การเรียนภาษา ไม่ใช่แค่นึกจะเรียน แล้วจะได้ภาษาเค้าภายใน 2-3 วัน แต่ต้องมีความพยายามและใส่ใจกับมันมากๆ เลย บางคนเรียนมา 10 ปี ก็ยังได้เท่าเดิม พี่มิ้นท์เชื่อว่า น้องๆ หลายคนที่ตั้งใจเรียนภาษาจริงๆ มีอยู่เยอะทีเดียว เลยขอฝากข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ ว่า อย่าทำ 5 อย่างต่อไปนี้ ถ้าคิดจะเรียนภาษา
อายครูไม่รู้วิชา อายการใช้ภาษาไม่รู้เรื่อง (นี่มันสำนวนอะไรเนี่ย) คิดจะฝึกภาษา แต่อาย ไม่ใช่เรื่องที่ถูกนะคะ ส่วนใหญ่น้องๆ ไม่กล้าพูด เพราะกลัวพูดผิด สำเนียงไม่ดี ไม่กล้าคุยกับเจ้าของภาษา จึงได้แต่คิดและบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว ระวังจะเป็นใบ้เอานะคะ และถ้าเราอายไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่จะเกิดความกล้าล่ะ ตรงกันข้าม ถ้ากล้าพูดบ่อยๆ จะเป็นความเคยชิน และภาษาเราก็จะค่อยๆ กระเตื้องขึ้นเองค่ะ
ปัญหา "อาย" ถือว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ของการเรียนภาษาเลยล่ะ ยิ่งเราไม่ได้พูดเลย เราก็จะไม่รู้ว่าเราผิดตรงไหน บางทีไม่ต้องพูดตามแกรมม่าเป๊ะ เจ้าของภาษาก็ฟังรู้เรื่องค่ะ ไม่มีใครมาหัวเราะเยาะแน่นอน ลองคิดดูสิ ฝรั่งที่ฝึกพูดภาษาไทย เราก็ตั้งใจฟัง พูดผิดๆ ถูกๆ เราก็เข้าใจ แถมยังดูน่ารักอีกต่างหาก
ø 2. ห้าม "ขี้เกียจ"
จะทำสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จ "ความขยัน" เป็นปัจจัยสำคัญเลยล่ะ เช่น จะสอบ ก็ห้ามขี้เกียจอ่านหนังสือ อยากผอม ก็อย่าขี้เกียจออกกำลังกาย เป็นต้น การฝึกภาษาก็เช่นกัน เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยภาษาของเรา เริ่มแรก เราต้องรู้จักคำศัพท์ ต่อให้มีเทคนิคดีเลิศแค่ไหน ถ้าขี้เกียจเรียนรู้และจดจำ ผ่านไปร้อยปีก็ไม่รู้ว่าจะจำได้ถึงร้อยคำหรือเปล่า หากลองไปถามรุ่นพี่ที่เก่งภาษามากๆ น้องๆ จะรู้คำตอบเลยค่ะ ว่าที่เค้าได้มาขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่มาจากความพยายามล้วนๆ ถ้าไม่อยากย่ำอยู่กับที่ก็ห้ามขี้เกียจเด็ดขาด
นอกจากนี้ อย่าขี้เกียจหาความรู้เพิ่มเติม เพราะความรู้ไม่ได้อยู่แค่ในหนังสือ ตื่นเช้ามาลองเปลี่ยนไปดูข่าวภาษาอังกฤษ เปลี่ยนไปฟังเพลงสากล เลือกดูหนังซาวน์แทรค หรือ เรียนภาษาในช่องทางออนไลน์ต่างๆ
ø 3. ห้าม "คิดว่าเราคงไม่มีปัญญาเรียนภาษาได้"
มันก็เหมือนกับเราจะไปสอบ แต่คิดว่าสอบตกแน่ๆ เหมือนกับแช่งตัวเองแล้วก็ดูถูกตัวเองไปในตัว มันเป็นจุดบอดของการเรียนภาษา คิดแบบนี้ก็เหมือนเรายอมแพ้แล้วว่า เรียนไปก็ไร้ค่า อย่าไปเรียนมันดีกว่า ลองคิดถึงตัวเองตอนเด็กๆ สิ ภาษาไทยเป็นภาษาแรกที่เราได้เรียนรู้ ถ้าตอนเป็นเด็กคิดได้ว่า ไม่เรียนมันละ เรียนไปก็ไม่มีปัญญาเรีนยภาษาไทยได้แน่ๆ วันนี้น้องๆ คงฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาไทยไม่ได้แน่นอน ดังนั้น เอาคำว่าเราทำไม่ได้ออกไปจากหัว ทำตัวเหมือนเด็กที่พร้อมจะเรียนรู้ทุกอย่าง วันนึงน้องๆ อาจจะพูดภาษาต่างประเทศได้ไฟแล่บเลยก็ได้นะ
ø 4. ห้าม "พูดแค่ yes no ok thank you"
พูด 3 คำนี้ได้ ไม่ได้แปลว่าพูดภาษาอังกฤษเป็นนะคะ รวมถึงภาษาอื่นๆ ก็อย่ามัวแต่พูดสวัสดี ขอบคุณ ถ้ามีโอกาสได้คุยกับเจ้าของภาษา ลองเปลี่ยนจากผู้ฟังหรือผู้ถูกสัมภาษณ์ที่นั่งตอบแค่ Yes No มาลองตอบแบบประโยคสนทนาดูบ้าง รวมถึงเป็นฝ่ายถามคู่สนทนาบ้าง เพื่อให้บทสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งในข้อนี้ก็ยึดหลักการเดิมค่ะ "อย่าอาย"
ø 5. ห้าม "ใช้ตัวช่วยโดยไม่จำเป็น"
ตัวช่วยในการเรียนภาษาที่ใช้กันบ่อยๆ คือ Dictionary, Talking Dict และเป็นที่ใช้กันแพร่หลายอยู่ตอนนี้คือ google translate พี่มิ้นท์ไม่ได้ห้ามใช้ dictionary ค่ะ เพราะถ้าเราไม่รู้ศัพท์ก็คงมีแต่ดิคเท่านั้นแหละที่จะช่วยเราได้ แต่ที่อยากให้เพลาๆ ลงหน่อยก็คือ google translate บางคนฝึกอ่านและแปลภาษาอังกฤษ เล่นเอาทั้งประโยคไปวางแล้วกดแปลทีเดียว เสร็จ!! ทำให้น้องไม่ได้ใช้ความพยายามเลย แถมยังได้ความหมายผิดๆ เพี้ยนๆ ด้วย เหมือนกับร้านอาหารที่พี่มิ้นท์เคยไปกิน ใช้ชื่อเมนูน้ำฝรั่งว่า western juice พี่นี่มึนตึ้บเลยค่าา ไม่ต้องสืบเลยว่าใช้โปรแกรมอะไรแปล
ดังนั้น คิดจะเรียนภาษา ต้องใช้ความพยายามของตัวเองให้เต็มที่ที่สุดค่ะ แล้วสิ่งที่ได้จากความพยายาม จะอยู่กับตัวเราได้นานค่ะ
การเรียนภาษาที่สามให้เก่ง ไม่ใช่เรียนแค่ 3 วันแล้วจะเป็นเลย แต่ต้องใช้เวลาหลายเดือน บางคนก็หลายปี บางคนอาจต้องเรียนทั้งชีวิตก็ได้ ซึ่งถ้าน้องๆ มีข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้จนเป็นนิสัย จะยิ่งทำให้ความฝันที่อยากเก่งภาษา... ไกลออกไปเรื่อยๆ นะคะ
ขอขอบคุณรูปภาพประกอบจาก
www.why.do/why-do-we-study-english/,
www.gotmesh.org/tools-to-help/the-basic-principles-of-learning-the-english-language/
38 ความคิดเห็น
ใช่เลย อยากเก่งอังกฤษ อยากพูดให้เป็น แต่บางครั้งพอเจอหน้ากันจริงๆกลับตื่นเต้นจนพูดไม่ออกเลยอ่า ขอบคุณสำหรับบทความดีๆที่ช่วยชี้แนะให้เราด้วยนะ
จะให้เป็นภาษาต้องทำตาม 5 ข้อนี้จริงๆ = =
เวลาเจอของจริงก็เวริคทูเดาสำเนียงไม่ถูกใช้คำไม่ถูกไม่เป็นไรแค่เค้าฟังเราเข้าใจพอแล้ว
ต้องทำให้ได้ !!
มั่วเลยค่ะ ไถๆไป อาศัยจำศัพท์เยอะๆ ครูต่างชาติหรือเพื่อนต่างชาติเขาจะช่วยแก้ให้เองว่าคำไหนผิด หรือเรียนสองภาษาก็ได้แค่ ม.1-ม.3เราก็พอพูดได้แล้วเพราะใช้ทุกวัน เรียนภาษาใช้ความจำ ใช้ความเคยชินและใช้เวลานิดหน่อยเองค่ะ ไม่ยากอย่างที่คิด
อยากรู้ อยู่ 3 ภาษา
1. อังกฤษ ใช้ในชีวิตประจำวัน
2. จีน ใช้ในชีวิตประจำวันเหมือนกัน //ตอนเรียน
3. อาหรับ อันนี้ยากนะ แต่พยายามเรียนรู้ มีเพื่อนเป็นคนอาหรับในเฟสบุ๊ค นางนิสัยดีมากๆ
ชั้นต้องพูดให้ได้ สู้ๆ
ส่วนใหญ่จะเป็นข้อ2 55555555555555555
ข้ออื่นพอทำได้นะแต่พอมาเจอ 'ห้ามขี้เกียจ' น้ำตาไหลค่ะ T_T
เราเป็นนักเรียนEPนะ ส่วนมากในการใช้ฝึกภาษาก็คือการฟังเพลงสากลแล้วแปลความหมายด้วยตัวเองดูก่อน แล้วหาคำที่ไม่แน่ใจน่ะว่าถูกมั้ย แล้วใช้Social Network ให้เป็นประโยชน์ หาเพื่อนชาวต่างชาติไว้เยอะๆ จะได้ฝึกคุยค่ะ ใครจะเรียนภาษาลองเราวิธีเราไปใช้ได้นะคะ
แนะนำสำหรับคนไม่กล้าคุยด้วยนะคะเพราะเวลาพูดมันจะคิดศัพท์ไม่ออก พยายามพูดให้บ่อย อยู่ด้วยให้บ่อยค่ะ จะกล้าพูดด้วยพูดได้ทันทีค่ะ
จากประสบการณ์ตรงเราใช้ชีวิต(?)อยู่กับหมวดภาษาอังกฤษมา 2 ปีค่ะ เข้าออกเหมือนห้องเรียนหลังที่สอง สนิทกับครูฟิลิปปินส์คนหนึ่ง เรากล้าพูดกับนางเลยนะพอเริ่มคุยกันบ่อย แถมกล้าเขียนจดหมายแบบถูกๆผิดๆส่งไปด้วย ถือว่าไปอีกทางช่วยหนึ่งในการฝึกให้กล้าพูดกับฝรั่งนะคะ ที่โรงเรียนพยายามติดกับฝรั่งไว้ หาอะไรก็ได้เด่นๆเกรียนๆไปนำเสนอแกแกจะจดจำเราทันทีค่ะ 55
ข้อ5ถึงจะแปลgoogleแต่เวลาแปลเราก็ดูความหมายคำแล้วก็ต้องตรวจสอบประโยคอยู่ดีเพราะรู้ว่ามันแปลตรงตัว(มากกกกก) ไม่ได้ยกทั้งหมดที่แปลไปใช้เลยซะหน่อย สำหรับเราคิดว่ามันช่วยได้ดีนะ
ใช้ google translate แปลทั้งประโยค... นั่นเป็นความคิดที่มหัศจรรย์มากครับ
แค่พิมพ์ประโยคง่ายๆ มันก็แปลผิดไวยากรณ์แล้ว อย่าไปหวังกับการให้มันแปลประโยคยาวๆที่มีศัพท์แปลกตาเลย คุณจะได้คำแปลที่ทั้งเรียบเรียงคำเพี้ยนๆแล้วก็น่าขำมากๆกลับมาแน่ครับ
จริงๆ สำหรับเด็กไทย ปัญหาแรกเลย คือ เด็กไม่รู้วิธีออกเสียงจริงๆสำหรับภาษาอังกฤษ
ทำให้เวลาเจอแค่วีซีดีที่ครูเปิดให้ในห้องเรียน ก็ฟังไม่รู้เรื่อง
----------------------------------------------------------------------------------------
สำหรับเรานะ
เราเป็นคนขี้เกียจท่องจำมาก ทำให้สนใจฟัง พอฟังรู้เรื่องก็เริ่มคุ้นกับประโยคง่ายๆ
ทำให้ล้าพูด ขี้เกียจท่องจำแต่ชอบอ่านหนังสือนอกเวลา ทำให้ได้ศัพท์เองอัตโนมัติ
วิธีฝึกง่ายๆ สำหรับคนขี้เกียจเลย คือ
1.ฟังตามหนัง ซีรีย์ จะได้รู้จังหวะการพูด กร่อนคำ เชื่อมคำ ไม่ต้องฟังให้รู้เรื่องหรอก
ฟังๆไปงั้นแหละ ถึงเวลามันจะรู้เดี๋ยวรู้เอง (เราดูหนังซาวแทรค ซับ อังกฤษนะ)
2.อ่านหนังสือนิทาน ภาพสวยๆ ที่เป็นหนังสือนอกเวลาซีเอ็ด อ่านๆไป
อันไหนไม่รู้เรื่องก็ข้ามๆไป พอเจอศัพท์ซ้ำเดี๋ยวจำได้เอง เราชอบอ่านก็เลยได้จากตรงนี้เยอะ
3.พยายามนึกประโยคที่เราอยากจะพูด คิด หรือประโยคที่คนอื่นถามเรามา เป็นภาษาอังกฤษ
จะผิดจะถูกก็ช่างมัน สนุกดี บางทีก็พูดกับกระจก Wow ,Why I'm so beautiful.
ใช้ประโยคผิดๆ ถูกไปเลย หน้าด้านในเรื่องที่ควร 555+ แรกๆการฝึกแบบคนขี้เกียจแบบนี้
จะทำให้ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่าง นึกถึงเวลาเราต้องไปอยู่ใน
สภาพแวดล้อมนั้นๆ เหมือนคนพม่ามาไทย เราคงได้แต่ไม่เข้าใจ ใครพูดอะไร
แต่เดี๋ยวก็จะเริ่มคุ้นและพูดได้เอง ไม่มีทารกคนไหน เรียนภาษาโดยการท่องจำแกรมม่าก่อน
เพราะฉะนั้น ไปฟังๆ แล้วก็ลองพูด ใส่สำเนียง ใส่สเตรส (stress)
Don't be shy. Let's have fun in English or other language.
I can do,you can too.
ข้อแรกนี่ปัญหาหนักมาก.. เขินอ่ะ ไม่กล้าพูด 5555555555
ตอนนี้เราก็พยายามฟังข่าวภาษาอังกฤษบีบีซี ฟังเพลงสากล ดูหนังซาวน์แทร็คโดยเฉพาะแฮร์รี่พ็อตเตอร์กับเพอร์ซีย์ดูทีไรแล้วไม่เบื่อเลยจริงๆ ตอนนี้รู้สึกเลยว่าฟังเริ่มรู้เรื่องขึ้น อ่านหนังสือภาษาอังกฤษนอกเวลาของซีเอ็ดอ่ะดีจริงๆนะต้องลองยิ่งมีแผ่นซีดีด้วยยิ่งดี บางครั้งก็ฝึกอ่านออกเสียงตามแผ่นนะสนุกดี
ส่วนภาษาฝรั่งเศสที่เราเรียนอยู่นี่ง่อยมาก ไม่ค่อยได้ฝึกเท่าไหร่เลย..