"เรียนไปทำไม?" คำถามที่ทุกคนสงสัย

           สวัสดีจ้าน้องๆ Dek-D ปิดปีใหม่ยาวจนลืมไปเลยว่าต้องกลับมาเรียน พอกลับมาเรียนเลยรู้สึกไม่สนุกเท่าไหร่ - -" แต่สำหรับบางคนความเบื่อไม่ได้มีแค่ตอนนี้ แต่เบื่อเรียนมานานแล้ว เพราะรู้สึกว่าบางวิชาเรียนไปก็ไม่ได้ใช้ ไม่รู้จะเรียนไปทำไม เรียนแต่วิชาที่จำเป็นไม่ดีกว่าหรอ?ฯลฯ สารพันคำถามเหล่านี้ พี่เมษ์จะมาคุยแบบแมนๆ ว่าตกลงแล้วแต่ละวิชา เรียนไปทำไม!!
 


           เห็นคำถามจากในบอร์ด ล้นหลามเหลือเกิน เห้อ! เป็นเด็กไทย บางทีก็น่าน้อยใจโชคชะตานะคะน้องๆ เรามักจะรู้สึกกันว่า เรียนเยอะจัง เรียนไปไม่ได้ใช้ เรียนแล้วได้อะไร เรียนไปแค่ใช้สอบ บลาๆๆ แต่วันนี้พอพี่เมษ์มานั่งทบทวนดูแล้ว พี่เมษ์ว่าแต่ละวิชามันให้อะไรกับเราบ้าง พี่เมษ์ก็ได้คำตอบ เลยอยากแชร์ให้น้องได้ลองอ่านกัน เผื่อวันนึงน้องท้อแท้ ไม่อยากเรียนจะได้กลับมาอ่านไงคะ  มาเริ่มกันเลย


     1. เรียน "คณิตศาสตร์" ไปทำไม?     
           สุดยอดคำถาม เรียนคณิตฯ ไปทำไม เรียนไปไม่ได้ใช้ จะใช้ชีวิตเราก็ไม่ต้องอินทิเกรต ดิฟ แล้วก็แก้ลอกการิทึมป่ะ ? หรือถ้าเราไปตลาดก็ไม่ได้ต้องใช้ ตรีโกณ มาหาขนาด พื้นที่ บลาๆ แก้สมการ อสมการป่ะ!! 
           จริงๆ แล้วเราไม่ได้เรียนเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันซะทั้งหมดหรอกค่ะ เพราะชีวิตจริง บวก ลบ คุณ หาร ครบก็หรูละ แต่ในเรื่องที่ซับซ้อนขึ้น เราเรียนเพื่อใช้เรียนต่อ และทำงานสายเฉพาะทาง เช่น วิศวะ หมอ บัญชี นักเคมี นักธรณีวิทยา ฯลฯ วิชาที่ต้องใช้ความรู้ลึกๆ ของคณิตศาสตร์มีเยอะมาก แล้วแต่ว่าวิชาชีพนั้น ต้องใช้อะไรเยอะเป็นพิเศษ เช่น วิศวะ อาจจะใช้ตรีโกณเยอะเป็นพิเศษ
           อีกเหตุผลคือ เรียนเพื่อจัดระบบความคิด เพราะการคิดที่ซับซ้อนในวิทยาศาสตร์ ทำให้น้องๆ ได้พัฒนาสมอง และการคิดอย่างเป็นระบบมากขึ้น ส่งผลต่อการนำมาตัดสินใจโดยที่น้องอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้นะ

 
     2. เรียน "วิทยาศาสตร์" ไปทำไม?      
           เรื่องของวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่อยุ่รอบตัวเราค่ะ แต่เราอาจจะไม่รู้ตัวว่าเนี่ย มันคือวิทยาศาสตร์นะ การเรียนวิทยาศาสตร์จึงทำให้น้อง ได้เข้าใจเรื่องรอบๆ ตัว เหมือนคำที่บอกว่า รู้ไว้ใช่ว่านั่นแหละค่ะ 
           ในชีวิตจริง วิทยาศาสตร์อยู่รอบตัวเราไปหมด เราจะไม่รู้เลยว่าเราหายใจยังไงนะ ถ้าไม่ได้เรียน เราจะไม่รู้เลยว่าเรามองเห็นได้ยังไง สมมติวันนึงตาพร่าเลือนขึ้นมา ถ้าไม่รู้มาก่อนว่ามาจากส่วนไหนของดวงตา ม่านตา กระจกตา เราจะแก้ยังไงละ หรือ ถ้าเราปวดท้อง เราก็พอจะระบุสาเหตุได้ว่า เอ๊ะ อันนี้ปวดไส้ติ่ง อันนี้ปวดกระเพาะ จะได้รักษาได้ถูกที่ หรือแม้กระทั่ง วันนึงที่เราอยากแกล้งเพื่อน อยากโยนกระดาษใส่หัวเพื่อน เราก็ใช้เรื่องแรง เรื่องมวล โมเมนตัม จริงมั้ยละ? ,,,  ไหนจะชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ ฯลฯ แทบทุกอย่างอยู่ใกล้ตัวหมดเลย ในวันที่จำเป็นต้องใช้ เราก็มีความรู้มากพอจะใช้มันให้เกิดประโยชน์
           อีกอย่าง วิทยาศาสตร์สอนระบบการคิด ให้เราคิดอย่างมีเหตุผล สอนให้เราหาความจริงผ่านการทดลองก่อน อย่างเพิ่งเชื่ออะไรง่ายๆ... นี่แหละค่ะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ล้วนๆ เราได้ระบบคิดดีๆ ไว้ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

 
      3. เรียน "ภาษาไทย" ไปทำไม?     
           พูดก็พูดเถอะ ภาษาไทยเราก็พูดได้กันอยู่แล้ว แล้วเรียนไปทำไม แต่น้องๆ ลืมอะไรไปรึเปล่า ภาษาไทยมีความซับซ้อนมาก เขียนผิดนิดเดียว วรรคผิดนิดหน่อย ความหมายเปลี่ยนเลยนะ นี่ยังไม่รวมนัยยะของภาษา ระดับของภาษาที่เหมาะสม รูปประโยคที่ส่งผลต่อการสื่อสารอีก นอกจากนี้ยังมีวรรณคดี ซึ่งถือเป็นสมบัติของชาติ หากเราไม่เรียน ไม่มีคนเรียน ผลงานชิ้นสำคัญๆ ที่สะท้อนสภาพสังคม และแสดงถึงความสวยงามของภาษา ก็คงไม่มีให้คนรุ่นหลังได้ชมกัน


 
      4. เรียน "ภาษาที่ 2,3,4 ..ฯลฯ" ไปทำไม?      
           เพราะเราไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลางของโลกค่ะ และอีกหลายชนชาติก็มีภาษาเป็นของตัวเอง ทำให้มีภาษาเกิดขึ้นมากมาย แต่คนต่างชาติต่างภาษามาคุยกัน ย่อมไม่รู้เรื่องแน่นอน ดังนั้นถ้าเราอยากจะคุยกับคนชาติอื่น "ภาษา" จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล ฉะนั้นการเรียนภาษากลางของโลกจึงเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว แต่ต่อไปในอนาคตภาษาที่สาม (หมายถึงภาษาชาติอื่นๆ) ก็จะสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก เพราะไม่ใช่แค่เรื่องการติดต่อสื่อสารแล้ว แต่ยังรวมไปถึงการเจรจาธุรกิจ การช่วยเหลือระหว่างประเทศ เป็นต้น
           นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การได้เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ทำให้เรารู้วัฒนธรรมของชาตินั้นๆ ทำให้เราอยู่ร่วมโลกกันอย่างมีความสุขด้วย

 
      5. เรียน "สังคม ศาสนา และวัฒนธรรม" ไปทำไม?      

 
           เคยได้ยินข่าวเรื่องการปะทะกันที่ฉนวนกาซา ข่าวเรื่องการเหยียดผิวจนถึงขั้นก่อจลาจลในอเมริกา ข่าวเรื่องความบาดหมางระหว่างประเทศเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อ รวมถึงอีกหลายๆข่าวที่เกิดความขัดแย้งจากความไม่เข้าใจกัน นี่แหละค่ะ เหตุผลหนึ่งที่เราต้องเรียนวิชาสังคมฯ
           เราไม่ได้เรียนเพื่อไปแก้ปัญหาเหล่านั้นทันทีหรอก แต่เราเรียนเพื่อที่จะเข้าใจ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับคนในสังคมโลก เพราะทุกคนมีความเป็นปัจเจก แตกต่าง แต่ในเมื่อเราต้องอยู่ร่วมกัน มันก็สำคัญที่ทำให้เราต้องปรับตัวตาม และเพื่อให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เอื้อเฟื้อ และเข้าใจความแตกต่างค่ะ
           อีกอย่างหากคนเราไม่รู้แม้แต่ชื่อตัวเอง มันคงแย่น่าดูเลยเนอะ นี่แหละเป็นเหตุผลให้เราต้องเรียนวิชาที่เกี่ยวกับความเป็นมาและรากเหง้าของชาติ อย่างประวัติศาสตร์ด้วย จริงๆ แล้วเค้าต้องการให้เรารู้ที่มาที่ไปของตัวเอง เรียนรู้จากความผิดพลาด และความสำเร็จในอดีต เพื่อใช้เป็นบทเรียนในปัจจุบัน จะได้ไม่ทำผิดพลาดแบบในอดีต หรือถ้าอะไรที่ดีอยู่แล้ว เราก็จะได้ทำต่อไปไงคะ

 
ุ       6. เรียน "กิจกรรม" ไปทำไม?      
           ทั้งลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด บำเพ็ญประโยชน์ นักศึกษาวิชาทหาร รวมถึงกิจกรรมชมรมต่างๆ เราเรียนเพื่อทักษะการใช้ชีวิตค่ะ ถามจริงๆ ว่าเราจะหลงป่ากันง่ายๆ เหรอ หรือเราต้องผูกเงื่อนทุกวันมั้ย? มันก็ไม่หรอก แต่ถ้าวันนึงจวนตัว ต้องเจอเหตุการณ์แบบนั้นจริงๆ เราจะรอดเพราะวิชานี้แหละค่ะ!!
           ลองถามตัวเองกลับสิว่าถ้าน้องๆ ไม่ได้เรียนวิชาพวกนี้ ถามจริงๆ จะก่อไฟเป็นมั้ย? จะทำกับข้าวเป็นรึเปล่า? จะหุงข้าวกับฟืนเป็นมั้ย อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เราก็ได้อะไรจากวิชากิจกรรมเนอะ แถมเรายังได้เรียนรู้เรื่องการเสียสละ การทำงานเป็นทีม การแบ่งปัน การสามัคคี จากวิชานี้ด้วยถูกมั้ยละ อ่อ นี่ยังไม่นับรวมภาวะผู้นำ และการตัดสินใจนะคะ เพราะเวลาเราเจอสถานการณ์เวลาเข้าค่าย เราก็เรียนรู้มากอีกเพียบ ได้เพื่อนสนิทเยอะด้วย 

 
        7. เรียน "สุขศึกษาและพลศึกษา" ไปทำไม?        
           พี่เมษ์ไม่ใช่คนชอบออกกำลังกายค่ะ น่าจะเหมือนกับหลายๆ คน ดังนั้นการเรียนพละคือวิชาเดียวที่ให้เวลาออกกำลังกาย อีกอย่างในวัยของน้องๆ การออกกำลังกายจำเป็นมากต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการ รวมถึงสุขภาพ ได้ผ่อนคลายอารมณ์จากวิชาหนักๆ ในห้องเรียนบ้าง ก็ดีนี่คะ 
           ส่วนวิชาสุขศึกษา มันก็จำเป็นนะ เป็นเรื่องของสุขอนามัย และที่สำคัญเป็นวิชาที่จะทำให้ได้เรียนรู้เรื่องเพศอย่างเปิดเผย เพราะเอาจริงๆ วัยรุ่นทุกคนอยากรู้ อยากลอง ถ้าไม่ได้เรียนรู้มาเลย อาจจะพลาดได้จริงมั้ยล่ะคะ ขอแค่อย่าอายที่จะถาม มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เรียนไว้ก็จะได้รู้จักดูแลตัวเอง และเข้าใจตัวเองมากขึ้นไง


 
      8. เรียน "ศิลปะ" ไปทำไม?      
           การเรียนศิลปะ เป็นการเรียนเพื่อจรรโลงจิตใจค่ะ แถมยังสะท้อนภาพในความคิดของน้องๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่อย่างนั้น คุณหมอที่รักษาเด็กเล็กคงไม่ให้เด็กๆ วาดรูปหรอกค่ะ เพราะรูปภาพ สามารถสะท้อนว่าเค้าคิดอะไรอยู่ เช่นเดียวกัน การวาดในวัยมัธยมก็เป็นการปลดปล่อยอารมณ์ของน้องๆ และเพิ่มจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ด้วย นอกจากนี้ศิลปะยังเยียวยาคนได้ ถ้าใช้ให้ถูกทาง เพราะสีแต่ละสีมีความหมาย ส่งผลถึงอารมณ์และสุขภาพจิตได้ด้วยนะ 



 
           เป็นยังไงบ้างคะ พอจะหายสงสัยรึยังว่าเรียนไปทำไม พี่เมษ์เชื่อนะว่าทุกวิชามีเหตุและผลที่ทำให้เราต้องเรียน ไม่ใช่แค่เพื่อสอบ หรือให้ครบตามหลักสูตร แต่มันส่งผลต่อเรา อาจจะโดยตรง หรือโดยออ้อม เพียงแค่เราไม่ได้มองให้ลึกลงไปแค่นั้นเองเนอะ
           ต่อจากนี้พี่เมษ์ก็ขอให้น้องๆ ตั้งใจเรียน ไม่ย่อท้อกับแต่ละวิชาที่หนักหน่วง เพราะอย่างน้อยที่สุด น้องได้ใช้แน่ๆ ในการสอบ และยังส่งผลถึงอนาคตของน้องๆ ด้วย ลองหาสักวิชาที่เราชอบ และสนใจที่สุดสิ นั่นอาจจะเป็นวิชาที่สร้างอาชีพให้เราได้เลยนะ สู้ๆ ค่ะ ^^



ขอบคุณภาพประกอบจาก
  • www.huffingtonpost.com/len-filppu/bemused-by-a-math-muse_b_5021614.html
  • http://wallpaperbackgrounds.com/desktop/
    wallpapers/1/men
  • http://kokeed.com/มาตราตัวสะกด-ภาษาไทย/
  • www.brainscape.com/blog/2014/11/top-10-language-blogs/
  • http://sacajawea.vansd.org/tphelan/SocialStudies.html
  • http://parentables.howstuffworks.com/family-matters/can-boys-join-girl-scouts-colorado-chapter-says-bring-em.html
  • www.uclan.ac.uk/courses/
    ma_pgdip_pgcert_physical_education_and_school_sport.php
  • www.forwallpaper.com/wallpaper/paint-brush-painting-bright-colors-the-artist-144901.html
  • http://www.kidspot.com.au/schoolzone/Homework-Teaching-children-to-manage-their-study+4153+294+article.htm
  • http://rccblog.com/2013/10/24/the-7-best-places-to-study/
  • www.fastcoexist.com/1679172/poke-you-need-to-study-more-what-facebooks-open-graph-means-for-online-study-groups
พี่เมษ์
พี่เมษ์ - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายการศึกษา

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด
Pagakaw Member 10 ม.ค. 58 23:57 น. 5

เรียนเพื่อ..... ใบประกาศปริญญาใบเดียว    >>>> ให้คนอื่นรู้ว่า

"กูก็มีความรู้นะ...รับกูเข้าทำงานด้วย" แค่นั้นเอง สังคมไทย

1
กำลังโหลด
thedead Member 10 ม.ค. 58 17:34 น. 4

ที่มาของ คำถาม นี้ส่วนใหญ่ เกิดจาก การจัดการระบอบการศึกษาที่ไม่ดีให้แก่เด็ก เลยทำให้ความสามารถที่เขามีถูกกดทับไปด้วย และผลที่ตามมาไม่ใช่แค่ เด็ก ไม่รู้อะไรเลย แต่มันหนักถึงขั้นการใช้ชีวิตของพวกเขาด้วย ทางที่ดี ควรแก้ไขปัญหาจากระบอบการศึกษาเป็นอันดับแรกค่ะ และเราเชื่อว่า ถ้ามีการแก้ไขแล้ว เด็กๆเหล่านี้ จะไม่มาตั้งคำถามแบบนี้อีกค่ะ

0
กำลังโหลด
คนบ้า ก็อตซิลล่าบุกโลก 11 ม.ค. 58 14:54 น. 9
แล้วถ้าโรงเรียนเราไม่ได้สอนทำอาหาร จุดไฟ ผูกเงื่อนเลยล่ะคะ ถ้าสอนแต่ท่องกฎ ร้องเพลงอะไรอย่างนี้ เพื่อวันโลกแตกก็แบบ "ทั้งหมด....จั๊ดแถว (จัดแถวไม่ได้ด้วยต้อง จั๊ดแถว) กล่าวตามข้าพเจ้า....ข้อ1 ลูกเสือมีเกียรติเชื่อถือได้ ข้อ2ลูกเสือมีความจงรักภัคดีต่อชาติศาสนา.... " แบบนี้หรือเอเลี่ยนมาเราก็ "เมาคลีล่าสัตว์ เมาลีล่าสัตว์ "....ให้เขาฟังอย่างงั้น-..- วิชาอื่นนี่มีเหตุผลดีนะคะ แต่วิชานี้มัน....
1
ก๊วยบุ่งง้วง Member 3 มี.ค. 58 22:34 น. 9-1
ใช่ๆครับๆเยี่ยม อีกอย่างคืนคนมันไม่ตั้งใจเรียน...ให้ตายก็ผู้เงื่อนไม่เป็นหรอกครับ(ผมคนหนึงแหละ )เย้ ปล.ส่วนมากก็ยืนตากแดดหมดรมณ์เรียนแน่นอน ปล2. น่าจะเปลี่ยนชื่อวิชาจากลูกเสือเป็น วิชาฝึกระเบียบกลางแดดโกรธ ปล3. เจอ รด. เข้าไป ลูกเสือนี้ขึ้ผงเลยครับเสียใจ ปล4.เรียนลููกเสือมา 10 กว่าปี รู้-ที่จำเป็นจริงๆคือ เจองูให้ยกหาง(ถูกเปล่า?) แค่นี้แหละเขิลจุง
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด

34 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
wanderer Member 9 ม.ค. 58 23:49 น. 3

คณิตฯก็เอาไปใช้ต่อได้นะครับ เรื่องตรีโกณเอาไปใช้ในด้านวิศวะ เรื่องสถิติชื่อมันก็บอกอยู่เเล้ว ส่วนเรื่องเเคลฯ เอาไปใช้ในอุตสาหกรรมเเละ animation ครับ

เเล้วถามว่าเป็นหมอใช้คณิตมั้ย มีอยู่เเพทย์อยู่สาขานึงที่ใช้ครับคือ วิสัญญีเเพทย์ หรือหมอรมยานี่เองครับ เพราะต้องคำนวณขนาดตัวกับอะไรอีกไม่รู้เพื่อจะได้ให้ยาในขนาดที่เหมาะสมกับผู้ป่วยก่อนการผ่าตัดครับ

0
กำลังโหลด
thedead Member 10 ม.ค. 58 17:34 น. 4

ที่มาของ คำถาม นี้ส่วนใหญ่ เกิดจาก การจัดการระบอบการศึกษาที่ไม่ดีให้แก่เด็ก เลยทำให้ความสามารถที่เขามีถูกกดทับไปด้วย และผลที่ตามมาไม่ใช่แค่ เด็ก ไม่รู้อะไรเลย แต่มันหนักถึงขั้นการใช้ชีวิตของพวกเขาด้วย ทางที่ดี ควรแก้ไขปัญหาจากระบอบการศึกษาเป็นอันดับแรกค่ะ และเราเชื่อว่า ถ้ามีการแก้ไขแล้ว เด็กๆเหล่านี้ จะไม่มาตั้งคำถามแบบนี้อีกค่ะ

0
กำลังโหลด
Pagakaw Member 10 ม.ค. 58 23:57 น. 5

เรียนเพื่อ..... ใบประกาศปริญญาใบเดียว    >>>> ให้คนอื่นรู้ว่า

"กูก็มีความรู้นะ...รับกูเข้าทำงานด้วย" แค่นั้นเอง สังคมไทย

1
กำลังโหลด
ก๊วยบุ่งง้วง Member 3 มี.ค. 58 22:36 น. 6-1
เหมือนกันเบย ตอน ม.1 ได้เกรด ศูนย์แก้เป็นหนึ่งแหละ คือ สอบทุกสอบนะ...แต่สอบมะผ่าน
0
กำลังโหลด
Ben_Sang Member 11 ม.ค. 58 14:27 น. 7

วิชาเคมีเราไม่เคยสอบผ่านซักครั้ง พูดตรงๆ เราไม่ชอบวิชานี้เลย แต่ก็พยายามทำงานส่งครูทุกครั้ง อย่างน้อยเกรดเราก็น่าจะดีเพราะงานที่ส่งด้วยแหละ...เยี่ยม

0
กำลังโหลด
NookNick Member 11 ม.ค. 58 14:41 น. 8

ทุกวิชามีเหตุผลในตัวของมันเองค่ะ ทุกวิชามีความสำคัญและเอาไปต่อยอดได้ แต่เราลืมไปค่ะว่าประเทศไทยสอนวิชาให้มีแต่ท่องจำ เอาไปใช้ต่อยอดไม่ค่อยจะได้ บางวิชา บางอาจารย์ค่ะที่จะสอนให้ลูกศิษย์เอาไปพัฒนาได้จริงๆ เพราะอาจารย์บางคนยอมรับค่ะว่าสอนดี เข้าใจ แต่อาจารย์ลืมที่จะสอนว่าเอาไปต่อยอดยังไงเพื่อให้เกิดผลดีต่อตัวเด็กเอง อย่างวิชา IS เด็กๆ ม.ปลาย ชอบตั้งคำถามว่าเรียนไปทำไม แต่สำหรับเราคือตั้งแต่เข้ามามหาลัยคือ IS ช่วยชีวิตได้เยอะค่ะ มหาลัยไม่สอนวิธีการทำรายงานนะคะว่าส่วนประกอบต้องมีอะไร บรรณานุกรมเขียนแบบไหน ข้อมูลหาแบบใด เพราะพวกนี้อาจารย์ถือว่าเราทำได้แล้ว รู้แล้ว อาจารย์ไม่มานั่งถามนะ โยนงานให้แล้วก็ให้คุณไปทำ จะในรูปแบบไหนเรื่องของคุณ มาทรุดอีกทีคือตอนคะแนนออก สำหรับเราที่เรียนมา รู้วิธีการทำ ก็จะทำเป็น คะแนนสูงสุดในคลาส ใช้เวลาทำแปปเดียว แต่คนอื่นคะแนนแทบไม่ผ่าน A ในคลาสมีไม่กี่คน นี่แหละค่ะตัวอย่าง อยากให้เด็กไทยเห็นความสำคัญของรายวิชาเยอะๆ แล้วก็อยากให้อาจารย์ที่สอนมีความเป็นผู้ให้ สอนให้รู้ไม่ใช่สอนให้จำค่ะ 

0
กำลังโหลด
คนบ้า ก็อตซิลล่าบุกโลก 11 ม.ค. 58 14:54 น. 9
แล้วถ้าโรงเรียนเราไม่ได้สอนทำอาหาร จุดไฟ ผูกเงื่อนเลยล่ะคะ ถ้าสอนแต่ท่องกฎ ร้องเพลงอะไรอย่างนี้ เพื่อวันโลกแตกก็แบบ "ทั้งหมด....จั๊ดแถว (จัดแถวไม่ได้ด้วยต้อง จั๊ดแถว) กล่าวตามข้าพเจ้า....ข้อ1 ลูกเสือมีเกียรติเชื่อถือได้ ข้อ2ลูกเสือมีความจงรักภัคดีต่อชาติศาสนา.... " แบบนี้หรือเอเลี่ยนมาเราก็ "เมาคลีล่าสัตว์ เมาลีล่าสัตว์ "....ให้เขาฟังอย่างงั้น-..- วิชาอื่นนี่มีเหตุผลดีนะคะ แต่วิชานี้มัน....
1
ก๊วยบุ่งง้วง Member 3 มี.ค. 58 22:34 น. 9-1
ใช่ๆครับๆเยี่ยม อีกอย่างคืนคนมันไม่ตั้งใจเรียน...ให้ตายก็ผู้เงื่อนไม่เป็นหรอกครับ(ผมคนหนึงแหละ )เย้ ปล.ส่วนมากก็ยืนตากแดดหมดรมณ์เรียนแน่นอน ปล2. น่าจะเปลี่ยนชื่อวิชาจากลูกเสือเป็น วิชาฝึกระเบียบกลางแดดโกรธ ปล3. เจอ รด. เข้าไป ลูกเสือนี้ขึ้ผงเลยครับเสียใจ ปล4.เรียนลููกเสือมา 10 กว่าปี รู้-ที่จำเป็นจริงๆคือ เจองูให้ยกหาง(ถูกเปล่า?) แค่นี้แหละเขิลจุง
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
หัวใจเย็นชา 11 ม.ค. 58 15:41 น. 11
Ben_sang ความเห็นนี้เหมือนเราเลยจ้า ตกเคมีทุกครั้ง แต่เกรดเคมีดีได้เพราะส่งงาน 555>< เราว่าบางอย่าง มันก็ไม่ได้ใช้ตามอาชีพหมดหรอกนะ ในความคิดเรานะ เราว่าม.ต้นเรียนทุกวิชาให้หมดดีกว่า จะได้รู้ว่าเราถนัดสายไหน ถนัดอะไร พอม.ปลาย ก็ใช้แบบเลือกเรียนเอา เอาเฉพาะวิชาที่ใช้สอบ ใช้ในอาชีพที่เราอยากจะเป็นจริงๆ ตามอาชีพที่อยากเป็นจริงๆอ่ะ ไม่ใช้เรียนบ้าคลั่งไปหมด
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Natee Konkham 11 ม.ค. 58 17:34 น. 13
ในความคิดคิดของผมแล้ว การศึกษาของไทยนั้น ได้มีการล็อกไว้เรียบร้อยแล้วครับ จะแก้ยังไงก็ไม่หายพูดง่ายๆว่าการศึกษาทำให้เราตามกลโกงของประเทศไม่ได้ครับ ท่านลองหลับตาคิดดูดีๆ ใครกันที่เป็นคนคิดวิทยาศาสตร์ขึ้นมา นั่นก็คือนักวิทยาศาสตร์ครับ ลองนึกดูดีๆอีกรอบครับสังเกตนักวิทยาศาสตร์บางท่าน ไม่จบ ป.3 อ่านหนังสือไม่ออก แล้วทำไมถึงได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ซื่อดังได้หละ แล้วทำไมเขาถึงสร้างพีระมิดโดยไม่มีเครื่องจักรได้หละ ถ้าคิดถึงใครไม่ได้คิดถึง ตอบเถ้าแก่(ไปดูหนัง วันรุ่นพันล้าน) เพราะความคิดของเขาไม่ได้ถูกล็อกไว้ครับ เขาสามารถและคิดอะไรก็ได้ แล้วเขาก็ลงมือในสิ่งที่เขาอยากทำ ลองย้อนดูการศึกษาไทยครับ เรียนนั่น เรียนนี้ มีสอบนั่นสอบนี้เยอะแยะเตมไปหมด มันทำให้ผมคิดว่าสมองถูกล็อกไปแล้ว จนจบมหาลัยความคิดที่สร้างสรรค์ที่มากับวันรุ่นก็หมด คิดได้แค่ว่าทำงานมีเงินเลี้ยงตนเองเลี้ยงได้ครอบครัว ได้ก็พอ เปนยังงี้ไปทุกๆรุ่น จนมาถึงปัจจุบัน เพราะฉะนั้นถ้าคุณรู้ยังงี้แล้ว ลองเปลี่ยนจากการอ่านหนังสือเรียนพิเศษ อะไรที่ว่ามันล็อกหัวสมองเราไว้ ไห้โยนทิ้งแล้วคิดสิ่งที่แปลกไหม่ สิ่งที่คนอื่นไม่คิดถึงมันจะบ้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีทาง และโอกาศ แล้วจะมองเห็นว่าใครมั้งที่ถูกล็อกหัวสมอง และจะมองกลไกการทำงานของประเทศครับ
0
กำลังโหลด
Jubujubjub 11 ม.ค. 58 17:38 น. 14
ก็เข้าใจว่าต้องเรียนแต่มันมากไปมิ? บางเรื่องนี่คิดไม่ออกจริงๆว่าโตไปสามารถเอาไปทำไรได้ แล้วทุกคนก็ไม่ได้จะเป็นหมอเป็นวิศวะทุกคนป้ะคะ
0
กำลังโหลด
Razel Tesstarossa Member 11 ม.ค. 58 18:20 น. 15

มันเหมือนเป็นค่านิยมที่ผิดในบางครั้งค่ะ ผู้ปกครองบางท่านอยากให้ลูกหลานมีหน้าที่การงานที่ดี มีหน้าตาทางสังคม แต่เด็กบางคนเค้าก็แค่อยากทำในสิ่งที่เค้ารักเพราะถึงโตไปเค้าอาจจะไม่ได้มีหน้าที่การงานที่ดีหรือมีหน้าตาทางสังคมแต่เค้าก็มีความสุขที่ได้ทำสิ่งที่เค้ารักค่ะ สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ก็มุ่งจะส่งเสริมเด็กด้านวิทย์คณิตรวดเดียว เด็กบางคนมีพรสวรรค์แต่เค้าไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดีก็เป็นปัญหาอย่างนึงค่ะ

0
กำลังโหลด
ดอน ดอกคอยเออร์ 11 ม.ค. 58 18:54 น. 16
ยังไงก็ไม่ตกคำตอบที่อยากรู้จริงๆนั้นแหละครับ บางอย่างก็ไม่เป็นจริงเลย อย่างคณิตเนี่ย ทำไมถึงไม่จัดระบบศึกษาที่มันตรงกับคนไปเลยละครับ โอเคเราควรมีพื้นฐานไม่จนถึงม.3 แต่หลังจากขึ้นม.4หรือ ปวช.นั้นสิครับ ทำไมต้องเรียนอีก ควรจะจัดแบบคนๆไปเลย หากกลุ่มอยากเรียนเป็นหมอ ก็จัดวิชาที่ตรงกับสิ่งที่เข้ายอยากได้เลยสิครับ แต่หากกลุ่มอยากเรียนเป็นนักโปรแกรมเมอร์ ก็ให้เรียนไปอีกแบบหนึ่ง มันไม่ดีกว่าหรอครับ
0
กำลังโหลด
Jitlada Kankum Member 11 ม.ค. 58 18:58 น. 17

ตามความคิดเรานะ  

เรียนเพื่ออนาคต อาชีพบางอาชีพต้องการคนเก่ง เพราะ บางงานมันยากมากถ้าผิดพลาดอาจส่งผลเสียเช่นการก่อสร้าง การทำยา ถ้าไม่มีความรู้ละก็เสร็จ....ดังนั้นจึงต้องใช้การคำนวณ เเละสูตรมากมายยย การเรียนจึงสำคัญ

เเละเราตอนเเรกตกฟิสิกส์ครั้งนึง เเต่เราเปิดใจเเละพยายามปารากฏว่า มันไม่ยากอย่างที่คิด เลยไม่ตก55555555555 ดังนั้นต้องพยายามมม :))) เขิลจุง

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
น็อตน้อยยยยย 11 ม.ค. 58 19:17 น. 19
<p><strong>ถ้ามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ก็ออกมาทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ </strong><img alt="เยี่ยม" class="sticker" src="/assets/article/images/sticker/bb-01.png" /></p> <p><strong>ถ้าไม่มีเป้าหมาย ก็จงเรียนต่อไปอย่างคนที่ไร้เป้าหมาย</strong> <img alt="รักเลย" class="sticker" src="/assets/article/images/sticker/bb-05.png" /></p> <p>จริง ๆ มันก็ไม่จำเป็นนะ มันอยู่ที่คนมากกว่าว่าถ้าไม่เรียนจะทำอะไร มีเป้าหมายหรือเปล่า หรือใช้ชีวิตประจำวันไปวัน ๆ แต่สมัยนี้วงการ IT มันเปิดกว้างกว่าวงการอื่น ๆ มาก ถ้าทำงาน startup บริษัทต่างชาติเขาจะไม่ดูวุฒิการศึกษาเลย ต่อให้จบปริญญาเอก ถ้าผลงานไม่ดีไม่เข้าตา เขาก็ไม่รับครับอันนี้เคยเจอมาแล้ว เพราะสมัยนี้ไม่ใช่แค่วงการ IT หรือ วงการเกษตรกรรม เขาก็เปิดกว้างหลักสูตรออนไลน์ที่ผ่านการวิเคราะห์ และความน่าจะเป็นเป็น true แทบจะหมดแล้วครับ วงการ IT คนเรียนจบสูง เขียนโปรแกรมไม่เป็นก็เยอะครับ 5 % ใน 100 % เท่านั้นแหละที่จะเขียนได้และเข้าใจมันจริง ๆ และสามารถนำไปใช้ได้จริง ๆ เมื่อก่อนที่ผู้ใหญ่เขาไม่ตกงานกันก็เพราะว่ามีคนที่มีความรู้พื้นฐานน้อยมาก และงานก็เปิดรับตลอด อยู่ที่ว่าใครจะทำงานหรือจะเรียนจบแล้วนอนอยู่บ้านเฉย ๆ แต่สมัยนี้ก็คิด ๆ ดู มากกว่า 50 % ได้ทำงานนอกสายงาน ถึงตอนสมัครจะกรอกอย่างละเอียดว่าจบอะไรมาก็เถอะ พอเข้าไปทำจริง ๆ ไม่ต้องสืบหรอกว่าจะได้ทำอะไรบ้าง หลาย ๆ คนก็น่าจะพอเดาออก 555  คือถ้าไม่คิดจะเรียนต่อถึงปริญญาเอก ก็ออกมาทำงานเถอะ มองความเป็นจริงได้แล้ว ผู้ใหญ่เขารับรองได้รึเปล่าว่าเรียนจบมาแล้วจะมีงานมายื่นถึงตัวเลยจริงรึเปล่า ไอ่มีมันก็ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ก็คงเป็นพวกเกียรตินิยมประจำสาขาวิชานั้นจริง ๆ  ตอนนี้วงการ IT กำลังเปิดกว้าง ทั้ง Freelance , Partime , Full time , หรืออีกตัวนึงคือ Startup ที่มาแรงมาก เงินเดือนก็ 30 k + แทบทุกคน , แล้วถ้าสาย Java , C++  คือไม่ต้องสืบหรอก 40 - 90 k ชิว ๆ ประสบการณ์ขั้นต่ำ 4 ปี และมี resume ให้ดู  รวม ๆ แล้วมันก็อยู่ที่คนมากกว่า หลายคนไม่เรียนแต่ก็เงินเดือนเยอะกว่าพวกเรียน ไอ่เรียนก็ต้องดูอีกด้วยว่า " เรียนเล่น ๆ ( ส่วนมาก ) " กับ " ตั้งใจเรียนจริง ๆ มีเป้าหมายที่แน่นอน "  ส่วนไอ่พวกไม่เรียนก็ต้องดูด้วยว่าทำอะไร " ตั้งใจศึกษาหาความรู้ในสิ่งที่ชอบและเริ่มลงมือทำ " กับ " นั่งกินนอนกิน เกาะคนอื่นแดก "  อย่าไปกลัวคำคนอื่นเลยว่าจะทำอะไรแปลก ๆ แล้วไม่สำเร็จ เพราะคนสำเร็จส่วนมากก็ทำอะไรแปลกกว่าคนอื่นทั้งนั้น ลองเอาคตินี้ไปคิดนะ <img alt="หวาา" class="sticker" src="/assets/article/images/sticker/bb-07.png" /></p> <p>ครู : หนู ๆ กับลังวาดรูปอะไรอยู่หรอค่ะ</p> <p>นักเรียน : หนูกำลังวาดพระเจ้าค่ะ</p> <p>ครู : หนูเคยเห็นพระเจ้าหรอค่ะ</p> <p>นักเรียน : เดี๋ยวอีกสักพัก ก็จะได้เห็นเองแหละค่ะ  <img alt="รักเลย" class="sticker" src="/assets/article/images/sticker/bb-05.png" /></p> <p></p> <p>มันขึ้นอยู่ที่ว่าใครทำอะไรมากกว่าระหว่างนั้น ไม่ว่าจะเรียนหรือไม่เรียนก็ตาม เพราะการศึกษามันเปิดกว้างหมดแล้วสมัยนี้ในเมืองนอก หา how to ต่าง ๆ มานั่งอ่าน หา workshop มานั่งดู เด็กมัธยมต้นหลายคนยังมีความสามารถมากกว่าคนตั้งใจเรียน มหาลัยในสาขา ๆ นั้น ๆ เลย ก็รู้อยู่ว่าการศึกษามันห่วย หลักสูตรไม่ได้ห่วยมากหรอก ล้วนได้ความรู้ทั้งนั้น แต่จะเป็นความรู้ที่คนเขาไม่ได้ใช้กันในสมัยนี้ ง่าย ๆ คืออาจจะ 5 - 15 ปีที่แล้ว แต่บางมหาลัยจะเปิดกว้างส่วนมากจะเป็นเอกชน บางทีเอาหลักสูตรใหม่เข้ามาทุก ๆ ปี</p> <p>ว่าง ๆ ลองเปิด TED ดูบ้างอย่างน้อยอาทิตละ 1 วีดีโอก็ดี แล้วยิ่งที่ต้องดูคือแนวคิดของ Sir ken robinson ผู้ปฏิวัติการศึกษาของอังกฤษ และเขาก็ออกมาพูดเองเลยว่าหลักสูตรมันปฏิวัติไม่ได้ ถ้าโรงเรียนไม่คัดกรองเด็ก เด็กแต่ละคนมีความเก่งที่แตกต่างกัน หลายคนเก่งเวลาอยู่คนเดียว หลายคนเก่งเวลาอยู่ในคนหมู่มาก และหลายคนวิชาที่เรียนยังไม่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตของเค้า เพราะชีวิตคนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน โตมาแตกต่างกัน ถ้าจะผลิตคนออกมาให้อยู่ในกรอบ ก็เหมือนกับสร้างหุ่นยนต์ให้ทำตามคำสั่งก็แค่นั้นแหละ</p> <p></p> <p>Video : 1</p> <p><iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/VWe5iMXNobA" width="420"></iframe></p> <p>Video : 2</p> <p><iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/-lgsafsiy90" width="420"></iframe></p> <p>Video : 3</p> <p><iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/QRfInsE0mno" width="420"></iframe></p> <p>Video 4 : แถม</p> <p><iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/FJM2zkjO950" width="420"></iframe></p> <p></p> <p>คำเตือน : แนะนำว่าให้ดูให้จบทุกวีดีโอ <img alt="รักเลย" class="sticker" src="https://www0.dek-d.com/assets/board/images/sticker/big_stickers/by-006.gif" /></p>
0
กำลังโหลด
น็อตน้อยยยยย ` 11 ม.ค. 58 19:25 น. 20
* ถ้ามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ก็ออกมาทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ * ถ้าไม่มีเป้าหมาย ก็จงเรียนต่อไปอย่างคนที่ไร้เป้าหมาย จริง ๆ มันก็ไม่จำเป็นนะ มันอยู่ที่คนมากกว่าว่าถ้าไม่เรียนจะทำอะไร มีเป้าหมายหรือเปล่า หรือใช้ชีวิตประจำวันไปวัน ๆ แต่สมัยนี้วงการ IT มันเปิดกว้างกว่าวงการอื่น ๆ มาก ถ้าทำงาน startup บริษัทต่างชาติเขาจะไม่ดูวุฒิการศึกษาเลย ต่อให้จบปริญญาเอก ถ้าผลงานไม่ดีไม่เข้าตา เขาก็ไม่รับครับอันนี้เคยเจอมาแล้ว เพราะสมัยนี้ไม่ใช่แค่วงการ IT หรือ วงการเกษตรกรรม เขาก็เปิดกว้างหลักสูตรออนไลน์ที่ผ่านการวิเคราะห์ และความน่าจะเป็นเป็น true แทบจะหมดแล้วครับ วงการ IT คนเรียนจบสูง เขียนโปรแกรมไม่เป็นก็เยอะครับ 5 % ใน 100 % เท่านั้นแหละที่จะเขียนได้และเข้าใจมันจริง ๆ และสามารถนำไปใช้ได้จริง ๆ เมื่อก่อนที่ผู้ใหญ่เขาไม่ตกงานกันก็เพราะว่ามีคนที่มีความรู้พื้นฐานน้อยมาก และงานก็เปิดรับตลอด อยู่ที่ว่าใครจะทำงานหรือจะเรียนจบแล้วนอนอยู่บ้านเฉย ๆ แต่สมัยนี้ก็คิด ๆ ดู มากกว่า 50 % ได้ทำงานนอกสายงาน ถึงตอนสมัครจะกรอกอย่างละเอียดว่าจบอะไรมาก็เถอะ พอเข้าไปทำจริง ๆ ไม่ต้องสืบหรอกว่าจะได้ทำอะไรบ้าง หลาย ๆ คนก็น่าจะพอเดาออก 555 คือถ้าไม่คิดจะเรียนต่อถึงปริญญาเอก ก็ออกมาทำงานเถอะ มองความเป็นจริงได้แล้ว ผู้ใหญ่เขารับรองได้รึเปล่าว่าเรียนจบมาแล้วจะมีงานมายื่นถึงตัวเลยจริงรึเปล่า ไอ่มีมันก็ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ก็คงเป็นพวกเกียรตินิยมประจำสาขาวิชานั้นจริง ๆ ตอนนี้วงการ IT กำลังเปิดกว้าง ทั้ง Freelance , Partime , Full time , หรืออีกตัวนึงคือ Startup ที่มาแรงมาก เงินเดือนก็ 30 k + แทบทุกคน , แล้วถ้าสาย Java , C++ คือไม่ต้องสืบหรอก 40 - 90 k ชิว ๆ ประสบการณ์ขั้นต่ำ 4 ปี และมี resume ให้ดู รวม ๆ แล้วมันก็อยู่ที่คนมากกว่า หลายคนไม่เรียนแต่ก็เงินเดือนเยอะกว่าพวกเรียน ไอ่เรียนก็ต้องดูอีกด้วยว่า " เรียนเล่น ๆ ( ส่วนมาก ) " กับ " ตั้งใจเรียนจริง ๆ มีเป้าหมายที่แน่นอน" ส่วนไอ่พวกไม่เรียนก็ต้องดูด้วยว่าทำอะไร " ตั้งใจศึกษาหาความรู้ในสิ่งที่ชอบและเริ่มลงมือทำ " กับ " นั่งกินนอนกิน เกาะคนอื่นแดก " อย่าไปกลัวคำคนอื่นเลยว่าจะทำอะไรแปลก ๆ แล้วไม่สำเร็จ เพราะคนสำเร็จส่วนมากก็ทำอะไรแปลกกว่าคนอื่นทั้งนั้น ลองเอาคตินี้ไปคิดนะ ครู : หนู ๆ กับลังวาดรูปอะไรอยู่หรอค่ะ นักเรียน : หนูกำลังวาดพระเจ้าค่ะ ครู : หนูเคยเห็นพระเจ้าหรอค่ะ นักเรียน : เดี๋ยวอีกสักพัก ก็จะได้เห็นเองแหละค่ะ มันขึ้นอยู่ที่ว่าใครทำอะไรมากกว่าระหว่างนั้น ไม่ว่าจะเรียนหรือไม่เรียนก็ตาม เพราะการศึกษามันเปิดกว้างหมดแล้วสมัยนี้ในเมืองนอก หา how to ต่าง ๆ มานั่งอ่าน หา workshop มานั่งดู เด็กมัธยมต้นหลายคนยังมีความสามารถมากกว่าคนตั้งใจเรียน มหาลัยในสาขา ๆ นั้น ๆ เลย ก็รู้อยู่ว่าการศึกษามันห่วย หลักสูตรไม่ได้ห่วยมากหรอก ล้วนได้ความรู้ทั้งนั้น แต่จะเป็นความรู้ที่คนเขาไม่ได้ใช้กันในสมัยนี้ ง่าย ๆ คืออาจจะ 5 - 15 ปีที่แล้ว แต่บางมหาลัยจะเปิดกว้างส่วนมากจะเป็นเอกชน บางทีเอาหลักสูตรใหม่เข้ามาทุก ๆ ปี ว่าง ๆ ลองเปิด TED ดูบ้างอย่างน้อยอาทิตละ 1 วีดีโอก็ดี แล้วยิ่งที่ต้องดูคือแนวคิดของ Sir ken robinson ผู้ปฏิวัติการศึกษาของอังกฤษ และเขาก็ออกมาพูดเองเลยว่าหลักสูตรมันปฏิวัติไม่ได้ ถ้าโรงเรียนไม่คัดกรองเด็ก เด็กแต่ละคนมีความเก่งที่แตกต่างกัน หลายคนเก่งเวลาอยู่คนเดียว หลายคนเก่งเวลาอยู่ในคนหมู่มาก และหลายคนวิชาที่เรียนยังไม่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตของเค้า เพราะชีวิตคนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน โตมาแตกต่างกัน ถ้าจะผลิตคนออกมาให้อยู่ในกรอบ ก็เหมือนกับสร้างหุ่นยนต์ให้ทำตามคำสั่งก็แค่นั้นแหละ ผู้ใหญ่มักจะมองข้ามความสามารถของเด็ก และเชื่อมั่นว่าเด็กทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ ปิดกั้นจินตนาการ ปิดกั้นโอกาศ ปิดกั้นพรสวรรค์ ปิดกั้นพรแสวง Video : 1 https://www.youtube.com/embed/VWe5iMXNobA Video : 2 https://www.youtube.com/embed/-lgsafsiy90 Video : 3 https://www.youtube.com/embed/QRfInsE0mno Video 4 : แถม https://www.youtube.com/embed/FJM2zkjO950 คำเตือน : แนะนำว่าให้ดูให้จบทุกวีดีโอ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด