มแบบไทยๆ แค่ในห้องเรียนยังขนาดนี้ ถ้าดูจากทั่วโลกก็จะเห็นว่าแต่ละประเทศก็มีโทนสีผิวที่แตกต่างกัน รู้มั้ยว่าเป็นเพราะอะไร?
เมื่อลองแบ่งสีผิวของคนบนโลกนี้แล้ว พอจะแบ่งได้ 5 ประเภทคร่าวๆ คือ ผิวขาว ผิวสีน้ำตาลอ่อน ผิวสีน้ำตาล ผิวสีน้ำตาลแก่ และผิวดำ ซึ่งเกิดจากพันธุกรรมของแต่ละชนชาติ รวมถึงสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศต่างๆ ซึ่งองค์ประกอบหลักที่ทำให้คนเรามีสีผิวต่างกันก็คือ สารเมลานินหรือเม็ดสีนั่นเอง
สารเมลามิน จะอยู่ในชั้นหนังกำพร้าส่วนล่างสุดหรือชั้น สตราตัม บาซาเล(Stratum basale) สร้างจากเซลล์ผิวหนังที่เรียกว่าเมลาโนไซต์ เม็ดสีนี้จะมีสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงดำ กระจายตัวอยู่ที่ชั้นหนังกำพร้า ปริมาณของเม็ดสีจะเป็นสิ่งที่กำหนดให้เรามีสีผิวแตกต่างกัน พูดง่ายๆ ก็คือ คนที่ผิวขาวก็จะมีความหนาแน่นของเม็ดสีน้อย โดยเฉพาะชาวยุโรป ส่วนคนที่ผิวคล้ำจะมีความหนาแน่นของเม็ดสีมาก เช่น ชาวนิโกร ชาวแอฟริกัน เป็นต้น ส่วนโทนเอเชียแบบบ้านเราก็จะออกเป็นขาวเหลือง ซึ่งถือว่ามีปริมาณเม็ดสีที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
แล้วอะไรเป็นปัจจัยให้เม็ดสีเมลานินทำงาน? แน่นอนว่า "แสงแดด" เป็นตัวการหลักทีเดียว เมื่อผิวโดนรังสีอัลตราไวโอเลตจากแดดปุ๊บ เมลานินก็จะเกิดปฏิกิริยามีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผิวจึงคล้ำขึ้นชั่วคราว สักพักก็จะกลับมาเป็นสีผิวเดิม เหมือนเวลาเราไปยืนตากแดดซักชั่วโมง ก็จะพอรู้สึกตัวเลยว่าดำขึ้นแหงๆ แต่ถ้าอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งสร้างเม็ดสีมากขึ้นอีก ผิวคล้ำๆ ที่เกิดขึ้นก็จะอยู่ค่อนข้างนาน ต้องใช้เวลาในการกลับคืนสู่สภาพเดิม เหตุการณ์นี้เห็นชัดจากการไปเล่นทะเล กลับมาทีเป็นรอยกางเกงเลยทีเดียว
สาเหตุที่เมลานินถูกกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีมากขึ้นเมื่อเจอรังสีจากแดดเพราะ เมลานินกำลังทำหน้าที่ช่วยป้องกันอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตให้กับเรา เปรียบเสมือนแผ่นกรองแสง และช่วยดักจับอนุมูลอิสระ สาเหตุที่ทำให้เราเป็นมะเร็งผิวหนังอีกด้วย
ดังนั้นเมื่อรู้ที่มาแบบนี้แล้ว ก็ต้องเข้าใจสิ่งที่ธรรมชาติให้มาแต่ละประเทศค่ะ อย่างบ้านเราแดดแรงในช่วงหน้าร้อน ก็อย่าได้คิดว่าผิวจะขาวใสวิ๊งเหมือนชาวยุโรปที่มีเพียงแสงแดดอ่อนๆ คอยให้ความอบอุ่น ร่างกายจึงไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างเม็ดสีขึ้นมามากมาย ตรงกันข้ามกับประเทศโซนร้อนอย่างแอฟริกา ต้องเจอแสงแดดจัดๆ เม็ดสีจึงถูกสร้างขึ้นมามากเพื่อป้องกันอันตรายจากแสงแดดนั่นเอง เพราะฉะนั้นนี่ถือว่าเป็นข้อดีของเมลานินเลยนะ^^
เอาล่ะ คราวนี้ลองมาดูกันซิว่า สีผิวแต่ละเฉดสี เมื่อเจอแสงแดดแล้ว จะมีปฏิกิริยาต่อแสงแดดยังไงกันบ้าง
ถือว่าเป็นสีผิวที่โดนทำร้ายง่ายที่สุด เพราะมีเซลล์เม็ดสีน้อย ดังนั้นเมื่อเจอแสงแดดแล้วก็จะรับแสงแดดได้ไวที่สุด ผลที่ตามมาคือ ผิวอาจไหม้แดดได้ง่ายหากไม่มีการป้องกันจากครีมกัดแดด เช่น อาจเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน พอง ถ้าตากแดดจัดมากๆ เช่น ว่ายน้ำ กลับมาผิวอาจจะลอกเป็นแผ่นๆ ได้ แต่สีผิวจะไม่ค่อยเปลี่ยนไปคล้ำเท่าไหร่
มีปฏิกิริยาไวต่อแสงแดดพอๆ กับผิวขาว เมื่อผิวโดนแดดเผาจะเป็นรอยคล้ำแดง แสบพอง แต่ถ้าผ่านไปซักพักโดยไม่โดนแดดสีผิวก็จะกลับมาเป็นสีเดิม
คนที่มีสีผิวเข้มขึ้นมาอีกนิด ความไวต่อแสงปานกลาง อาการแสบร้อนพบได้น้อย แต่ปัญหาใหญ่ คือ จะดำได้ง่ายมาก :(
เป็นผิวที่ไวต่อแสงแดดน้อยมาก แต่อย่าเพิ่งดีใจว่าจะไม่มีทางผิวคล้ำเพิ่มขึ้นนะ เพราะความจริงแล้วผิวสีน้ำตาลแก่ก็เป็นผิวที่คล้ำขึ้นได้ง่ายเหมือนกัน
เป็นผิวที่ไม่มีปฏิกิริยาไวต่อแสงแดด ผิวจะไม่มีอาการไหม้แดดเหมือนสีผิวอ่อนๆ ก่อนหน้านี้ แต่ผิวจะมีสีคล้ำขึ้นในทันทีที่คุณถูกแดด แรงอะ T^T
แสงแดดถือเป็นวายร้ายที่จะทำลายผิวของเรา บางคนรู้คำตอบนี้ ทุกวันนี้จึงต้องพกร่มไว้กันแดด พยายามทำตัวไม่ให้โดนแดดตลอดเวลา แบบนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนะคะ เพราะยังไงร่างกายของเราก็ควรได้รับวิตามินดีจากแสงแดดบ้าง โดยเฉพาะในช่วงเช้า แต่แดดกลางวันแนะนำให้เลี่ยงเลย
อีกวิธีดูแลผิวตัวเองที่อยากแนะนำ คือ หันมาทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ให้เหมาะกับสภาพผิวและสภาพแวดล้อมที่เราออกไปเจอจะดีกว่านะ
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
ดร.น.พ. เวสารัช เวสสโกวิท
หัวหน้ากลุ่มงานพันธุศาสตร์ระดับโมเลกุล สถาบันโรคผิวหนัง
ขอขอบคุณรูปภาพประกอบจาก
http://medicalera.com/info_answer.php?thread=20337,
www.widemagazine.com, www.womanandkid.com
42 ความคิดเห็น
ดำง่ายจริงๆ(ย้ำว่าดำง่ายมากๆ)
ไม่จำเป็นจริงจริ๊งงง ก็ไม่ค่อยให้โดนแดดเลยอ่ะ
มันแสบโค๊ดๆ เวลาไหม้มันก็น่าเกลียดมาก ;_______;
มันไๆม่เคยดำเลยอ่ะ ขนาดตากแดดแค่ไหนก็ตามที พอมันดำ ผิวก็จะลอกเองกลับมาขาวอีกรอบ
อิจฉามากๆ TT
เอาลิ้งมาให้จร้า http://nookslim.igetweb.com/