EN06 จางชื่อซวน...ประติมากรตกอับ
เมื่อมังกรอยากเป็นมนุษย์จับคู่กับงูเผือกบ้ากวี การเดินทางเพื่อตามหาความฝันจึงเริ่มต้นขึ้น ภายใต้การชักใยของเหล่าเทพชั้นสูงเพื่อส่งมังกรไปให้ถึงสองมือของจักรพรรดิคู่บารมี
ใบไม้โรยร่วง
ลมหนาวพัดเยือนมา
ดอกบัวโรยรา
เฉกเช่นสุยร้างราไกล
กึก กึก
เสียงเครื่องมือปลายแหลมถูกเคาะลงไปตามร่องหินที่ร่างลวดลายเอาไว้ดังเป็นจังหวะทำนองคุ้นหูจนราวกับบทกลอนยอดนิยมที่คนข้างนอกกำลังเอื้อนเอ่ย หรือไม่เสียงการทำงานของเขาก็ดังประกอบความไพเราะของเจ้านักกวีผู้นั้นไปฉิบ
“ช่วยเงียบเสียงของเจ้าจะได้ไหม ข้าไม่มีสมาธิทำงาน” ว่าพลางตอกลิ่มโป้กๆ ด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธที่เก็บมานานนม แต่ดูเหมือนคนข้างนอกจะไยดีไม่
“ใครต่อใครพากันนิยมชมชอบบทกลอนของข้า เจ้าเป็นใครไร้หัวใจมาจากไหน ไยจึงทำร้ายความงามของอักษรศิลป์ได้เช่นนี้”
ไอ้...
บัดซบ!
แม้จะรู้จักคนข้างนอกมาทั้งชีวิต ด้วยวางตัวโดดเดี่ยวสร้างกระท่อมตีนเขาอยู่กันสองครอบครัว แต่ก่อนเขากับมันก็รักใคร่กันดีจนกระทั่งอารมณ์ศิลปินของมันที่บอกว่าหน้าบ้านเขามีจิตวิญญาณแห่งอักษรบ้าบอคอแตกทำให้นับแต่นั้นมาเจ้าตัวก็ตื่นมานั่งต่อกลอนแต่เช้ากับกลุ่มชาวบ้านที่เดินผ่านมาเพื่อไปยังเมืองข้างๆ
บ้านตัวเองมีไม่อยู่ ชอบมานั่งเฝ้าหน้าบ้านคนอื่นอยู่ได้!
เพราะแบบนั้นลูกค้าของเขาที่ปกติก็ไม่ค่อยจะมีจึงยิ่งลดลงจนแทบจะไม่มีเพราะใครที่ผ่านทางต้องมาต่อกลอนกับไอ้หมอนั่นก่อน
ยังไม่นับสาวน้อยสาวน้อยใหญ่ที่หลงเสน่ห์และคารมคมคายที่เขาไม่เคยเห็นจึงทำให้แวะเวียนมาบ่อยๆ
แต่ทุกอย่างจะดีกว่านี้ถ้าสถานที่ที่พ่อหนุ่มเนื้อหอมอยู่ไม่ใช่หน้าบ้านเขา!
และเขาจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าคนที่แวะเวียนมาเป็นลูกค้าของเขา!
...ซึ่งมันไม่ใช่!!
“เจ้าจะหยุดร้องหรือจะให้ข้าทุบหัวเจ้าแล้วแบกกลับบ้าน!” สติของเขาขาดผึงเมื่อคนถูกเตือนไม่สนใจซ้ำยังร้องต่อกลอนยั่วประสาท ยังดีที่คนที่เคยรุมล้อมจนหาอากาศหายใจไม่เจอค่อยๆ ขยับไปเพราะสายตาของเขา แต่เจ้าตัวต้นเหตุยังแสร้งทำไม่รู้อยู่เช่นเดิม
ไม่รู้ทำไมนับวันความอดทนของเขาที่มีต่อคนตรงหน้าจึงค่อยๆ ลดน้อยลงเรื่อยๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายหันใบหน้าหวานราวกับผู้หญิงมาแล้วเล่นหูเล่นตาพร้อมทั้งทำทีปัดผม ยาวสลวยไปข้างหลัง แล้วเอ่ยยั่ว
“เจ้าทำตัวเหมือนสามีผู้ชื่นชอบการตบตีภรรยาเหมือนบ้านท้ายแม่น้ำ”
ปึง!
“ข้าไม่ได้ชอบความรุนแรง” เขาพยายามนับหนึ่งถึงร้อยด้วยรู้ว่าต่อให้พยายามจะหยุด แต่ตราบที่อีกฝ่ายพยายามจะต่อมันก็ไม่มีทางหยุดได้ ทางที่ดีควรปิดประตูบ้านแล้วกลับไปทำงานซะ
แต่คงช้าไป...
“อ้อ! ไม่ปฏิเสธเรื่องที่ข้าเป็นภรรยาด้วย”
“เจ้าไม่ใช่ภรรยาข้า!!”
ประตูไม้บานใหญ่หน้าบ้านถูกดันปิดแรงจนส่งเสียงดังกังวาน จางชื่อซวนหันกลับมาหยิบอุปกรณ์ที่ปาไปไกลอีกครั้งก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะไม้เตี้ยเบื้องหน้าหินก้อนใหญ่ที่ความคืบหน้าไม่มากเท่าที่ควร
แม้จะทำได้ไปจนกว่าลูกค้าจะไม่อยู่บนโลกนี้ก็ตาม แต่เขาก็ไม่อยากให้งานสุมกองหัว
เอ่อ...แม้มันจะไม่ค่อยมีก็เถอะ
ฟ่อ ~
ทว่าทันทีที่หย่อนตัวนั่งลง สิ่งที่สบตากลับกลายเป็นดวงตาสีเหลืองของงูเผือกที่เลื้อยร่างรัดหิน ก้อนใหญ่เอาไว้ ลิ้นสองแฉกผลุบๆ โผล่ๆ ขู่ฟ่อๆ เหมือนกับจะฝึกความอดทน แต่คราวนี้เขาไม่รอให้นับเลขถึงสิบ ร่างสูงใช้มือที่ว่างอยู่คว้าร่างยาวกว่าสองเมตรแล้วออกแรงโยนกระแทกผนังทันที
“ข้าบอกแล้วว่าอย่ารวบกวนเวลาทำงานของข้า!”
“เพราะเจ้าเป็นแบบนี้ไงถึงหาภรรยาไม่ได้สักที”
เขาไม่รู้สึกแปลกใจสักนิดที่งูตัวนั้นกลายร่างเป็นชายหนุ่มคนคุ้นหน้า จ้าวจื้อเฉิงสะบัดผมยาวของตัวเองไปข้างหลังด้วยท่วงท่าที่สาวๆ ในตลาดบอกว่า ‘งดงามดุจเทพบุตร’ แต่เขากลับรู้สึกขัดตาเหลือเกิน ยังดีที่แม่สาวพวกนั้นเห็นแต่ร่างมนุษย์ของ ‘งู’ ตรงหน้า ไม่เช่นนั้นถ้ามาเจอภาพพ่อหนุ่มหล่อคารมคมคายของพวกนาง ตอนนี้มีหวังตาค้างหัวใจวายไปตามกัน
ก็ใครที่ไหนเล่าจะมีผมสีขาวประกายมุกรับกับผิวขาวจัดจนราวไม่ใช่คน ในเมื่อเจ้าของของไม่ใช่คนจริงๆ เป็นแค่งูปลอมเป็นคนที่ร่างปลอมก็ไม่ได้ต่างจากร่างจำแลงเท่าไร แค่เปลี่ยนสีผม แปลงสีผิวให้เหมือนคนทั่วไปนิดหน่อยแค่นั้นก็จบแล้ว
“ข้าไม่ได้ต้องการภรรยา ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว”
“ข้าไม่รู้ ก็ข้าไม่ได้จำ”
“จ้าวจื้อเฉิง!” เขาขึ้นเสียง แต่คนตรงหน้าไม่เคยใส่ใจ เจ้าหนุ่มหน้ามนที่ตอนนี้ไม่สามารถใช้ร่างมนุษย์ได้เพราะเพิ่งคืนร่างเดิมได้ไม่ถึงชั่วยามจำต้องหลบลี้หนีภัยไม่ให้ใครเห็น และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนก่อกวนด้วยวิธีนี้
“ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่เสียงดัง”
คำสัญญาปากเปล่าตามด้วยเสียงร้องกลอนสดใสเมื่อเจ้าตัวนั่งลงบนโลงศพที่เขาสลักเสร็จไปเมื่อนานโข เจ้าของโลงเป็นเศรษฐีแก่คนหนึ่งที่คาดว่าตัวเองจะตายมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่ตายเสียทีจนลูกหลานพากันจากไปก่อนเสียอีก
เขารู้ว่าพูดก็เสียน้ำลาย ทางเลือกสุดท้ายคือวางจากงานแล้วไปซะ
เขานี่แหละ...ที่ต้องออกจากบ้านไปเอง
“นั่นเจ้าจะไปไหน”
ประตูหลังบ้านเปิดออก เผยให้เห็นภูเขาหินลูกใหญ่ที่ลดหลั่นขึ้นไปจนสูงเสียงฟ้า ยอดที่มองเห็นอยู่ลิบๆ ซ่อนอยู่ในหมู่เมฆหนาชวนให้ค้นหา ผู้คนมากมายพยายามปีนขึ้นไปเพื่อแสวงหาทั้งความงามและยาอายุวัฒนะตามความเชื่อของฝูชีหนู่วา แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรอดกลับมาสักราย
“เรื่องของข้า!”
กล่าวจบพร้อมตวัดกงเล็บทั้งห้า ปลดจากร่างมนุษย์ผู้มีอาชีพการงานล่อแล่ สู่ร่างยาวเหยียดที่ใครต่อใครใฝ่ฝันจะได้พบ เกล็ดสีเขียวสะท้อนแสงแดดเจิดจ้าเงาวับ เขากู่ร้องก้องเสียงดังก่อนจะทะยานร่างพุ่งผ่านหมู่เมฆขึ้นสู่ยอดเขา
ไอ้เจ้างูบ้า... สักวันข้าจะจับกินเสียให้เข็ด!
1
งูผู้หลงใหลบทกวีกับมังกรผู้อยากเป็นมนุษย์เดินดิน
ชาวฮั่นมีความเชื่อว่าฝูชีหนู่วาเป็นผู้สร้างโลก ท่านทั้งสองอยู่บนสวรรค์ดูความเป็นไปของลูกหลาน และเมื่อสิ้นอายุขัย พวกเขาจะได้ขึ้นไปอยู่บนเขาคุนหลุนอันเป็นแดนแห่งความเป็นอมตะซึ่งเจ้าแม่ซีหวังหมู่เป็นผู้ครอบครอง ดังนั้นเหล่าผู้มีอันจะกินจึงนิยมสร้างโลงศพหินสลักเรื่องราวการเดินทางของพวกเขา จากบ้านมุ่งสู่ประตูสวรรค์ซึ่งจะมีผู้นำทางพาพวกเขาไปสู่สุขาวดี ยิ่งผู้มากรากดีที่มีเงินเหลือก็จะซื้อเนินเขาใหญ่ขุดลึกลงไปสร้างเป็นสุสานสลักลวดลายสวยงามตลอดทาง แต่ทั้งหมดนั้นคือเรื่องราวของการเดินทางไปสู่โลกหน้าแทบทั้งสิ้น
เขามาที่นี่อีกแล้ว...
สุสานใหญ่ที่เล่อชาน ห่างจากพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาไม่ไกล เจ้าของสุสานหลับสนิทอยู่ภายในห้องหับที่หน้าบันมีรูปสลักพระพุทธองค์ สองฝั่งประตูเต็มไปด้วยสัญลักษณ์แห่งการนำไปสู่โลกหน้า ฟีนิกซ์ เซียน ปลาคู่ ดูมีมนตร์ขลังราวกับจะหลุดออกมาแหวกว่าย
งานชิ้นสุดท้ายของปู่ทวด... ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่สามารถสร้างงานที่มีชีวิตเช่นนี้ได้
พร้อมกันกับพระพุทธศาสนาที่เข้ามา ความนิยมของการสร้างสุสานและสลักโลงศพลดลงเรื่อยๆ ผู้คนหันไปสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ถ้ำทางตอนเหนือ และประติมากรผู้สลักแต่โลงหินอย่างเขาไม่เคยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาเหล่านั้นจนไม่อาจสร้างงานขึ้นมาได้
งานของเขาตกต่ำลงเช่นเดียวกับผู้คนที่เปลี่ยนแปลงความเชื่อไปตามกาลเวลา
แต่จะโทษใครได้... ในเมื่อเขาไม่ได้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ตลอดเวลาเสียหน่อย จึงจะได้รู้เรื่องเล่าใดๆ ไม่เหมือนกับฝูซีหนู่วาหรือซีหวังหมู่ที่แค่บินขึ้นไปบนยอดเขาก็เจอแล้ว...
“เจ้าอยู่ที่นี่อีกแล้ว แค่กๆ”
ไม่แค่บนเขา... ที่ใดมีรูปสลักที่นั่นก็เจอได้เหมือนกัน
ดวงตาสีทองกลอกไปมา นึกอยากจะหันหลังกลับแต่ทำไม่ได้เมื่อตาแก่ฝูชียื่นไม้เท้ามาดักหน้าเอาไว้ ไม้เท้าที่ไม่ได้มีไว้พยุงร่างเพราะเจ้าตัวยังเดินได้ปกติ แต่เอาไว้ใช้ตีลูกหลานที่ไม่รักดีต่างหาก
โป๊ก!
“โอ๊ย! ตีข้าทำไมตาแก่”
“ชิชะ เจ้าเด็กอวดดี ริจะเป็นมนุษย์กันทั้งโคตร เป็นไงล่ะ กลับใจหรือยัง แค่กๆ” คนที่ชาวบ้านเชื่อว่ามียาอายุวัฒนะในมือไอโขลก แต่ไม่วายยังบ่นเหยียดยาวแบบที่เขาไม่อยากจะฟัง พอกันกับบทกวีของเจ้างูข้างบ้านที่ป่านนี้คงออกไปเกี้ยวสาวในเมือง
“บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปสิตา จะมาตื้อเป็นสาวรุ่นทำไม ฮึ!”
โป๊ก! โป๊ก! โป๊ก!
“นี่แน่ะไอ้เจ้ามังกือหัวแข็ง ทิฐิสูงกันทั้งรุ่น แทนที่จะช่วยข้าเลือกดูผู้ปกครองที่ดี วันๆ กลับวุ่นอยู่แต่การแกะหินบ้าๆ บอๆ”
“ก็หินบ้าๆ บอๆ พวกนี้แหละที่ทำให้ตามาอยู่ที่นี่ได้!” ว่าพลางก้าวถอยออกมาเรื่อยๆ แต่สุสานคับแคบ ไม่มีที่ให้ไปมาก ไปๆ มาๆ เขาเลยมาหลุดอยู่ในห้องโถงหลังซึ่งเจ้าของสถานที่นอนหลับอยู่ และแน่นอนที่นี่มีรูปสลักตาแก่เยอะกว่าจุดเดียว ฝูซีตรงหน้าเลยพากันย่างสามขุมมาหาเขาราวกับนักเลงเจ้าถิ่น
“งานของมนุษย์ก็ให้มนุษย์ทำไปเจ้าจะไปทำทำไมฮึ หน้าที่ของตัวเองมีก็ทำ เห็นบ้างไหมว่าตั้งแต่ที่พวกเจ้าละเลยงานของตัวเอง แผ่นดินมันวิบัติขนาดไหน”
“โอ๊ย! ตาก็แต่งตั้งคนดูแลเองสิ ยากตรงไหน”
“ยากตรงที่ไอ้คนดูแลมันแต่งตั้งได้ครั้งเดียวน่ะสิวะ แล้วพวกมันทั้งโคตรก็ดันทิ้งวังไปอยู่ในกระท่อมเก่าๆ กันเสียอีก ตามตัวก็ไม่เคยจะเจอเพราะอยู่มาหลายร้อยปีจนกลิ่นมนุษย์กลบไปหมด” หลังของเขาสัมผัสได้ถึงแผ่นหินเย็นเฉียบ โชคดีที่ภาพข้างหลังเป็นภาพประตูสวรรค์ เขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีตาแก่โผล่มารัดคอเหมือนก่อนหน้านี้ที่เคยเจอ
ไม่อยากคืนร่างก็เพราะแบบนี้แหละ...
พอเป็นมังกรก็เจอตาแก่ฝูซี พอเป็นมนุษย์ก็ดันเจองูบ้ากวี
โวะ! เกิดเป็นมังกรประติมากรช่างอาภัพนัก
“บ่นพอแล้วงั้นข้าไปก่อนนะตา ลาล่ะ” เพราะข้างหลังเป็นประตูสวรรค์เขาจึงสามารถผ่านเข้ามาได้ แต่ทันทีที่หลุดออกมาเขาก็รีบทะยานร่างมังกรขึ้นสู่ฟ้าแล้วดิ่งกลับสู่กระท่อมปลายนาที่เก่าซอซ่อเหมือนที่ตาแก่ฝูซีค่อนแคะทันที ไม่เช่นนั้นถ้าอยู่สวรรค์นานไปคราวนี้แทนที่จะได้เจอตาเฒ่า อาจเจอยายแก่หนู่วาผู้มีเสียงแหลมแสบแก้วหูและเล็บคมกริบที่กรีดเกล็ดเขาขาดได้
คราวที่แล้วยังขยาดไม่หาย... กว่าเกล็ดจะงอกกลับมาเหมือนเดิมเขาต้องนอนซมทั้งสองเดือน
และเป็นสองเดือนที่มีเจ้างูบ้ามาเลื้อยครวญกวีอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา!
สาบานกับบรรพบุรุษมังกรเถอะ! เขาจะไม่ยอมบาดเจ็บอีกแล้ว!!
“เจ้ากลับมาแล้ว!”
โครม!
ทันทีที่เขาแปลงกายกลับเป็นมนุษย์ร่างของเขาก็หมุนติ้วๆ ชนผนังบ้านทันที ฟางมุงหลังคาสั่นกึกๆ ราวกับพร้อมจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ เขารู้สึกเหมือนเห็นใบหน้าตาแก่ฝูซีหมุนวนอยู่บนหัว แต่เมื่อมองดูดีๆ กลับกลายเป็นลิ้นสองแฉกที่ขู่ฟ่อๆ ไม่เป็นภาษา
“ออกไปจากตัวข้า!”
แต่ยิ่งผลักอีกฝ่ายยิ่งรัด ราวกับคุยกันไม่รู้เรื่องทั้งที่เขาเชื่อว่ามันรู้ดีแก่ใจ
“ข้าคิดถึงเจ้าจะแย่แล้ว อย่าผลักไสข้าเลยชื่อซวน”
“แต่ข้าไม่คิดถึงเจ้า กลับร่างมนุษย์แล้วก็กลับๆ บ้านเจ้าไปเสียที”
เขาปวดหัว...
นี่เขาเอาอะไรมาคิดว่าหนีจากตาแก่ฝูซีมาจะเจอความสงบ
ในเมื่อเจ้างูเผือกบ้านี่นำพาความหายนะมาให้เขาตั้งแต่ร้อยปีก่อน...
จางชื่อซวนเกิดในช่วงราชวงศ์สุย เขาตื่นมาพบการริเริ่มขุดคลองอันเป็นรากฐานทำให้การคมนาคมในช่วงราชวงศ์ถังเฟื่องฟู อย่างไรก็ตามเขาในตอนนั้นออกท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดินแต่เป็นการเดินทางด้วยร่างจริง เขาลอดผ่านเมฆหนาหยุดพักที่ยอดเขาสูง ทักทายเทพประจำถิ่นจนเบื่อหน่าย สุดท้ายก็เดินทางกลับมายังนครปาฉู่ที่บรรพบุรุษตั้งรกรากแบบมนุษย์อยู่อาศัยและเริ่มทำงานประติกรมานับแต่นั้น
ส่วนเจ้างูเผือก...
เขาจำได้ว่าพบกับจ้าวจื้อเฉิงตอนที่กำลังเดินทางกลับบ้าน เจ้างูที่กำลังหนีการตามล่าของเหล่าปีศาจที่หวังจะกินเนื้อเหนียวๆ นั่นให้เป็นอมตะก็มาเกาะเท้าเขาแล้วไม่ยอมปล่อยอีกเลย
ตอนที่คิดว่ากำลังจะตวัดขานั่นให้โดนกินจะได้จบๆ ไปเขาก็ดันถึงบ้านเสียก่อน
แล้วคำสอนว่าด้วยเรื่องการช่วยเหลือมิตรสหายของท่านพ่อก็ทำให้เขาต้องมาติดหนึบอยู่กับงูบ้าๆ แบบนี้ ในขณะที่เหล่าผู้เกิดก่อนทั้งหลายพากันสิ้นอายุขัยจากไปทีละตน
“ไม่เอา ที่บ้านข้ามีแมงมุม”
“เจ้าก็จับมันกินเสียสิ!”
“เจ้าก็รู้ว่าข้ากลัวแมงมุม!!” เจ้างูบ้าร้องเสียงหลง แต่ไม่ยอมปล่อยร่างของเขาให้เป็นอิสระ เรื่องบ้าๆ ของงูบ้าๆ คือมันบ้าที่กลัวแมงมุมตัวน้อยๆ ปีศาจแมงมุมมันก็ไม่กลัว มันว่าอีกฝ่ายมีร่างมนุษย์ สู้ได้ แต่พอเป็นแมงมุมที่ชักใยขออาศัยจับแมลงในบ้านนี่กลับจะเป็นจะตายเสียให้ได้
“บ้านข้าก็มีแมงมุม...”
และเพราะรู้เขาจึงปล่อยให้เหล่าเพื่อนแปดขาที่แสนน่ารักเหล่านั้นอยู่เต็มบ้าน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจจนไม่รู้ว่ามันกลัวจริงหรือเสแสร้ง
“แต่บ้านเจ้ามีเจ้า...”
“มีข้าแล้วเกี่ยวอะไรกับที่เจ้าไม่กลัวแมงมุม” เขาขมวดคิ้ว อยากจะใช้กงเล็บฉีกกระชากร่างเจ้างูที่รัดไม่ปล่อยให้ตายๆ เสีย ติดก็แต่คำสอนของบรรพบุรุษที่ตามมาหลอกหลอนทุกครั้งที่คิดจะทำ
‘เจ้าควรมีสหายในยามยากบ้าง รักษาไว้ก็ไม่เสียหาย’
ท่านปู่นะท่านปู่… เสียหายน่ะไม่เสีย แต่มันยิ่งกว่าเสียหายเพราะเขาเกือบจะเสียตัว!
เรื่องนั้นมันก็นานเกินกว่าที่เขาจะอยากจำ แต่ก็ดันเป็นเรื่องที่จำได้ดีกว่าเรื่องที่ควรจำเสียอีก มันเป็นคืนที่หมู่บ้านมีงานฉลองอะไรสักอย่าง แล้วใครคนหนึ่งนำเหล้าหมักเองมาให้ ไอ้เจ้างูบ้าก็ซดเข้าไป ซดไปหมดไห จนกระทั่งเมาแหลก แต่เมาอย่างเดียวไม่ว่า เมาไล่ปล้ำเขานี่แหละบ้า!
นับแต่นั้นเจ้างูที่เคยอยู่บ้านหลังคาเดียวกันก็โดนเขาถีบส่งไปสร้างกระท่อมใหม่อยู่แทน
แต่จนแล้วจนรอดมันก็โผล่มาอยู่บ้านเขามากกว่าบ้านตัวเองอยู่ดี
“ก็... ก็เพราะมีเจ้าอยู่ด้วย อะไรข้าก็ไม่กลัวทั้งนั้น”
โครม!
ความอดทนของเขาหมดสิ้นกับคำพูดที่ดีความหมายได้หลายต่างของนักกวีหน้าสวย ร่างงูเผือกลอยละลิ่วไปชนผนังอีกฝั่งด้วยแรงเตะจากขาในร่างมนุษย์ของเขา
เคยได้ยินที่พวกมนุษย์พูดกันว่ายามเข้าตาจนจะเกิดพลังบางอย่างทำให้ทำสิ่งที่ปกติไม่สามารถทำได้ เขาเชื่อแล้วว่ามันน่าจะจริง เพราะแรงนั่นเทียบได้กับแรงยามที่เขาใช้ร่างมังกรเลย
...แม้จะเป็นแรงแบบสะกิดนิดๆ ก็เถอะ
“กลับบ้านเจ้าไปหรือจะให้ข้าฉีกเจ้าเป็นสองท่อน!”
“เอาแมงมุมออกให้ข้าก่อน ข้าขอร้อง”
สุดท้ายเขาก็ไม่เคยชนะ...
ท่าทางสะบักสะบอมของงูเผือกที่เลื้อยเซไปเซมาไม่เป็นทางจนนึกว่าเป็นญาติกับปูเลื้อยตามเขามาขณะเดินออกทางหลังบ้านเพื่อจะไปกระท่อมอีกหลังที่อยู่ไม่ห่างกัน จะว่าเพราะกลัวแมงมุมหรือก็ออกจะประหลาดใจไปสักหน่อยในเมื่อมันก็เลื้อยรอเขากลับบ้านมาตั้งแต่เช้า
หรือว่า...
ซ่า!
แต่ไม่ทันแล้ว..
“วะฮะฮ่า สภาพเจ้าน่าขันมากเลย เจ้าน่าจะเห็นตัวเองตอนนี้ ฮะ ฮะ” เจ้าของบ้านหัวเราะสะใจที่เขาเปิดประตูเข้าไปพร้อมไหใส่น้ำที่ร่วงใส่พอดิบพอดี เขารู้สึกถึงกลิ่นน้ำที่น่าจะมาจากน้ำตกกับรสเลือดเพราะหัวแตกด้วยไหที่มันใช้ดันเป็นไหที่เผาอย่างดีจนดินแข็ง พอหล่นใส่ศีรษะก็แตกเพล้ง เลือดสาดกระจาย
ไอ้...งูบัดซบ!
หนึ่ง… สอง… สาม…
“ตาย!”
นาทีนี้มันต้องฉีกให้กากินเท่านั้นถึงจะสาแก่ใจ!
“พ่อข้าตายก็จริง แต่ครอบครัวเราตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างวัดแทน ดังนั้นโลงนั่นไม่จำเป็นแล้ว...”
อีกแล้วสินะ...
นี่ไม่ใช่ญาติผู้ตายรายแรกที่พูดกับเขาแบบนี้ เขารู้ว่าตัวคนตายที่มาจ้างงานกับเขาเองนั้นมีความต้องการจะจบชีวิตตัวเองในโลงหินเย็นเฉียบ แต่นั่นไม่ใช่กับคนที่เหลืออยู่
คนเก่าคนแก่ทั้งหลายยังมีความเชื่อว่าเจ้าแม่ซีหวังหมู่จะมารับพวกเขาไปอยู่ด้วยกัน ต่างกับลูกหลานของพวกเขาที่เริ่มเปลี่ยนความเชื่อไปสู่การเข้าวัดทำบุญ สร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่อุทิศให้เหล่าผู้ล่วงลับ มันก็ไม่ผิด แต่กับคนทำมาหากินอย่างเขามันน่าเบื่อหน่าย แม้จะมีเงินก้อนแรกที่ได้รับมาตอนจ้างงานก็ตาม แต่งานที่เสร็จแล้วไม่มีใครเอาทำให้ไม่ได้รับเงินอีกก้อน
เขาเบื่อ...
เบื่อทั้งตัวเองที่ยังคงอยู่แบบนี้ และเบื่อมนุษย์ที่ผันแปรไปตามกาลเวลา
จางชื่อซวนเดินทอดน่องจากตลาด ย่านการค้ายังคงคึกคัก เรื่องราวของเมืองหลวงอันห่างไกลได้รับการถ่ายทอดกันปากต่อปาก แต่ชาวบ้านหาเช้ากินค่ำไม่ค่อยมีใครใคร่ใส่ใจนัก ได้ยินพอรู้แล้วต่างก็หันกลับไปทำงานของตนต่อ
เพราะรู้เรื่องราวในวังไปก็ไม่ช่วยให้ตนมีกิน...
แต่จะว่าไป...
นานพอสมควรแล้วนะตั้งแต่เปลี่ยนราชวงศ์
เขาเกิดทันเห็นยุคล่มสลายของราชวงศ์สุย ทันได้ยินพ่อกับปู่เล่าถึงความเกรียงไกรของฮ่องเต้ผู้เล็งเห็นการคมนาคมเป็นสำคัญ ยุคที่ยิ่งใหญ่แต่กลับตกต่ำลงเพียงเพราะลูกหลานที่อยู่อย่างสบาย แล้วสุดท้ายก็เกิด การกบฎนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าอย่างการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์
แต่จะดีกว่าจริงหรือไม่ก็ต้องดูกันต่อไป...
แม้ความจริงมันจะเป็นหน้าที่ที่เขาได้รับติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิดก็ตาม
ในตำนานของชาวฮั่น ตัวเขาเองมีชีวิตอยู่ในภาพสลักเก่าแก่นั้นมาเนิ่นนาน พวกเขาเหล่านั้นเรียกเรา ว่า ‘หลง(?)’ หรือมังกร แล้วแบ่งพวกเราไปตามสีเกล็ด ไป๋หลงมังกรขาว(??) หวงหลงมังกรเหลือง(??) หรือพวกข้า...ชิงหลง มังกรเขียว (??) แต่จะให้พูดกันจริงๆ สีของพวกข้าก็ไม่ได้เขียวแบบใบไม้ แต่เป็นสีเขียว ผสมฟ้า พวกมนุษย์จึงใช้สีของสำริด[1]ในการเรียก แต่ว่ากันตามจริงแล้วพวกเรายังแบ่งออกได้อีกตามจำนวนกงเล็บ ตั้งแต่สองถึงห้า ห้ากงเล็บอย่างเขาถือว่าเป็นชนชั้นสูงสุด ดังนั้นฝูซีกับหนู่วาจึงคาดหวังในตัวพวกเรามาก แต่ก็อย่างที่รู้... เราต่างเบื่อหน่ายในกิเลศตัณหาของมนุษย์จึงเบื่อที่จะเฝ้าดูพวกมนุษย์จากบนฟ้า
ปากบอกว่าเบื่อหน่ายแต่เราก็ใช้ชีวิตแบบมนุษย์ เพราะการได้มองผู้คนที่ผ่านไปมานั้นมีความสุข เราเลือกที่จะอาศัยอยู่ในพื้นที่รอบนอก เพราะคนที่นี่สงบ สมถะ และทำมาหากินกันโดยไม่มีการแก่งแย่งชิงดี ไม่เหมือนเมืองหลวงที่แสนวุ่นวายซึ่งอยู่ยากและเขาเองก็ไม่อยากอยู่
แต่บางทีนะบางที... ตอนนี้อาจจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงแล้วก็ได้
เขาไม่ได้อยู่ที่นครปาฉู่มาตั้งแต่ต้น แรกเริ่มบรรพบุรุษก็สร้างบ้านอยู่ที่นครฉางอานในสมัยราชวงศ์ฮั่น ซึ่งตอนนั้นนครปาฉู่ที่เขาอยู่ตอนนี้สุดแสนจะรุ่งเรือง แต่เมื่อเข้าสู่สมัยราชวงศ์สุย ฉางอานกลายเป็นเมืองหลวง เรื่อยมาจนถึงราชวงศ์ถังในตอนนี้ ครอบครัวเราจึงถอยลงมาทางใต้เรื่อยๆ จนถึงที่อยู่ในปัจจุบัน
แต่ข้าควรจะไปที่ใดกัน...?
พลันเมฆบนท้องฟ้าก็เปิดกว้างให้แสงตะวันทอลงมาราวกับตำนานผานกู่แหวกฟ้า แต่เขารู้ว่าไม่ใช่ผานกู่หรอกที่แหวกเมฆในตอนนี้ แต่เป็นคนที่เขาควรจะหนีให้ไกลต่างหาก
“หยุดอยู่ตรงนั้นนั่นแหละเจ้าเด็กอกตัญญู!”
เสียงแหลมราวสายฟ้าฟาดทำให้เขาต้องยกมือขึ้นปิดหู มองซ้ายขวาเห็นผู้คนยังคงค้าขายกันตามปกติ ก็แสดงว่าเสียงนั้นส่งตรงถึงเขาเพียงผู้เดียว ก็สมควรอยู่หรอก เจ้าแม่หนู่วาในตำนานชาวฮั่นออกมาแบบนี้ผู้คน ได้แตกตื่นกันพอดี
นี่ยายแก่ทำอะไรไม่คิดอีกแล้ว...
จางชื่อซวนหลบสายตาผู้คนจนมาหยุดอยู่ริมตลิ่ง ด้านล่างยังมีชาวบ้านเหวี่ยงแหจับปลา หากก็ไกลพอที่อีกฝ่ายจะไม่ได้ยินเสียงสนทนาที่คนอื่นคงจะคิดว่าเขาพูดกับลมฟ้าเพราะไม่มีใครเห็นตัวยายแก่ที่มาพร้อมไม้เท้า
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตาแก่คงกลับไปฟ้อง
ความสงบในชีวิตเขาไม่มีจริงเอาเสียเลย... เฮ้อ!
“ตาไปฟ้องอะไรมาอีกล่ะยาย”
โป๊ก!
“นี่แน่ะ ไอ้เจ้าเด็กไม่รักดี ตาแก่ไปเตือนให้เจ้าทำหน้าที่ก็ไม่เคยทำ แล้วริจะมาประชดประชันรึ”
บางทีเขาก็สงสัยว่าเทพสูงสุดที่ผู้คนนับถือนี่เหมือนกันตรงไหน สงสัยจะเป็นการใช้ไม้เท้าตีหัวชาวบ้านเหมือนกัน ไม่เคยมีหรอกที่จะทักทายก่อน เจอหน้าก็เตรียมหลบไม้เท้ากายสิทธิ์ได้เลย เอ่อ...แต่ถึงจะหลบไปก็ไม่ค่อยพ้น ได้แต่ทำใจเท่านั้นเอง
“ไอ้งานที่ยายให้มาน่ะมันง่ายที่ไหนกันเล่า”
“มันไม่ง่าย แต่ถ้าเจ้ามัวแต่จลุกอยู่กับก้อนหินมันจะไปช่วยอะไร ฮึ! กี่ร้อยปีพวกเจ้าก็อ้างแต่แบบนี้ แดนมนุษย์ถึงได้วุ่นวายหมด วังข้าร้อนเป็นไฟจนจะอยู่ไม่ได้แล้ว”
“ยายก็ลงมาเที่ยวโลกมนุษย์แทนสิ ตอนนี้ทางเหนือหิมะกำลังตก แค่นี้ก็ไม่ร้อนแล้วยาย”
โป๊ก! โป๊ก! โป๊ก!
“ไอ้เจ้าเด็กร้ายกาจ ไอ้มังกรเนรคุณ อกตัญญูกันทั้งโคตร!”
“โห วังร้อนไม่พอ อารมณ์ยังร้อนอีกนะยาย ด่าขนาดนี้บรรพบุรุษข้าคงสะดุ้งรีบตื่นมาขอขมากันแทบไม่ทัน” พูดจบเขาก็รีบหลบเข้าหลังเล้าไก่ของชาวบ้านแถวนั้น เพราะยายเฒ่ายังตามมาตีอย่างไม่ลดละ นับถือในความพยายามจริงๆ แต่ตอนนี้หัวเขาระบมจนรับไม่ไหวแล้ว
แรงเทพสูงสุดน่ะ...ไม่น้อยสักเท่าไรหรอก
“ยังจะมายอกย้อน!”
เมื่อหนู่วายังคงตามมาอย่างไม่ลดละ จางชื่อซวนจึงสละร่างมนุษย์แล้วแปลงกลับสู่ร่างมังกรเพื่อทะยานหนีสู่ฟากฟ้า แม้อีกฝ่ายจะขี่เมฆตามมาก็ยังหนีได้เร็วกว่าการใช้สองขาสั้นๆ ของร่างมนุษย์ต่อกร เมื่อมังกรตัวใหญ่ทะยานพ้นก้อนเมฆที่แผ่ปกคลุมนครปาฉู่เอาไว้ก็เหลือแต่เขาและเจ้าแม่ที่ผู้คนนับถือซึ่งยังมีสีหน้าโกรธเคืองไม่หาย
“นี่ยาย ข้าไม่ใช่เด็กๆ ที่ยายจะมาชวนเล่นไล่จับแล้วนะ” อดไม่ได้ที่จะกระเซ้าผู้อาวุโสที่เมื่อเขายังตัวเล็กชอบมาชวนเขาวิ่งไล่บ่อยๆ ทั้งที่ตัวเองก็วิ่งไม่ค่อยจะไหว
“วะ ข้าเลี้ยงเจ้าเพื่อหวังจะให้เจ้าเรียนรู้หน้าที่ แล้วนี่อะไร สุดท้ายเลือดมันก็ข้นนัก หนีหน้าข้าไปกันหมด”
“เอาน่ายาย เรื่องของมนุษย์อย่าไปยุ่งมากนักเลย”
“วะเจ้านี่... ไม่ยุ่งได้รึ เจ้ารู้หรือเปล่าวว่าตั้งแต่ศาสนาเข้ามานั่นคนนับถือเราลดลงไปขนาดไหน แล้วยังจะว่าไม่ใช่เรื่องของข้าอีกหรือไง”
เรื่องจริงของโลกคือเทพทั้งหลายอยู่ได้เพราะความศรัทธาของมนุษย์ เมื่อมีคนเพียงหนึ่งที่ศรัทธา เทพเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ แต่เมื่อไร้ซึ่งคนศรัทธา พวกเขา...ก็จะดับสูญ เหมือนอย่างเทพหลายๆ องค์ที่สูญสิ้นไปพร้อม การล่มสลายของอาณาจักร
แผ่นดินมังกรแห่งนี้ผลัดเปลี่ยนผู้ปกครองมาแล้วมากมาย นับแต่ชนเผ่าต่างๆ ที่รวมตัวกันก่อเกิดเป็นกลุ่มชาวหลงชานและหย่างเฉา ตามมาด้วยกลุ่มที่สืบเนื่องมาอย่างเอ้อหลี่โถว เอ้อหลี่กัง หม่าเจียเหยา หม่าหวางตุย กระทั่งกาลเวลาเดินทางเข้าสู่ยุคที่กลุ่มชนต่างๆ รวมกันเป็นราชวงศ์ มีเทพมากมายที่เกิดขึ้นตามความเชื่อของพวกเขา แล้วในที่สุดพร้อมกับการละทิ้งถิ่นฐาน เทพเหล่านั้นค่อยๆ ดับไป เช่นกันกับเทพใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมา
ข้ารู้... เพราะข้าฟังเรื่องราวเหล่านี้จากเทพที่อยู่มายาวนานอย่างฝูชีกับหนู่วามาแล้วหลายครั้ง และข้าทราบดีว่าตาแก่กับยายเฒ่าแม้จะผ่านวันคืนมาเนิ่นนาน แต่ก็ยังไม่ชินชากับการที่จะมีใครต้องดับสูญไป
ดังนั้นไม่ว่าจะศาสนาเต๋าหรือศาสนาพุทธ หรือว่าลัทธิของขงจื่อก็ไม่ดีต่อพวกเราเหล่าเทพทั้งนั้น
แต่ข้าจะทำอะไรได้...
“อย่าคิดมากน่ายาย ตีนกาขึ้นเสียเปล่าๆ ตากับยายยังมีชีวิตอยู่ในสุสานไปอีกนานน่า”
“เจ้ามังกรตัวยุ่ง!”
“ข้าไปนะยาย วันหลังถ้าเบื่อยายก็ตีกับตาแก่ไปพลางๆ ละกัน ข้ากำลังยุ่ง ต้องทำมาหากินอีกมาก ลาล่ะ”
“จางชื่อซวน!”
มังกรเขียวพุ่งทะยานกลับสู่กระท่อมเชิงเขา ไม่นำพาฟ้าแลบแปลบปลาบที่เป็นผลมาจากความโกรธาของหนู่วา แต่เมื่อเดินกลับเข้าบ้านเขาก็ต้องถอนหายใจยาวเหยียด
ไม่มีอะไรต่างจากที่เคยจำได้ หินก้อนใหญ่วางระเกะระกะเต็มไปหมดจนแทบไม่มีทางเดิน เครื่องมือในการทำงานอยู่ในตู้ฟากหนึ่ง และครึ่งหนึ่งของหินคืองานที่คนสั่งไม่ต้องการอีกแล้ว เขาหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเตี้ยขบคิดสิ่งที่ควรจะทำต่อจากนี้
อย่างแรกคือเขาอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ได้อะไร...
ที่ซ่อนก็ถูกฝูชีกับหนู่วาเจอแล้ว ต่อด้วยงานการก็ไม่สำเร็จลุล่วง ดังนั้นเขาควรจะย้ายบ้านเสียที
แต่จะไปไหนดี?
แม้บรรพบุรุษจะนิยมการอพยพลงใต้ แต่ถ้าลงใต้อีกก็ถึงเล่อชาน ลงใต้กว่านั้นก็จะไปถึงฟูนันอยู่แล้ว ไปถึงขนาดนั้นก็ผิดที่ผิดทางแล้ว คนที่ฟูนันไม่ได้นับถือเทพอย่างพวกเขา ไปไกลขนาดนั้นก็เสียแรงเปล่า ซ้ำจะโดนเทพท้องถิ่นทำร้ายฐานที่ไปยุ่งเกี่ยวเสียด้วย ทางที่ดีเขาควรจะขึ้นเหนือ แต่เป็นเหนือที่เลยผ่านนครฉางอานไปเลยน่าจะเป็นการดีที่สุด ไปถึงที่อยู่ของเผ่าชงหนู๋น่าจะดี แม้อาจจะหนาว ผู้คนจะไม่เจริญนัก แต่เขาว่าคงมีไมตรีกว่าเมืองหลวงที่ผ่านไปทีไรเขาก็ไม่เคยชอบใจ
เมื่อคิดได้จางชื่อซวนจึงเริ่มเก็บข้อง แต่ข้าวของเขามีไม่มากเท่าไร และเขาก็ไม่ใช่พวกอาวรณ์กับสิ่งของนอกกาย เพราะบ้านนี้เขาก็เพิ่งมาอยู่หลังจากบิดาละทิ้งกายหยาบไปแล้ว
แต่จะไปเฉยๆ ก็ไม่ได้...
เมื่อเดินออกจากบ้านเขาก็พบเจ้างูตัวเดิมที่ยังครวญกวีอยู่อย่างไม่รู้เหนื่อย ดวงตาสีดำจากการตบแต่งมองอย่างแปลกใจก่อนที่เจ้านั่นจะเบิกตากว้างขึ้นแล้วร้องลั่น
“เจ้าจะไปไหน?”
“ข้าจะออกเดินทางขึ้นเหนือ”
“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ ไปทำไม อยู่ที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว”
“เจ้าจะอยู่ที่นี่ก็เรื่องของเจ้า แต่ข้าติดสินใจแล้วว่าข้าจะไป ข้าแค่แวะมาลาเจ้า ข้าไปล่ะ” เขาไม่ได้ใส่ใจเจ้างูที่ปกติเกาะติดกันมาตลอดไม่ว่าจะเดินทางไปไหน เพราะเขาเห็นแล้วว่าอยู่ที่นี่เจ้านั่นมีความสุขดีกว่าที่อื่น ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะกระเตงไปด้วยแม้จะรู้สึกโหวงๆ อยู่บ้างก็ตาม
“เดี๋ยว!”
“อะไรอีก” เขารู้สึกเหนื่อยใจกับการที่อีกฝ่ายพูดไม่รู้เรื่อง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน คงได้แต่ยอมให้เพราะอีกเดี๋ยวก็คงไม่เจอกันแล้ว
ใจหายเหมือนกันนะ...แต่ก็แค่การจากลาครั้งหนึ่ง
เขาจากลามาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
แค่นี้...มันชินชา
“เจ้าจะทิ้งข้าไว้ที่นี่งั้นเหรอ”
“นั่นมันเรื่องของเจ้า”
“ไม่นะ! ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ มันมีแมงมุมเจ้าก็รู้”
เขาถอนหายใจยาวเหยียด ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้ถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้ว แต่มันอดไม่ได้จริงๆ
“เจ้าก็ไปในตลาดอย่างที่เจ้าชอบ จ้างคนมาสักคน แค่นั้นก็จบแล้ว”
“แต่ข้าต้องการเจ้า!”
“ไม่มีข้าเจ้าก็อยู่ได้” คิ้วเขาเริ่มกระตุกถึงลางสังหรณ์แปลกๆ ดูท่าแล้วเจ้างูแค่ตกใจจนพูดอะไรผิดๆ ถูกๆ แต่จากความที่รู้จักกันมานานก็ทำให้เขารู้ว่าต้องรีบไปก่อนที่อีกฝ่ายจะตั้งสติได้
เพราะไม่อย่างนั้น...มันต้องตามมาแน่
“ข้าเสียเวลามากพอแล้ว ไว้มีโอกาสค่อยเจอกัน ลาล่ะจ้าวจื้อเฉิง” แล้วเขาก็รีบสาวเท้าออกมาโดยไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีก ถ้าแปลงร่างเป็นมังกรได้คงทำไปแล้ว แต่ไม่อยากให้ฝูชีกับหนู่วาระแคะระคายว่าเขากำลังจะหนีจากที่กบดานเดิมจึงต้องใช้ร่างมนุษย์เดินทาง และคงจะไม่แปลงเป็นมังกรอีกนานไม่เช่นนั้นก็จะโดนตามกรอกหูว่าเป็นมังกรเนรคุณไม่หยุดไม่หย่อน
ช่วยไม่ได้นี่นาที่คนมีบุญญาธิการที่พวกท่านทั้งสองต้องการไม่ผ่านมาแถวนี้
แล้วจะให้ตามหาจากคนกี่สิบหมื่นนี่ก็ไม่ไหวเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าแค่มองแล้วเขาจะรู้เสียหน่อยว่าใครควรเป็นผู้ปกครองแผ่นดินนี้
แต่ความเงียบตอนนี้มันช่างน่าสงสัย...
สักพักแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงนกร้องหรือเสียงสัตว์ป่าทั้งที่เดินผ่านมาบนภูเขาลูกใหญ่ เสียงที่เหลืออยู่มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวกับเสียงน้ำตกที่อยู่ห่างออกไปเท่านั้น
แต่แล้วฝุ่นดินที่ปลิวกระจายมาแต่ไกลนั้นก็ทำให้เขาต้องตบศีรษะตัวเองอย่างหมดปัญญา
ข้าว่าแล้ว...
ร่างยาวเหยียดของงูเผือกเลื้อยมาตามทางพร้อมสัมภาระในห่อผ้าใหญ่ดูน่าขัน แต่เขากลับขำไม่ออก เมื่อสดับความจริงที่ว่าเขาหนีมันไม่พ้นอีกแล้ว
“ชื่อซวน! รอข้าด้วย อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว!!”
บางทีนะบางที... เขาควรจะกลายร่างแล้วปล่อยมันทิ้งไว้ซะ
“เจ้าจะทำแบบนี้กับข้าที่รักเจ้าไม่ได้นะ!”
เขาไม่ควรบอกลามันจริงๆ...
“เจ้าก็รู้ว่าข้าขาดเจ้าไม่ได้”
ในที่สุดเขาก็โดนร่างใหญ่ของงูเผือกรัดไว้จนกลายเป็นก้อนกลมๆ เขาได้แต่นับหนึ่งถึงร้อยในใจ เพราะรู้ว่าแค่สิบคงไม่พอ ไม่เช่นนั้นเขาได้ฉีกกระชากจ้าวจื้อเฉิงให้ร่างขาดจากกันแน่
“เจ้าจะไปก็ไป แต่อย่าเกะกะข้า”
“ข้ารู้แล้วว่าเจ้าต้องอนุญาต ก็เจ้าใจดีจะตายนี่นา”
ให้ตาย... เขาล่ะเบื่อจริงๆ ที่ปฏิเสธไม่ได้
นี่ข้าต้องทนฟังมันรำพันกวีไปอีกนานเท่าใดกัน
เฮ้อ!
เย็นย่ำต้นเหมันตฤดู
เราสองออกเดินทางอีกคราหนึ่ง
ผ่านภูเขาลูกใหญ่แลไพรสณฑ์
ดอกเหมยบานหวนหอมอวลจับใจ
ฝุ่นดินคละคลุ้งเมื่อเท้าย่ำ
รั้งเชือกผ่านแม่น้ำทุกเส้นสาย
หิมะแรกเริ่มโปรยปราย
หนาวใจแต่หายไม่ห่างกัน
[1] ?? (qing1 tong3) ชิงท่ง หรือสำริด เริ่มผลิตในช่วงราชวงศ์ชางและเฟื่องฟูมากในประเทศจีน จนในสมัยหลังมีการทำเลียนแบบจำนวนมาก
ผู้แต่ง : Briss
ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
1 | งูผู้หลงใหลบทกวีกับมังกรผู้อยากเป็นมนุษย์เดินดิน | 26 ม.ค. 59 |
2 | ความซวยของงูและความเบื่อหน่ายของมังกร | 07 มี.ค. 59 |
3 | การตัดสินใจของเหล่านักเดินทาง | 14 มี.ค. 59 |
4 | ก่อนสุยจะร้างรา | 21 มี.ค. 59 |
5 | การทดสอบของทวารบาลครึ่งร่าง | 28 มี.ค. 59 |
สวัสดีค่ะ
ชอบบทนี้จัง บรรยากาศในนรกเยือกเย็นดี ตอนทิ้งท้ายก็น่าติดตาม :)
หวังว่าจะได้เจอกันในตอนที่ 6 นุ
ลวิตร์