น้องๆ เคยมีความรู้สึกเบื่อหน้าตัวเอง หรือไม่ชอบหน้าตัวเองบ้างมั้ยคะ (พี่มิ้นท์ไม่ได้หาเรื่องนะคะ^^) คนเรามีความรู้สึกนี้กันได้ แต่จะรู้สึกก็ต่อเมื่อส่องกระจกแล้วรู้สึกวันนั้นเราดูโทรมจริงๆ เพราะโดยพื้นฐานแต่เดิมคนเราชอบชมตัวเองหรือมองเข้าข้างตัวเองมากกว่าค่ะ แต่ถ้าใครที่มองแล้วถึงขั้นเกลียดหน้าตัวเองตลอด ระวังจะเป็น "โรคดูถูกตัวเอง" นะคะ
"โรคดูถูกตัวเอง" (Body Dysmorphic Disorder) มีอีกชื่อที่ฟังดูแปลกไม่แพ้กันคือ "โรคมองตัวเองในแง่ร้าย" โรคนี้ไม่ได้มีอาการทางร่างกายที่แสดงออกมาชัดเจน หากแต่เป็นอาการทางจิตวิทยา โดยคนที่เป็นโรคนี้จะเกลียดตัวเองมากๆ รู้สึกไม่พอใจรูปร่างหน้าตาของตัวเองตลอดเวลา คิดว่าใบหน้าของตัวเองผิดปกติ ไม่สมส่วน ไม่สวย ไม่หล่อ หน้าตาแย่ ทนเห็นหน้าตัวเองไม่ได้ ทั้งๆ ที่หน้าตาของคนนั้นก็ดูปกติเหมือนคนอื่นปกติทั่วไป
ผลที่ตามมาคือ ผู้ที่ป่วยจะมีอาการย้ำคิดย้ำทำ ส่องกระจกมองหาจุดบกพร่องอยู่ตลอด หลายครั้งพบว่าคนที่เป็นโรคนี้จะพ่วงมากับโรคซึมเศร้าด้วย เพราะเมื่อมองว่าหน้าตาตัวเองแย่มาก ก็ทำให้ขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิต การเข้าสังคมก็ลำบาก หนักขั้นถึงก็อยากฆ่าตัวตายเพราะความบกพร่องทางหน้าตาของตัวเอง แต่ในขณะที่อีกส่วนใหญ่ๆ จะแก้ไขปัญหาด้วยการไปทำศัลยกรรม จนถึงขั้นเสพติดการศัลยกรรมเพื่อต้องการให้ตัวเองดูดีขึ้นเรื่อยๆ เช่น ทำจมูกมา 3 รอบก็ยังมองว่าตัวเองไม่สวยก็ต้องไปทำใหม่ เท่านั้นไม่พอต้องไปฉีดนู่นเสริมนี่ ทั้งๆ ที่การเสพติดศัลยกรรมหรือทำศัลยกรรมมากเกินไปอาจทำให้รูปร่างหน้าตาแปลกไปกว่าเดิม
(ภาพด้านซ้ายคือ Jocelyn Wildenstein ผู้ที่ติดการศัลยกรรมอย่างหนัก เพราะพยายามทำให้สวยเอาใจสามีที่ไปมีกิ๊ก แต่สุดท้ายสามีก็ทิ้งไปอยู่ดี)
(ภาพด้านซ้ายคือ Jocelyn Wildenstein ผู้ที่ติดการศัลยกรรมอย่างหนัก เพราะพยายามทำให้สวยเอาใจสามีที่ไปมีกิ๊ก แต่สุดท้ายสามีก็ทิ้งไปอยู่ดี)
ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมถึงเป็นโรคนี้ได้ ยังมีที่มาไม่แน่ชัดค่ะ แต่โดยรวมก็มีหลายปัจจัย กรรมพันธุ์ก็มีส่วนหากครอบครัวมีประวัติเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน หรือเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ นอกจากนี้ในทางจิตวิทยาแล้ว เรื่องราวในชีวิตค่อนข้างมีผลมากทีเดียว เช่น ตอนเด็กโดนเพื่อนล้อเรื่องหน้าตา หรือมีปมในใจที่เกี่ยวกับผิวพรรณใบหน้าที่เคยทำให้อับอายมาก่อน เช่น เป็นโรคผิวหนัง เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้พบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายค่ะ แต่ช้าก่อน! ยังไม่หมดค่ะ อีกปัจจัยที่มีการพบเพิ่มเติมคือ คนที่เป็นโรคนี้จะมีการใช้สมองซีกซ้ายมากกว่าคนทั่วไป ซึ่งสมองซีกซ้ายจะเป็นด้านที่เกี่ยวกับด้านวิชาการ การคิด ดังนั้นคนที่ใช้สมองซีกซ้ายมากจะเครียดง่าย จริงจังกับทุกเรื่องเลยค่ะ ดังนั้นใครไม่อยากเป็นโรคนี้ ห้ามลืมเรื่องสำคัญเลยคือ อย่าเครียดค่ะ
มาที่การรักษากันบ้าง คนที่เป็นโรคนี้ไม่สามารถรักษาหายด้วยการศัลยกรรมนะคะ ยิ่งทำก็เหมือนกับการพยายามหนีความจริงไปเรื่อยๆ แถมทำมาแล้วก็ยังอคติกับหน้าตัวเองเหมือนเดิม ซึ่งการรักษาโรคนี้ต้องอาศัยจิตแพทย์ เพราะอาการที่เกิดขึ้นมาจากจิตใจของผู้ป่วยที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเอง ดังนั้นการรักษาจึงต้องเริ่มต้นที่วิเคราะห์ด้านจิตใจ เพื่อหาแนวทางรักษาต่อไป แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการพร้อมกับโรคซึ่มเศร้าด้วยแล้วก็อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยยาควบคู่ไปด้วยค่ะ
ไม่น่าเชื่อว่าแค่เรื่องความสวยความหล่อ จะทำให้เกิดโรคประหลาดๆ แบบนี้ได้ด้วย ถ้าน้องๆ อยากรู้ว่าตัวเองเข้าข่ายโรคดูถูกตัวเองหรือเปล่า พี่มิ้นท์มีคำถามคัดกรองการวินิจฉัยโรคนี้มาด้วยค่ะ ลองตอบกันดู
1. คุณเคยคิดมากเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของคุณหรือไม่ ส่วนไหนของร่างกายที่คุณไม่ชอบ และรู้สึกว่าส่วนนั้นทำให้ดูน่าเกลียด ไม่มีใครคบหรือไม่
2. ในแต่ละวันคุณใช้เวลากี่ชั่วโมงในการคิดเกี่ยวกับส่วนนั้น
3. คุณตรวจสอบส่วนนั้นวันละกี่ครั้ง (รวมการส่องกระจกหรืออะไรก็ได้ที่สะท้อนภาพหรือการสัมผัสด้วยนิ้วมือ)
4. ส่วนนั้นขัดขวางความสามารถในการทำงาน การเรียนหรือหน้าที่หรือไม่
เห็นคำถามไปแล้วมีใครตอบว่าใช่ทุกข้อหรือเปล่า (ถ้าใช่หมด อาจเข้าข่าย รีบหาหมอดีกว่านะคะ ><)
อย่างไรก็ตามขอสรุปอีกนิดว่าโรคนี้เป็นอาการทางจิตวิทยา และไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ทำศัลยกรรมจะเป็นโรคนี้ เพราะคนปกติทั่วไปก็ย่อมมีความไม่พอใจบางส่วนของร่างกายอยู่แล้ว ซึ่งการรักษาแต่งเติมเสริมในระดับพอดีก็ช่วยสร้างความมั่นใจขึ้นมาได้ แต่ถ้าไม่พอใจรูปร่างหน้าตาจนเครียด ไม่กล้าเข้าสังคม จิตตกทุกครั้งที่ส่องกระจก หรือกังวลจนเกินความพอดีไป ถึงจะเข้าข่ายโรคดูถูกตัวเองค่ะ
ดังนั้นฝากน้องๆ ชาว Dek-D.com ซึ่งเป็นวัยที่กำลังอยากสวยอยากหล่อ ก็อย่าไปหลงค่านิยมทางสังคมแบบผิดๆ มากจนเกินไป แค่เราเกิดมาครบ 32 ก็ถือว่ามีบุญแล้ว รูปร่างหน้าตาเป็นของภายนอกค่ะ เมื่อถึงวัยทุกอย่างเข้าที่ ความสวยหล่อก็จะมาเอง ดีกว่าทำไปทำมาแล้วหน้าแย่ ไม่รู้จะไปเอาผิดกับใครนะคะ :)
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงและรูปภาพประกอบจาก
นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์,
www.oknation.net/blog/print.php?id=854087,
www.theapricity.com, www.drmarcells.com.au,
www.examiner.com/article/body-dysmorphic-disorder-result-of-childhood-bullying,
http://cosmeticsurgeryoz.com/Body-Dysmorphic-Disorder.htm,
นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์,
www.oknation.net/blog/print.php?id=854087,
www.theapricity.com, www.drmarcells.com.au,
www.examiner.com/article/body-dysmorphic-disorder-result-of-childhood-bullying,
http://cosmeticsurgeryoz.com/Body-Dysmorphic-Disorder.htm,
49 ความคิดเห็น
เราไม่เคยซีเรียสอะไรขนาดนั้นนะ
จริงอยู่ที่หน้าตาเราธรรมดาๆ ไม่ดีอะไร และยอมรับว่าก็อยากสวย
แต่ไม่ถึงกับมาดูถูกตัวเอง
เราว่าเราเอาเวลาที่คิดน้อยใจ เสียใจในรูปลักษณ์ตัวเอง ไปหาอะไรทำที่มันมีค่าจะดีกว่าอีก #โลกสวย 555
เราเคยเห็นอยู่อ่ะ ในหนังที่แบบไม่พอใจหน้าตาตัวเอง สามีมีกิ๊ก ก็เลยศัลยกรรมจนเป็นหน้าแมว ที่เกาหลีนะ เขาาคงเอาหนังเรื่องนี้มาจากเรื่องจริง
ไม่ดูถูกใบหน้าตัวเองหรอกฮะ แต่ว่าเกลียดความเข้าใจยากของตัวเองแทนนะฮะ =w=
ผมคิดว่าการพอใจในสิ่งที่ตนเองมี นี่มันดีที่สุดแล้วครับ
บางทีส่องกระจกเราก็ไม่พอใจหน้าตัวเองมากๆเลย
บางทีเราก็มองว่าตัวเองสวยขึ้นอยู่กับทรงผมอ่ะ 55555555
บางทีก็คิดว่าปรับปรุงดูแลตัวเองนิดหน่อยเดี๋ยวก็สวย
โดนเพื่อนแซวบ่อยๆ ว่าเสียงแปลกๆ (เสียงแหบๆ ค่ะ) พอโดนแซวก็จะเงียบไปนานเลยค่ะ ไม่กล้าพูด
แต่ตอนหลังๆ ไม่สนใจแล้ว ถ้ายังมีคนมาแซวอีกตอนนี้จะหาข้อเสียในตัวเขาแล้วแซวกลับมั่ง
ส่องกระจกมองหาจุดบกพร่อง >>> บ่อยค่ะ = ="
เป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเองด้วย+โดนล้อปมด้อยบ่อยด้วย T^T
แต่ก็ไม่ได้ขนาดนี้นะ บางทีก็คิดว่าตัวเองสวยเหมือนกันค่ะ แล้วแต่องค์ประกอบจะพาไป เช่น ทรงผม ชุด มุม(กล้อง) >> การแต่งภาพค่ะ 5555 ความสุขเล็กๆ :)
เป็นเหมือนกันค่า ส่องกระจกแล้วจะต้องมองหาจุดบกพร่องของตัวเอง
อยากทำยังงั้น ยังงี้บนหน้า อยากสวยแบบนั้นแบบนี้
แต่พอย้อนมองหลาย ๆ คน มันก็ทำให้เรามีกำลังใจนะค่
คนเราไม่ควรที่จะดุถุกรูปลักษณ์ตัวเองนะ กิกิ
ต้องคิดว่า เรา สวย เสมอ ยิ้มเข้าไว้ค่าาาาาา
บางทีเห็นแล้วก็หงุดหงิด แต่ก็ไม่สนใจจนชินแล้ว
เรารักสวยรักงามนะแต่ไม่ยึดติดขนาดนี้ รู้สึกว่าไม่มีดั้งแต่ไม่เคยคิดศัลเพราะคิดว่ายังเด็กอยู่บีบจมูกตามสูตรพันทิปเด็กดี ก้อน่าจะได้ผล เราตาชั้นเดียวไม่เคยคิดศัลเราว่าเราตาโตแต่ตาชั้นเดียวก้อยังดีกว่าตาตี่ กรีดอายไลน์เนอร์เอาก้อได้(รอโตๆ) คนเรามีเสน่ห์ของตัวเองค่ะ แต่งนิดแต่งหน่อยรู้จักดูแลตัวเองบ้างก้อสวยแล้วค่ะ
เราเคยคิดน่ะว่าเราอ้วนเพราะพี่ชายชอบล้อ พอเราบนกับคนอื่นแล้วเขาก็บอกมาว่าถ้าเธออ้วนเราก็ช้างนะสิ หลังจากนั้นก็เลยเลิกคิดว่าตัวเองอ้วน พี่ชายจะว่ายังไงก็ช่าง
#ดูแลตัวเอง ทานอาหารที่มีประโยช์ ยังดีกว่าไปทำศัลยกรรมละน่ะ ^^
เฮือกกกกกกกกกก
ว่าแต่ตัวเองไม่สวยขาใหญ่บ้างอะไรบ้าง (มันคือความจริง)55
แต่คนอื่นก็จะบอกว่าอ้วนตรงไหนผอมอยู่ เราก็จะเถียงอีก เหอะๆ
แต่ยังไงก็คงต้องพอใจในสิ่งที่ตนมีแล้วล่ะค่ะแม่กับพ่อบรรพบุรุษให้มาแค่นี้
บางทีเราคิดว่า"เราหน้าตาอัปลักษณ์ขนาดนี้เลยหรอ"บ่อยมาก
ใช่ 3 ข้อเลยค่ะ กำลังจะบ้าใช่ไหม ?
คิดเสมอเลยว่าหน้าตัวเองมันแปลก ไม่ใช่คิดว่าไม่สวยนะ แต่มันแปลก ทั้งๆที่ก็มีหู ตา จมูก ปาก หน้าผาก ขนตา ผิวหนัง เหมือนคนทั่วๆไป
1. คุณเคยคิดมากเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของคุณหรือไม่ ส่วนไหนของร่างกายที่คุณไม่ชอบ และรู้สึกว่าส่วนนั้นทำให้ดูน่าเกลียด ไม่มีใครคบหรือไม่
ก็เคยนะ เราโดนล้อเรื่องลงพุง ขาลายแถมทั้งใหญ่ทั้งตัน ดั้งแหมบ ตัวเตี้ย แล้วก็ปากห้อยบ่อยมาก แม้แต่พ่อแม่ก็ยังล้อเราง่ะ เคยคิดจะตัดขาทิ้งซะด้วยนะ (ปล.เราขาลายเพราะน้ำเหลืองไม่ดีแล้วก็แพ้ง่ายมากน่ะ เป็นมาตั้งแต่3ขวบจนอายุ22ก็ยังไม่หาย)
2. ในแต่ละวันคุณใช้เวลากี่ชั่วโมงในการคิดเกี่ยวกับส่วนนั้น
คิดทุกทีที่เห็นมันเลย แต่ไม่รู้ว่านานขนาดไหน
3. คุณตรวจสอบส่วนนั้นวันละกี่ครั้ง (รวมการส่องกระจกหรืออะไรก็ได้ที่สะท้อนภาพหรือการสัมผัสด้วยนิ้วมือ)
ทุกทีที่มือว่างหรือเดินผ่านกระจกเลยล่ะ เวลาคลำเจอเม็ดหรือสะเก็ดแผลบนผิวนี่เราแกะจนเลือดไหลเลย
4. ส่วนนั้นขัดขวางความสามารถในการทำงาน การเรียนหรือหน้าที่หรือไม่
ถ้าตอบตามสภาพร่างกายนี่ไม่นะ ยังเดินได้กินข้าวได้ปกติ แต่มันไม่มั่นใจเวลาแต่งตัวอะ เกลียดสายตาที่คนมองเราเวลาใส่ขาสั้นมาก
สรุปว่าเราเสี่ยงจะเป็นใช่มั้ย อาการสมาธิสั้นเราก็ยังรักษาไม่หายเลยนี่อาจจะได้โรคใหม่อีกแล้ว งานนี้จิตแพทย์ประจำตัวเรารวยเละ