ดวงตาแห่งทะเลทรายซาฮารา : ร่องรอยสุดแปลก ที่ต้องมองจากนอกโลกถึงจะเห็น


 
         สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com น้องๆ เคยสังเกตแผนที่โลกของเราเล่นๆ บ้างมั้ยคะ พี่มิ้นท์ว่าบนโลกของเรามีความน่าสนใจหลายอย่างที่เห็นได้จากแผนที่หรือดาวเทียม ไม่ว่าจะเป็นภูมิประเทศและความอุดมสมบูรณ์ที่แตกต่างกัน บางพื้นที่สีเขียวชอุ่ม แต่บางมุมโลกพื้นผิวเต็มไปด้วยสีน้ำตาล ซึ่งแสดงถึงพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายนั่นเองค่ะ
 

 

        ทะเลทราย เรารู้กันดีว่า เป็นพื้นที่ที่แห้งแล้งจัด มีทั้งความร้อน ความแล้งและฝุ่น ยากที่สิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ได้ ซึ่งบนโลกเรามีทะเลทรายอยู่หลายแห่ง ครอบคลุมอยู่หลายประเทศ แต่ที่มีชื่อเสียงและมั่นใจว่าน้องๆ ต้องคุ้นหูแน่ๆ ก็คือ ทะเลทรายซาฮารา พี่มิ้นท์แอบสังเกตมาด้วยว่า ทะเลทรายซาฮาราอันโด่งดังนี้ มีดวงตาด้วยนะ ????
 

 

        ทะเลทรายซาฮารา ได้ชื่อว่าเป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยนะคะ เพราะมีเนื้อที่ถึง 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร กินพื้นที่ 1 ใน 3 ของทวีปแอฟริกาเลยทีเดียว ถ้าเทียบให้เห็นภาพก็ใหญ่เท่ากับประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งประเทศเลยทีเดียว เนื้อที่ทั้งหมดนี้ครอบคลุมหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น แอลจีเรีย ลิเบีย อียิปต์ มาลี ชาด ซูดาน มอริเตเนีย ฯลฯ ประเทศเหล่านี้ก็เลยมีภูมิประเทศที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ยิ่งดูบนภาพถ่ายดาวเทียมก็จะยิ่งเห็นว่าทวีปนี้มีแต่สีเหลืองน้ำตาลเต็มไปหมด แต่ท่ามกลางความร้อนแห้งแล้ง ก็ยังมีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่จะว่าสวยก็สวย ประหลาดก็ประหลาด และหาดูจากที่อื่นไม่ได้ สิ่งนี้เราเรียกกันว่า "ดวงตาแห่งซาฮารา" นั่นเอง
 

 

       ดวงตาแห่งซาฮารา (The eye of the Sahara) มีชื่อเรียกทางการว่า Richat Structure ตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศมอริเตเนีย มีรูปร่างลักษณะเป็นวงค่อนข้างกลม เป็นโครงสร้างของชั้นหินเรียงตัวกัน ทั้งหินตะกอน หินทราย เรียงกันเป็นวงแหวน และมีทรายล้อมรอบ มองเผินๆ ดูคล้ายกับดวงตาของคนค่ะ นี่จึงเป็นที่มาที่เราเรียกกันแบบนี้ มีขนาดกว้างอย่างน้อย 40 กิโลเมตร ด้วยขนาดที่ใหญ่มหึมา ถ้าเราไปยืนอยู่ในสถานที่จริง เราจะไม่เห็นเป็นรูปร่าง เพราะรอบๆ ก็จะมีแต่หิน ทราย จนดูไม่ออก แต่จะเห็นได้ก็ต่อเมื่อนั่งเครื่องบินหรือมองภาพถ่ายจากดาวเทียมเท่านั้นค่ะ
 

credit : https://en.wikipedia.org/wiki/Richat_Structure#/media/File:ASTER_Richat.jpg
 

       ร่องรอยที่เป็นรูปทรงแบบนี้ ทำให้เกิดคำถามว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง มีทั้งนักวิทยาศาสตร์และนักธรณีวิทยาทำการศึกษามากมาย แรกเริ่มเดิมทีเข้าใจกันว่าเป็นร่องรอยของอุกกาบาตพุ่งชนใส่โลก แต่เมื่อศึกษาไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเบนความคิดไปว่าน่าจะเป็นปากปล่องภูเขาไฟ แต่สุดท้ายก็ไม่น่าจะใช่ เพราะกลับไปสำรวจแล้วไม่เจอหินอัคนีซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญถ้าหลุมที่ว่าเป็นปล่องภูเขาไฟ จนในที่สุดก็ได้คำตอบในทางธรณีวิทยาว่า เกิดจากการที่หินถูกกัดเซาะตามธรรมชาติเป็นเวลานาน ก็เลยออกมาเป็นหน้าตาแบบปัจจุบันนั่นเอง แต่คำตอบนี้ก็ยังต้องรอพิสูจน์กันต่อไปนะคะ เพราะแม้ว่าจะได้คำตอบแล้วก็ยังมีความสงสัยอยู่ดีว่าทำไม มันยังอยู่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้จนถึงทุกวันนี้

       โลกของเรายังมีสิ่งที่แปลกตาอีกหลายอย่างเลยนะคะ ซึ่งต้องขอชื่นชมคนที่ช่างสังเกตจนได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์นี้ หากน้องๆ สนใจอยากดู ก็เข้าไปที่ Google Map แล้วพิมพ์ Eye of the Sahara ในนั้นมีรูปถ่ายของสถานที่จริงๆ ให้ได้ดูกันด้วย ดูแล้วรู้สึกยังไงแวะมาเล่าให้ฟังกันบ้างนะ :D

 
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
www.google.co.th/maps/,
https://en.wikipedia.org/wiki/Richat_Structure,
www.zmescience.com/science/geology/the-eye-of-the-sahara-05102010/,
www.nstda.or.th/blog/?p=3940
พี่มิ้นท์
พี่มิ้นท์ - Columnist พี่สาวใจเย็น ผู้เกิดมาในแอดมิชชั่นยุคแรก แต่เข้าใจ TCAS มากกว่า

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

4 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
สะระแหน่ 28 พ.ค. 59 16:00 น. 3
เหมือนได้อ่านเรื่องลี้ลับ ผสมกับ รหัสลับ ยังไงไม่รู้ วิทยาศาสตร์ ก็เป็นทั้งศาสตร์ และเป็นทั้งศิลป์ ได้เหมือนกัน เห็นรูปแล้ว บางคนอาจมองเป็น ผลไม้ญี่ปุ่น ราคาแพงก็ได้ แต่ถ้ามองแบบศิลปิน อาจบอกได้ว่า เหมือนดวงตาของ พี่โลก เฝ้ามองดูน้อง ดวงจันทร์ แบบไม่คลาดสายตามานานนับหลายร้อยหลายพันล้านปี และจะยังคงเฝ้ามองต่อไปตราบจนพี่โลกนี้จะแหลกสลาย มีทั้งดวงตามีทั้งดวงจันทร์เหมือนเคยได้ยินว่า จันทร์ทราเปรียบดั่งดวงตา กุสุมาเปรียบดั่งดวงใจ จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้ แบบว่าชอบทั้งสองคนเอาหมด(ฮา)
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด