สวัสดีจ้าชาว Dek-D.com ปุบปับไม่ทันไร น้องๆ ก็เปิดเทอมกันแล้ว เวลาพักผ่อนพวกเรา ช่างแสนสั้น ไม่เป็นไรค่ะ พักกันเต็มที่แล้ว ก็อย่าลืม มาตั้งใจ เรียนกันให้เต็มที่เหมือนเดิมนะคะ เมื่อเต็มที่กับการพักผ่อนแล้ว ก็มาเต็มที่จัดเต็ม กับการฟิตสอบกันบ้างค่ะ ซึ่งช่วงที่ผ่านมา พี่แนน นำเสนอเรื่องราว เทคนิคเด็ดเกี่ยวกับการสอบวัดผล แบบอินเตอร์กันมาตลอด สำหรับวันนี้ ก็มีอีกหนึ่ง การสอบที่เรียกว่า อินเตอร์สุดๆ และมีความสำคัญ สำหรับใช้สำหรับการเรียน รวมไปถึงการทำงาน หรือ การเดินทางไปต่างประเทศด้วย นั่นก็คือ การสอบ IELTS นั้นเองค่ะ
การสอบ IELTS มีอะไรบ้างที่ควรรู้ โดยเฉพาะการสอบในแต่ละพาร์ทที่หินสุดๆ ซึ่งคนที่จะมาให้คำแนะนำก็คือ Mr.Volodymyr Sych หรือ อาจารย์โววา แห่ง จุฬาติวเตอร์ หนึ่งทีมอาจารย์ของพี่เปิ้ลนั่นเองค่ะ ไปฟังกันเลย!!
-
พี่แนน : สวัสดีค่ะอาจารย์โววา (แอบดีใจที่อาจารย์พูดไทยได้) อยากให้อาจารย์อธิบายถึง IELTS สักนิดค่ะว่า คืออะไร นำไปใช้อะไรได้บ้าง?
-
อ.โววา : IELTS หรือ International English Language
Testing System เป็นการทดสอบที่เหมาะสำหรับน้องๆ ที่อยากจะไปเรียนต่อต่างประเทศ หรือในเมืองไทย หรือคนที่อยากไปสมัครวีซ่า รวมทั้งใช้สมัครงานด้วยครับ
-
พี่แนน : การสอบ IELTS TOEFL CU-TEP 3 อย่างนี้ต่างกันยังไงบ้างคะ?
-
อ.โววา : สำหรับ CU-TEP เหมาะกับน้องที่อยากสอบเข้า อินเตอร์ จุฬา ขอยกตัวอย่างที่เห็นชัดสุดคือในพาร์ท listening จะเป็นการฟังกับลำโพงและข้อสอบเป็นกากบาท แต่สำหรับ IELTS จะฟังกับหูฟังส่วนตัวปรับเสียงดังเบาได้ และเป็นการสอบหลายแบบเช่น เติมคำ ดูรูปภาพ กากบาท ส่วน IELTS กับ TOEFL ควรเลือกสอบอะไรดี? น้องต้องถามตัวเองก่อนว่า จะสอบเพื่อนำไปใช้ทำอะไร เช่น ต้องการสอบเพื่อไปต่างประเทศอย่างเดียวรึเปล่าถ้าใช่ก็เลือกสอบ IELTS General Training จะดีกว่า แต่ถ้าต้องการสอบเพื่อเรียนต่อต่างประเทศ ทั้ง IELTS แบบ Academic หรือ TOEFL ต่างก็ได้มาตรฐานทั้งคู่ ต่างตรงที่หากเป็น TOEFL นั้นจะต้องมีการรวมหลายทักษะในหนึ่งชิ้นงาน เช่น ต้องฟังและอ่านก่อน เพื่อมาเขียนวิเคราะห์ตามที่โจทย์กำหนด หากขาดไปอย่างใดอย่างหนึ่งจะทำให้เนื้อหาไม่ครบ แต่ถ้าเป็น IELTS จะแยกแต่ละพาร์ทชัดเจน แล้วนำคะแนนมาหารรวมกันเพื่อดู overall ลักษณะของข้อสอบก็ต่างกัน อย่าง TOEFL คำตอบจะเป็น
multiple choice ใช้เวลาสอบ 4 ชม. ส่วน IELTS มีคำตอบหลายแบบ ทั้งแบบ choice และเขียน เวลา 2.15 ชม. เวลาก็ต่างกัน และข้อดีอีกข้อ IELTS ยังสามารถสามารถเลือกสอบพาร์ท speaking วันอื่นได้ ( กรณี IDP ) มีเวลาเตรียมตัวมากกว่า เพราะสอบวันนึงก็เหนื่อยแล้ว
-
พี่แนน : ข้อสอบ IELTS นี่จะวัดทักษะอะไรเราบ้างคะ?
-
อ.โววา : ข้อสอบ IELTS จะมี 4 พาร์ทครับ เวลาสอบ 2 ชั่วโมง 45 นาที การสอบมี 2 แบบ แบบแรก Academic Module เหมาะสำหรับคนที่จะไปเรียนต่อหลักในสูตรนานาชาติ ระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ทั้งในหรือต่างประเทศ แบบที่ 2 คือ General Training เหมาะสำหรับการสมัครงาน หรือการขอวีซ่า
ในส่วนของข้อสอบ IELTS พาร์ท listening ก็จะมี
ข้อสอบ 40 ข้อ ใช้เวลาเปิดฟังประมาณ 30 นาที และอีก 10 นาที จะให้เวลาเราทวนคำตอบและเขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบอีกครั้ง จะแบ่งเป็น 4 พาร์ท พาร์ทแรก จะเป็นการกรอกแบบฟอร์มต่างๆ พาร์ทที่ 2 จะมีเรื่องของรูปภาพมาเกี่ยวข้องด้วย พาร์ทที่ 3 เกี่ยวกับสนทนาของนักเรียนสองคน หัวข้ออาจจะเกี่ยวกับการเข้ามหาวิทยาลัย พาร์ทที่ 4 เกี่ยวกับการฟังอาจารย์ในมหาวิทยาลัยและจดเลคเชอร์ครับ แต่จะเป็นการกรอกคำตอบ หรืออาจจะมีกากบาทปนบ้างเล็กน้อยแล้วแต่รอบครับ IELTS พาร์ท reading ถ้าอยู่ในส่วนของ General
Training ข้อสอบจะง่ายกว่า เพราะมาจากโฆษณา,การประกาศ พาร์ท writing ก็จะมีความต่างกัน ถ้าใน Academic
Module พาร์ทแรก จะให้เราเขียนอธิบายว่า กราฟ หรือ
รูปภาพ มันเกี่ยวกับอะไร เราไม่ควรใส่ความคิดเห็นตัวเองนะครับ ให้ตอบตามข้อเท็จจริงที่ให้มาเท่านั้น การเขียนอีกอันคือ Essay อันนี้เราใส่ความคิดเห็นของเราได้แล้ว อาจจะต้องมีการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียหรือพูด cause and solution แต่ถ้าเป็น General Training ก็จะเป็นจดหมายที่เราได้รับจากผู้ทดสอบซึ่งเราก็จะต้องเขียนอีกแบบ พาร์ท speaking จะมี 3 พาร์ท พาร์ทแรก เป็นรูปแบบคำถามที่ถามเกี่ยวกับชีวิตทั่วไป พาร์ทที่ 2 เราจะได้รับการ์ดหัวข้อ ให้เราพูดตามหัวข้อนั้น ก็จะใช้เวลาประมาณ 1-2 นาที พาร์ทที่ 3 เป็นการ discuss ที่เกี่ยวเนื่องจากพาร์ทที่ 2 กับ examiner ทั้งหมดรวมใช้เวลาประมาณ 15 นาที และที่สำคัญมีการอัดเทปไว้ด้วย
-
พี่แนน : มีหลายพาร์ทมาก และแต่ละพาร์ทก็ไม่ง่ายเลย อย่างนี้อาจารย์จะมีเทคนิคการสอนน้องๆยังไงบ้างคะ
-
อ.โววา : เราสอนให้เด็กที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษอ่อนหรือมีเวลาเตรียมตัวน้อยให้ประสบความสำเร็จได้ โดยเราพยายาม
สอนที่เน้นการทำข้อสอบ โดยมีการสรุปแนวโน้มตัวข้อสอบจริงของ IELTS ว่า นักเรียนจะต้องเจอข้อสอบแนวไหนบ้าง แล้วควรจะตอบอย่างไร และเรายังสอนวิธีการบริหารเวลาว่าควรเริ่มทำตรงไหนก่อน และอะไรคือจุดอ่อนของ IELTS ไม่ว่าจะเรื่องการจัดการความเครียดขณะสอบ เพราะน้องจะต้องสอบกับ examiner ต่างชาติ และถูกกดดันในเรื่องเวลา ซึ่งในจุฬาติวเตอร์ อาจารย์ทุกคนจะพยายามอย่างเต็มที่
จะทำให้น้องๆ ประสบความสำเร็จ
-
พี่แนน : ถ้าน้องๆ ต้องเตรียมตัวสอบในแต่ละพาร์ทควรเน้นหรือพัฒนาอะไรเป็นพิเศษไหมคะ
-
อ.โววา : พาร์ท reading เราสามารถให้เปิดอ่านข้อสอบได้เลย แต่เราไม่ควรเปิดอ่านพาร์ท 1 และ 2 ควรไปพาร์ทที่ 3 เพราะตัวข้อสอบค่อนข้างยาว ถ้าเราอ่านได้ก็เป็นโอกาสทำคะแนนได้ดี เพราะว่าการอ่านของ IELTS จะต่างกับที่เราอ่านทั่วไปที่บ้าน หรือนิตยสาร เพราะส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหาเชิงวิชาการเป็นหลัก
พาร์ท speaking ไม่ควรตอบว่า yes หรือ no เท่านั้น เค้าไม่ได้ต้องการรู้ชีวิตเรา แต่เค้าต้องการประเมินความสามารถด้านภาษาอังกฤษของเรา อย่างถ้าเค้าถามเราว่า Do you like travelling? เราไม่ควรตอบแค่ว่า yes หรือ no แต่เราควรตอบประมาณว่า yes, I've been travelling a lot. และมีการ์ดหัวข้อที่น้องๆ เกือบทุกคนบอกว่าพาร์ทนี้ยากที่สุด เพราะปัญหาเรื่องความเครียด กับการจัดการเวลา ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็มีทริคนิดหนึ่ง คือพาร์ทนี้ จะเป็นคำสั่งที่ต้องการคำตอบที่มีเหตุผล เช่น Why do you like travelling? เวลาเราตอบก็ให้เหตุผลหลายๆ ข้อก็ได้ ก็จะทำให้เรามีการพูดได้มากขึ้น อย่างน้องที่ไม่มั่นใจที่ใช้ประโยคยาวๆ อาจจะตอบสั้นๆ ก็ได้ แต่คะแนนอาจจะไม่สูงมาก ในส่วนของ listening อยากให้ระวังพวกเรื่องของ s ,es หรือการสะกดคำเป็นหลักนะครับ และข้อสอบจะเรียงนะ ถ้าทำไม่ทันข้อนั้นให้ข้ามเลย เพราะทุกข้อจะไม่สะเทือนกันครับ
-
พี่แนน : แล้วการนำคะแนนไปใช้สอบเข้าสอบเข้า
เมืองนอก เมืองไทย เกณฑ์คะแนนต่างกันไหม ควรได้เท่าไหร่คะ? -
อ.โววา : อันนี้อยู่ที่คณะ และวิชาที่เราจะไปสอบเข้าครับ
ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยในไทย ถ้ามหาวิทยาลัยนั้นใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ก็อาจจะต้องการคะแนนประมาณ 6.0 คะแนน (อยู่ที่แต่ละคณะของมหาวิทยาลัย ส่วนมากจะอยู่ที่ 6.0-6.5 ) แต่ถ้าอยากไปเรียนปริญญาโท ต่างประเทศ อาจจะต้องประมาณ 7 คะแนนขึ้นไปก็มีนะ
ว้าว!! ได้ฟังรายละเอียดและการเตรียมสอบ IELTS แบบชัดๆ กันไปแล้ว
ลองไปเจาะลึกกันให้มากกว่านี้ดีกว่าค่ะว่า ทั้งเรื่องที่ต้องระวังในแต่ละพาร์ท
คำถามที่อาจเจอได้ในพาร์ท Speaking ไปจนถึงการเลือกสนามสอบเลยว่า
จะสอบที่ไหนดีระหว่าง IDP กับ British council ไปดูจากคลิปนี้กันเลยจ้า
ChulaTutor
430/27-28 สยามสแควร์ ซอย9
ถ.พระราม 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
(ชั้น 2-4 ตรงข้ามศูนย์หนังสือจุฬาฯ สยาม )
ติดต่อ 02-252-8633
www.chulatutor.com
34 ความคิดเห็น
ขอบคุณมากๆคร้าบ
ขอบคุณมากๆคร้าบ