ปิดเทอมหลายเดือนแบบนี้ อยู่บ้านอย่างเดียวก็มีหวังร้อนตับแตก จึงมีน้องๆ เลือกไปเรียนพิเศษ แต่จำนวนไม่น้อยก็เลือกทำงานพาร์ทไทม์ ได้ประสบการณ์ทำงาน แบ่งเบาภาระพ่อแม่ แถมประหยัดไฟบ้านด้วย แต่พูดได้เต็มปากว่า มีหลายครอบครัว ไม่อนุญาตให้น้องๆ ไปทำงานพาร์ทไทม์ ขอตั้งแต่ ม.4 ยันเรียนมหาลัย ก็ไม่เคยขอสำเร็จเลย!!
ต้องเข้าใจก่อนว่า ทำไมพ่อแม่ถึงไม่อยากให้เราทำงาน หลักๆ คือ เป็นห่วงนั่นแหละ สมัยนี้หลอกลวงกันเยอะ บอกว่าจะทำธุรกิจนี้ เข้าไปจริงๆ จากหน้ามือเป็นยิ่งกว่าหลังมืออีก รวมไปถึงอาจเจอบริษัทที่ผิดกฎหมายก็ได้ อีกเหตุผลนึงคือ ไม่อยากให้เราเหนื่อย และมองว่าแค่ค่าเทอมต่างๆ นานา พ่อแม่จ่ายได้อยู่แล้ว ดังนั้นวิธีที่จะทำให้พ่อแม่สบายใจได้ ก็คือ ทำให้เขาไม่เป็นห่วง และทำให้เขาเห็นว่าเราสามารถยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ บ้านไหนมีปัญหาพ่อแม่ไม่อยากให้ทำงานช่วงปิดเทอม ลองเอาวิธีเหล่านี้ไปใช้กันดูค่ะ
ต้องเข้าใจก่อนว่า ทำไมพ่อแม่ถึงไม่อยากให้เราทำงาน หลักๆ คือ เป็นห่วงนั่นแหละ สมัยนี้หลอกลวงกันเยอะ บอกว่าจะทำธุรกิจนี้ เข้าไปจริงๆ จากหน้ามือเป็นยิ่งกว่าหลังมืออีก รวมไปถึงอาจเจอบริษัทที่ผิดกฎหมายก็ได้ อีกเหตุผลนึงคือ ไม่อยากให้เราเหนื่อย และมองว่าแค่ค่าเทอมต่างๆ นานา พ่อแม่จ่ายได้อยู่แล้ว ดังนั้นวิธีที่จะทำให้พ่อแม่สบายใจได้ ก็คือ ทำให้เขาไม่เป็นห่วง และทำให้เขาเห็นว่าเราสามารถยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ บ้านไหนมีปัญหาพ่อแม่ไม่อยากให้ทำงานช่วงปิดเทอม ลองเอาวิธีเหล่านี้ไปใช้กันดูค่ะ
1. อย่ามีความลับ
ความลับไม่มีในโลก ยิ่งกับพ่อกับแม่แล้ว ไม่รู้จะมีความลับไปทำไม อย่ามีความลับจึงเป็นกฎที่พี่มิ้นท์เห็นว่าสำคัญที่สุดค่ะ ทำงานอะไร ตำแหน่งอะไร ทำที่ไหน ทำเมื่อไหร่ ทำบริษัทอะไร บอกเค้าตั้งแต่แรก อย่าให้เค้ามีความสงสัย เพราะถ้ายิ่งสงสัย รู้สึกว่าลูกมีความลับกับตัวเอง จะยิ่งไม่สบายใจค่ะ
2. หาเพื่อนทำด้วยกันสิ
พ่อแม่ของน้องๆ รู้จักเพื่อนของเราบ้างมั้ย? ลองชวนเพื่อนๆ ที่พ่อแม่รู้จักอยู่แล้วไปทำงานด้วยกันซะเลย หรือถ้าไปทำกับเพื่อนคนอื่น ก็หาเวลาว่างพาเพื่อนมาเที่ยวบ้าน ให้พ่อแม่เห็นหน้าตาบ้าง เขาจะได้มั่นใจว่าเรามีเพื่อนไปทำด้วย อย่างน้อยมีอะไรก็ยังมีเพื่อนให้ติดต่อหรือสอบถามได้ ในมุมผู้ใหญ่มองว่ามีหนึ่งย่อมดีกว่าสองอยู่แล้ว แต่อย่าโกหกล่ะ
3. บอกเหตุผล ว่าทำไมถึงอยากทำ
ทริคเล็กๆ สำหรับคนอยากลองทำงานพาร์ทไทม์จริงๆ คือ อย่าบอกแค่ว่าอยากทำเพราะได้เงิน เพราะถ้าแค่เงิน พ่อแม่ให้เราได้อยู่แล้ว แต่ควรบอกถึงสิ่งที่พ่อแม่หาให้เราไม่ได้ เช่น ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ รู้จักระบบการทำงาน รู้การใช้ชีวิต ได้เพื่อนใหม่ ได้โอกาสในการทำงานในอนาคต เป็นต้น ร้อยได้ร้อย ได้ยินเหตุผลที่เรามองการณ์ไกลก็น่าจะอนุญาตบ้างแหละน่า
4. ไม่ไปไกลเกินไป
สัญชาตญาณพ่อแม่ ถ้าลูกต้องไปทำอะไรโดยที่ไม่มีพวกเขาดูแลก็ย่อมเป็นห่วงเป็นธรรมดาค่ะ ซึ่งงานพาร์ทไทม์ตอนนี้ก็มีเยอะจนเลือกไม่ถูก วิธีนึงที่ท่านน่าจะอนุญาตก็คือ หางานที่ไม่ไกลบ้านจนเกินไป เพราะกว่าจะเลิกงาน เคลียร์งานเสร็จ กลับบ้านดึกดื่น จะเป็นอันตรายได้นะ อาจจะเลือกงานในห้างแถวๆ บ้าน ไม่ต้องลำบากนั่งรถเป็นชั่วโมง ข้ามเมืองข้ามจังหวัดหรอกค่ะ ประสบการณ์หาได้จากการทำงานทุกที่ ไม่จำเป็นต้องไปไกลๆ ให้เหนื่อยค่ะ
5. เลือกบริษัทที่ไว้ใจได้
งานที่ดูไว้ใจได้ในสายตาผู้ใหญ่ คือ งานที่มีที่ทำงานเป็นหลักแหล่งชัดเจน และเป็นบริษัทที่รู้จัก พูดง่ายๆ คือ บริษัทโนเนม เกิดมาไม่เคยได้ยินเลยเนี่ย จะให้ไปทำนี่เซย์โนง่ายกว่าเซย์เยสแน่ๆ ซึ่งในที่นี้งานที่ดูน่าทำที่สุด ก็คืองานในห้างสรรพสินค้าค่ะ เช่น ร้านอาหารต่างๆ ร้านฟาสต์ฟู้ด ร้านขายของภายในห้าง เพราะเป็นบริษัทที่ไว้ใจได้แน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ และเป็นงานที่ไม่อันตราย น้องๆ สามารถทำงานได้
6. เปลี่ยนงาน หาจุดกึ่งกลางระหว่างกัน
แต่ถ้าถึงขั้นที่ทะเลาะกันบ้านแตกสามรอบแล้วก็ไม่ให้ไปทำงานพิเศษแน่ๆ พี่มิ้นท์ขอเสนอทางออกที่สมานฉันท์สุดๆ คือ หางานที่เป็นกึ่งกลางความต้องการของทั้งสองคน ประมาณว่า ทำงานที่ไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล ไม่ต้องไปบริการใครเค้า พ่อแม่ก็จะสบายใจได้เปราะนึง เช่น รับสอนพิเศษที่บ้าน รับพิมพ์งาน หรือถ้าบ้านอยู่ในทำเลที่ดีหน่อย ก็ขายของหน้าบ้านซะเลย จะได้อยู่ไม่ไกลจากสายตาผู้ปกครองด้วย และเราก็ได้ทำงานในช่วงปิดเทอมด้วย
สรุปก็คือ ที่พ่อแม่ไม่ค่อยอยากให้ไปทำงานเองก็เพราะกลัวเราลำบาก และถูกหลอก ซึ่งน้องๆ ก็ต้องเข้าใจท่านด้วยนะ ลูกทั้งคนไม่ให้ห่วงแล้วจะให้ไปห่วงใคร แต่เมื่อเข้าใจแล้วก็ต้องพูดคุยให้ตรงจุดค่ะ เป็นห่วงใช่มั้ย? ก็ต้องทำให้หายเป็นห่วงให้ได้ ซึ่งใน 7 ข้อนี้ก็พอเป็นแนวทางเอาไปใช้เจรจาได้นะ และเมื่อได้ทำงานแล้ว ก็ขอให้เอาประสบการณ์ทำงานไปใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วย โดยเฉพาะเรื่องการประหยัด ทีนี้จะได้รู้แล้วว่าหาเงินมันเหนื่อยขนาดไหน!!
16 ความคิดเห็น
ดีเลยค่ะ กำลังขอแม่ทำงานพิเศษ แต่แม่ไม่ให้ กลับจะให้เราขายครีมอยู่ที่บ้านซะอีก
มันไม่ใช่
การทำงานข้างนอกมันอันตรายกว่าที่คิดพ่อแม่จะห่วงก็ไม่แปลกคับเพราะบางทีเพื่อนที่ไว้ใจอาจทรยศบางทีเจอพวกที่บ้าอำนาจก็โดนพวกนี้ใช้งานไม่คุ้มค่าแรง
เราทำงานอยู่บ้านค่ะ รับวาดภาพประกอบนิยายให้เพื่อนแต่ไม่คิดเงิน (งานหรือนั้น) :v
ใครคิดอะไรไม่ออกก็ลองทำงานที่ตัวเองรักแต่สามารถทำที่บ้านได้ลองดูสิครับ รับรองว่าคราวนี้พ่อ กับ แม่ ห้าม เราไม่ได้แน่นอน
พ่อแม่ไม่เคยห้ามไม่ให้ทำงาน part time นะ แต่พ่อแม่แค่เป็นห่วงว่ามันจะคุ้มหรือเปล่าระหว่างค่าจ้าง กับค่าเดินทาง ไหนจะเหนื่อยอีก แต่ก็อย่างที่พ่อแม่ห่วงจริง ๆ แล่ะ เหนื่อยอ่ะไม่เท่าไหร่ เพราะยังไงทำงานมันก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้ว แต่ค่าจ้างดันเท่ากับหรือน้อยกว่าค่าเดินทางนี่ดิ -_-' แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีนะ จะได้รู้จุดบกพร่องของงาน จะได้วางแผนใหม่ในงานหน้าว่าทำยังไงค่าจ้างถึงจะได้มากกว่าค่าเดินทาง
เรานี่บอกพ่อแม่ว่าอยากจะเก็บขยะตามข้างทางไปขายเป็นเงินเก็บออม
พ่อแม่กลับบอกให้เราเลิกเรียนหนังสือทันทีและถามว่าทำไมไม่เป็นจิตอาสาช่วยเก็บขยะ
พวกจิตอาสาทำงานเป็นกลุ่มและไม่สนใจเงิน เป็นกิจกรรมของของชมรม สนใจแต่ส่วนรวม
แต่คนที่ทำงานเก็บขยะขายเป็นเงินเก็บออมส่งเลี้ยงตัวเองและไม่เกี่ยวกับพวกกิจกรรมชมรม
ทำไมพ่อแม่เราไม่เป็นแบบนี้บ้างก็ไม่รู้ มีแต่ไล่ไปทำงาน หาเงินเอง
หาเรียนเอง อยากเรียนอะไรก็เรียนแต่หาเองนะ หากิน หาอยู่เอาเอง
พ่อแม่จะอยู่บ้าน ไม่อยากจะไปเสียเวลากับลูกหรอก
(ความจริงมันหยาบกว่านี้ครับ แต่มันมีระบบเซ็นเซอร์)
ช่วงที่อยู่ ปี2 เคยขอพ่อแม่เหมือนกัน ขอตรงๆเลย เห็นเพื่อนทำเลยอยากทำบ้าง
ก็บอกเหตุผลเค้าไปตรงๆนะ แม่ถามกลับมาว่า " เงินที่ให้ไม่พอใช้หรอ? จะเอาเท่าไหร่? "
อึ้งไปแป๊ป คือไม่ใช่ไง พ่อก็บอกว่า " ส่งให้เรียน ไม่ได้ให้ไปทำงาน ถ้าอยากทำก็ลาออกซะ "
#จะบอกว่า แล้วแต่ความคิดของพ่อแม่เราด้วยนะ อย่างของเรา เราเข้าใจนะว่าเค้าไม่อยากให้เราลำบาก อยากให้เราตั้งใจเรียนให้เต็มที่ แต่ก็นั่นแหละ ตอนนั้นที่เราอยากทำเพราะเห็นเพื่อนทำเลยอยากทำบ้างด้วยแหละ ถ้าพ่อแม่ให้ทำจริงๆก็คงไม่รอดเหมือนกัน 5555555
แต่ตอนนี้ทำงานแล้ว สบายแล้ว 55555555555
ปล. เรานับถือคนที่ทำงานส่งตัวเองเรียนนะ คือคุณเก่งอ่ะ เราทำไม่ได้
แม่บังคับซะอีกน่ะสิครับ
คือยากทำงานอะนี่อายุ15จะ16เเล้วเเม่ไม่ให้ทำ
เพราะยังเรียนยุอยากกกกทำมากกกกกกกกม๊วกกกก