วันก่อน (29 มิถุนายน 2559) พี่เกียรติเปิดไปชม Live บน facebook ของไทยพีบีเอสมาค่ะ เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นคอลัมน์สายอาชีพ Dek-D หัวเขียวๆ ส้มๆ ของเรานี่แหละ ว่าด้วยเรื่อง "เด็กอาชีวะตีกัน เย้ยมาตรา 44 หยุดนักเรียน นักเลง" ความน่าสนใจคือมีแขกรับเชิญเป็นอดีตอาชีวะที่ไปตีกับสถาบันอริจริงๆ มาด้วย อย่างนี้พี่เกียรติก็ต้องขอชมสักหน่อย และนำมาเล่าสู่กันฟังจ้า


ภาพ: เว็บราชกิจจานุเบกษา (ratchakitcha.soc.go.th)
             
              ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าเมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมามีการออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่องการป้องกันและแก้ไขการทะเลาะวิวาทโดยมาตรา 44 ออกมา ซึ่งใครๆ ก็รูว่ามาตรา 44 เป็นยาแรงในการจัดการปัญหาต่างๆ และคำสั่งนี้ไม่ใช่ออกมาเพื่อจัดการแค่คนที่ตีกันเท่านั้น ผู้ปกครอง สถาบัน จนถึงรุ่นพี่หรือคนยั่วยุให้ตีกันก็ต้องรับผิดชอบตามมาตรา 44 ด้วยกันหมด แต่ข่าวอาชีวะตีกันกลับแรงติดต่อกันเย้ยมาตรา 44 ซะงั้น? 


รายการตอบโจทย์ (ออกอากาศทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 22.00 - 22.30 น.)
ภาพถ่ายหน้าจอจาก facebook : ThaiPBSFan
program.thaipbs.or.th/Tobjote

 

          ทำไมยาแรงอย่างมาตรา 44 ถึงควบคุมพฤติกรรมอาชีวะตีกันไม่ได้ หรือเพราะยังไม่ทันได้ควบคุม หรือเพราะสาเหตุอื่นใด ทางรายการตอบโจทย์ ไทยพีบีเอส เชิญแขกรับเชิญมาดังนี้ 
  • นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
    • คุณอุดม บุตตะ  หัวหน้าศูนย์เสมารักษ์ กระทรวงศึกษาธิการ
  • คุณเอ (นามสมมติ) อดีตเด็กอาชีวะที่เคยตีกับสถาบันคู่อริ และคู่อริเสียชีวิต 


             ทางรายการเริ่มเปิดประเด็นที่คุณเอ อดีตเด็กอาชีวะค่ะ ทำไมไปตีกัน (ข้อความที่เขียนในบทความนี้เป็นเพียงสรุป โดยมิได้เรียงคำถามตามลำดับ มิใช่การถอดคำเป๊ะๆ มาจากรายงานนะคะ)

คุณเอ (นามสมมติ)
"ไม่ได้รู้จักกัน แต่เพราะอยู่ต่างสถาบันกัน เลยมาตีกัน"

              "เจอกันระหว่างทางกลับบ้าน ไม่ได้รู้จักกัน แต่เพราะอยู่ต่างสถาบันกัน เลยต่างฝ่ายต่างวิ่งเข้ามาตีกัน ขณะที่เกิดเหตุก็คิดถึงแต่เหตุการณ์เฉพาะหน้า ไม่ได้ระวังถึงผลกระทบต่อคนรอบข้าง ตอนที่ยิงไม่ได้คิดจะเอาชีวิต แค่ป้องกันตัวจริงๆ เอาตัวให้รอดก่อน" และเรื่องมันจบตรงที่ว่าคุณเอซึ่งพกปืนมาด้วย ยิงสวนคู่อริไปหนึ่งนัด และเหตุที่คุณเอพกปืนนั้น ก็เพราะว่ามีประสบการณ์โดนทำร้ายมาก่อน เลยต้องพกปืนป้องกันตัว 
             
             ซึ่งคุณอุดม หัวหน้าศูนย์เสมารักษ์ ก็บอกเช่นกันว่า "ลักษณะส่วนใหญ่ของนักศึกษาที่ตีกันก็มาจากสาเหตุนี้ คือต่างคนต่างระแวงกันไปมา และพอมาอยู่ ณ จุดที่ตีกัน ยังไงก็ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน แต่เรื่องการพกพาอาวุธไม่ใช่ว่าทุกคนจะพกอาวุธ ซึ่งโดยปกติแล้วทางสถาบันจะจัดทีมครูหรือรุ่นพี่ไปรับ - ส่งนักศึกษาอยู่แล้ว"


                 ประเด็นที่น่าสนใจ และเป็นทุกคำถามของการพูดคุยเรื่องอาชีวะตีกันคือ "ทำไมต้องตีกัน ทำไมต่างสถาบันต้องเป็นศัตรูกัน มีสาเหตุจริงๆ หรือไม่" 
           
                คุณอุดมตอบย่างชัดเจนว่า "ไม่ทราบจริงๆ มันเป็นเรื่องของความเชื่อที่ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงเหมือนกัน" ส่วนคุณเอว่า "มันเป็นเรื่องรุ่นต่อรุ่น ที่พูดต่อๆ กันมา ไม่รู้ว่าสาเหตุอะไร และตอนนั้นก็ไม่มีความกล้าหาญจะถามรุ่นพี่" 

...รุ่นพี่บอกว่า อริก็คือริ ก็เชื่อไปตามนั้น ไม่กล้าถาม...


คุณหมอยงยุทธ 
"มันเป็นการสร้างตัวตนแบบหนึ่ง แต่เป็นวิธีการด้านลบ"

                   ส่วนคุณหมอยงยุทธ ตอบว่า "ส่วนหนึ่งก็เป็นไปตามพัฒนาการสมองและตามวัยของวัยรุ่น ด้วยช่วงวัยนี้การพัฒนาความคิดด้านการตัดสินใจที่เหมาะสมยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ การตีกันมันก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการสร้างอัตลักษณ์(สร้างตัวตน)ด้านลบ เป็นค่านิยมเชิงลบเฉพาะกลุ่ม ซึ่งไม่ได้เป็นการบ่งชี้ว่าคนที่มีค่านิยมเชิงลบแบบนี้จะต้องเป็นคนเลว แต่เป็นรูปแบบค่านิยมของกลุ่มสังคมหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องหาค่านิยมที่เหมาะสมให้ชาวอาชีวะ จึงจะทำให้พฤติกรรมสร้างอัตลักษณ์มันไปได้ถูกทาง อย่างตอนปี 2548 - 49 มีการตีกันต่ำ เพราะรัฐสนับสนุนและ อาชีวะสร้างชาติ ตอนนั้น บูมมาก ทำให้ปัญหาอาชีวะเบาบางลง จริงๆ ระบบโรงเรียนสามัญก็มีปัญหาอัตลักษณ์ด้านลบเหมือนกัน แต่รูปแบบต่างกัน แบบแกล้งเพื่อนในโรงเรียนกันเอง แล้วก็ยืดที่ข่มคนอื่นได้ เพียงแต่สังคมมันคนละบริบท"

                  คุณเอเองก็ให้ความตอบในลักษณะที่สนับสนุนความคิดเห็นของคุณหมอเลยค่ะ คือ "ถ้ามีกิจกรรมที่ทำให้ชาวอาชีวะสร้างคุณค่าในตัวเองมากขึ้นมันก็ดี แต่บางทีรุ่นน้องเข้ามาใหม่ อยากดัง อยากเป็นที่รู้จัก ก็ไปทำวิธีผิดๆ เช่น ไปตบแหวนตบหัวเข็มขัดต่างสถาบันมา ให้รุ่นพี่ดู รุ่นพี่ก็ชมเชย"
 

คุณอุดม
"รุ่นพี่ศักดิ์สิทธิ์มาก" 

               คุณอุดมกล่าวว่า "มันเป็นรูปแบบของการยอมรับ ความต้องการเป็นฮีโร่ แต่มันก็เป็นลักษณะของสถาบันเอง อย่างมีการรับน้อง ก็เคยเข้าไปขอว่าอย่ารับน้องกันรุนแรงได้ไหม แต่รุ่นพี่ศักดิ์สิทธิ์มาก ครู ผู้ใหญ่ ผู้ปกครองขอ ก็ไม่ได้ผล ถ้ารุ่นพี่จะบอกให้ทำซะอย่าง"


แล้วมาตรา 44 นี้จะได้ผลจริงไหม?
 
         แขกรับเชิญผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน ตอบในลักษณะว่า "ทุกคนทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่แค่กฎหมายแรงอย่างเดียว แล้วจะเขียนเสือให้วัวกลัวได้" 

ผู้ดำเนินรายการ คุณจีรชาตา เอี่ยมรัศมี
       
                  คุณอุดมกล่าวชัดเจนว่า "มาตรา 44 เหมือนการป้องกันมากกว่า มันดีในแง่ทีว่ามันสะกิดให้ผู้ปกครองมีส่วนรับผิดชอบต่อพฤติกรรมลูกด้วย ไม่ใช่ผู้ปกครองโบ้ยให้ทางสถาบันอย่างเดียว"
              ซึ่งทางคุณหมอยงยุทธก็บอกว่า "ในแง่ของผู้ปกครอง พ่อแม่ก็ควรรู้และสังเกตพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงของลูกแต่แรก คือลูกมีปัญหา มันก็มีแนวโน้มอะไรให้เห็นก่อนอยู่แล้ว สมมติเด็กหนีเรียนหนแรก พ่อแม่ก็ต้องรู้แล้ว ต้องรีบมาคุย ไม่ใช่แค่ว่ามีปัญหาใหญ่ๆ ค่อยมาแก้ตอนท้าย หรือว่าโรงเรียนอย่างเดียว มันต้องช่วยไปพร้อมๆ กัน"

           "จริงแล้ว  ณ ขณะที่ก่อเหตุ เด็กที่ตีกันไม่ได้คิดอะไรหรอก น่าจากจะเอาชนะหรือเอาตัวให้รอด กฎหมายทำอะไรไม่ได้ตอนนั้น แต่มันจะได้ผลต่อเมื่อมีระบบช่วยกัน อย่างระบบรับ-ส่งเด็ก ระบบสอนเด็กที่มักเป็นเหยื่อ ซึ่งมักไม่ใช่หัวโจก แต่เป็นเด็กอาชีวะที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ให้รู้จักระมัดระวังตัว ไม่ไปที่สุ่มเสี่ยง สอนให้เด็กกลุ่มหัวโจกเข้าใจคุณค่าชีวิตของคนอื่นเท่าเทียมกับชีวิตตัวเอง"


"ลูกต้องหันไปหาแสงข้างนอก"

             คุณเอกล่าวตอบคำถามสุดท้ายของรายการว่า "มาตรา 44 มันก็ดี แต่จริงๆ มันอยู่ที่พื้นฐานครอบครัวด้วย ถ้าพ่อแม่ได้อยู่เป็นที่พึ่งลูก ให้แต่เงินเลี้ยงดูอย่างเดียว ไม่มีกิจกรรมร่วมกัน ไม่เห็นบทบาทลูก "ลูกต้องหันไปหาแสงข้างนอก"  

 
             ว้าว "ลูกต้องหันไปหาแสงข้างนอก" ประโยคนี้พี่เกียรติแอบปรบมือให้เบาๆ ลูกไม่มีที่พึ่ง ก็เลยไปหาแสงที่เป็นรุ่นพี่ บังเอิ๊ญรุ่นพี่เป็นแสงที่ผิดทางไปหน่อยไงล่ะ!


           สรุปได้ว่า เรื่องอาชีวะตีกัน มันย้ำๆ อยู่กับที่! รุ่นพี่บอกให้ทำ ก็เชื่อกันทำ ประกอบกับเด็กอาชีวะบางกลุ่มถูกปล่อลปละละเลยจากครอบครัวเองด้วย ทำให้เด็กอาชีวะรุ่นใหม่ที่เข้าไปยิ่งเชื่อในตัวรุ่นพี่มากขึ้น ทั้งที่ไม่มีใครบอกได้ว่าตีกันไปทำไม แต่คนที่โดนลูกหลงจริงๆ มักเป็นเด็กอาชีวะที่ไม่รู้เรื่องด้วย หรือชาวบ้านเดินผ่านแถวนั้น มาตรา 44 เป็นมาตรการที่ดี แต่หากมีเด็กอาชีวะสักคน (ที่อาจมีอิทธิพล) ดันไปคิดว่าการเอาตัวรอดจากมาตรา 44 ได้ เป็นเรื่องเท่ร่วมไปกับการไม่มีระบบดูแลจากทั้งครอบครัว สถาบัน และไม่มีการสร้างคุณค่าและค่านิยมที่ดีให้กับการเรียนสายอาชีพได้ ต่อให้มีมาตรา 44 ที่เข้มมากกว่านี้ หรือผลลัพธ์ถึงประหารชีวิตไปเลย (สมมตินะคะ) ปัญหานี้ก็ยังอยู่ต่อไปแน่นอนค่ะ
 
อ่านคำคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ 
เรื่องการป้องกันและแก้ไขการทะเลาะวิวาทโดยมาตรา 44 ฉบับเต็มได้ที่ > เว็บราชกิจจานุเบกษา <


              แน่นอนค่ะว่า เรื่องการที่วัยรุ่นสักคนจะเกเร "มันอยู่ที่ตัวบุคคลแต่ละคน" แต่ในมุมมองของพี่เกียรติแล้ว ไม่มีวัยรุ่นเลวๆ ค่ะ ถ้าไม่มีสังคมผลักไสให้เป็น การไม่ได้รับการยอมรับ ไม่มีพื้นที่ให้แสดงออก ไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษา คนเราทุกคนต้องมีสาเหตุที่จะกลายเป็นคนเลว กลายเป็นเด็กเกเรค่ะ (ดูตัวอย่างในเรื่องฮอร์โมนสิ ฮ่าๆ) ทุกคนอยากมีตัวตนในสายตาของใครสักคนทั้งนั้น แต่แน่นอนตัวเราควรสร้างคุณค่าของเราให้ถูกทางดีกว่าค่ะ


            สุดท้ายนี้ขอย้ำอีกทีว่า "สายอาชีพ/อาชีวศึกษา เป็นรูปแบบการศึกษาที่ดี และเป็นที่ต้องการของสังคม" ไม่ควรให้ปัญหาตีกันมาทำให้มองว่าอาชีวะคือแหล่งรวมเด็กเกเร ไร้อนาคตค่ะ ไม่ควรเหมารวมนักศึกษาที่เลือกเรียนอาชีวะด้วยค่ะ 


             
ขอขอบคุณ การพูดคุยดีๆ จากรายการตอบโจทย์ ช่อง ThaiPBS และติดตามรายการเต็มๆ ตอน "เด็กอาชีวะตีกัน เย้ยมาตรา 44 หยุดนักเรียน นักเลง?" ได้ทาง ย้อนหลังรายการตอบโจทย์ และ live facebook (video)

สุดท้ายวามสายอาชีพ
พี่เกียรติ
พี่เกียรติ - Community Master ถนัดแฝงตัวตามกระทู้เด็กดี มีความสนใจเป็นล้านเรื่องขึ้นอยู่กับดราม่าขณะนั้น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

รักนะจ๊ะ 8 ก.ค. 59 20:47 น. 1
ก้อย่างว่าหล่ะครับ คนพวกนี้เขามีศักดิ์ศรีของสถาบันตัวเองที่น่าเชิดชู จนผมสงสัยว่า มันเป็น 'ศักดิ์ศรี' หรือ 'อีโก้' ของวัยรุ่นที่แค่อยากคึกคะนอง แล้วเอาสถาบันมาอ้าง
0
กำลังโหลด
ฟันเฟืองตัวหนึ่ง 9 ก.ค. 59 08:53 น. 2
ต้องไปดูรายการต่างคนต่าวคิดครับแอดมิน ตรงกว่าเยอะมาก ถ้าแอดมินไปดูจะเข้าใจมากขึ้น เยี่ยม
0
กำลังโหลด

11 ความคิดเห็น

รักนะจ๊ะ 8 ก.ค. 59 20:47 น. 1
ก้อย่างว่าหล่ะครับ คนพวกนี้เขามีศักดิ์ศรีของสถาบันตัวเองที่น่าเชิดชู จนผมสงสัยว่า มันเป็น 'ศักดิ์ศรี' หรือ 'อีโก้' ของวัยรุ่นที่แค่อยากคึกคะนอง แล้วเอาสถาบันมาอ้าง
0
กำลังโหลด
ฟันเฟืองตัวหนึ่ง 9 ก.ค. 59 08:53 น. 2
ต้องไปดูรายการต่างคนต่าวคิดครับแอดมิน ตรงกว่าเยอะมาก ถ้าแอดมินไปดูจะเข้าใจมากขึ้น เยี่ยม
0
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด