1. การหย่าจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับลูกของเรา
มันแล้วแต่กรณีค่ะ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกินเยียวยาจริงๆ การหย่าอาจเป็นเรื่องที่ดีกว่า เช่นกรณีความรุนแรงในครอบครัว แต่ผลการวิจัยบอกว่า เด็กที่มีประสบการณ์พ่อแม่หย่าร้าง มักมีแนวโน้มมีปัญหาทางอารมณ์ เด็กจะรู้สึกฝังใจว่าครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์เป็นความผิดพลาดในชีวิตค่ะ และที่สำคัญไปกว่านั้นการหย่าร้างในช่วงวัยรุ่น ช่วงที่พ่อแม่เองคิดว่าลูกโตพอที่จะเข้าใจแล้วนี่แหละ กลับกลายเป็นปัญหาอย่างคาดไม่ถึงมากกว่าการหย่าร้างตั้งแต่ลูกยังเด็กเสียด้วยซ้ำ เพราะพัฒนาการทางอารมณ์ของวัยรุ่นเองด้วย ยิ่งทำให้วัยรุ่นเหมือนหาแบบอย่างของครอบครัวที่ดีในอุดมคติไม่ได้ และเพราะบางทีด้วยอารมณ์ปุ๊บปั๊บแบบวัยรุ่นเอง พ่อหรือแม่อาจจะคิดว่าลูกวัยรุ่นไม่ได้มีปัญหาอะไร แค่มีบุคลิกต่อต้านตามประสาวัยรุ่นเฉยๆ แต่จริงๆ ไม่รู้ว่าเก็บกดอยู่หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้
ช่วงวัยรุ่นนี่แหละค่ะ เป็นวัยที่ต้องการครอบครัวที่มั่นคงยิ่งกว่าวัยอื่นๆ การที่พ่อแม่หย่ากันทำให้พวกเขาสงสัยในเรื่องจิตใจของคน เช่น มิตรภาพมีจริงไหม ความไว้วางใจคืออะไร รักแท้มีจริงหรือเปล่า ต่อมาเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วก็อาจเลี่ยงการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด แม้ว่าเป็นสิ่งปกติที่เด็กทุกวัยจะแสดงอาการเจ็บปวด แต่วัยรุ่นมีโอกาสมากกว่าที่จะแสดงออกในทางที่เป็นอันตราย รวมไปถึงการประพฤตินอกลู่นอกทาง เมาเหล้า และติดยามากกว่าด้วยค่ะ
2. ถึงจะหย่าแล้ว ฉันกับลูกก็เหมือนเดิม
มันก็อาจจะเหมือนเดิมได้! แต่ความแตกต่างที่สุดมันคือสถานการณ์ในบ้านที่เปลี่ยนแปลงไปค่ะ มีความเป็นไปได้ว่า ลูกจะโทษตัวเองอยู่ในใจว่าตัวเองเป็นคนผิดที่ทำให้พ่อแม่หย่ากัน และนั่นทำให้ลูกกลัวที่จะเข้าหาพ่อหรือแม่ หรือกลัวที่จะต้องเผชิญปัญหาเรื่องนี้ แม้ว่าพ่อหรือแม้จะยังให้ความสนิทสนมเหมือนเดิมก็ตาม แต่ลูกก็อาจหลีกเลี่ยงพ่อแม่เสียเอง เพราะกลัวการถูกกล่าวโทษจากพ่อหรือแม่ค่ะ ดังนั้น "ฉันกับลูกยังเหมือนเดิม" จึงไม่มีทางเป็นไปได้แน่ๆ แต่หากได้พูดคุยทำความเข้าใจและปรับตัวกันทั้งสองฝ่าย แม้สถานการณ์จะเปลี่ยนไป แต่ความสัมพันธ์ก็ยังดีเหมือนเดิมได้ค่ะ
3. มีคู่ใหม่ทำให้ครอบครัวสมบูรณ์เป็นเรื่องดีต่อลูก
บางทีอาจมีพ่อหรือแม่มองว่าการแต่งงานครั้งใหม่ กับคนใหม่เป็นสิ่งที่ดีกว่า มันก็ไม่ใช่กับทุกกรณี อีกทั้งการแต่งครั้งที่สองมีแนวโน้มการหย่ามากขึ้นกว่าครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะกล้าทำและทำแบบเดิมได้อีกครั้งเมื่อประสบปัญหาแบบเดียวกันค่ะ การทำเหมือนเดิมอีกครั้งมันง่ายกว่าทำอะไรครั้งแรกเสมอ การหย่่าร้างก็ไม่ต่างกันค่ะ ซึ่งต่อให้โชคดีที่ลูกได้เจอคู่ชีวิตใหม่ของพ่อหรือแม่ที่ดี แต่ก็ยังมีแนวโน้มว่าลูกจะเจ็บช้ำจากการหย่าร้างของพ่อแม่อีกรอบแน่ๆ ค่ะ ถ้าจะมีคู่ใหม่การทำความเข้าใจกับลูกด้วยเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่พาเข้ามาใชีวิตลูกง่ายๆ เพียงเพราะคิดว่ามันจะทำให้ครอบครัวที่แตกสลายสมบูรณ์ขึ้นมาค่ะ ไม่ได้บอกว่าการพาคนใหม่เข้ามาในครอบครัวเป็นเรื่องไม่ดีนะคะ เพียงแต่โอกาสที่จะดีกว่า...อาจเป็นเรื่องของโชคก็ได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจที่เพียงพอจากทุกฝ่ายค่ะ
4. อีกฝ่ายแย่เกินไป ไม่ควรให้ลูกไปข้องแวะอีกเลยในชีวิตนี้
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะแย่ในสายตาตัวเองแค่ไหน แต่ก็อย่ากีดกัน อย่าปิดกั้นไม่ให้ลูกมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอีกฝ่ายซึ่งก็คือพ่อหรือแม่แท้ๆ ของลูกเอง โดยเฉพาะลูกที่โตเป็นวัยรุ่นแล้ว พ่อไม่สามารถแทนแม่ได้ และแม่ก็ไม่สามารถแทนพ่อได้ เพราะบทบาทในการเป็นพ่อแม่จะแยกกันอย่างชัดเจนแล้ว ไม่เป็นบทบาทรวม ๆ เหมือนสมัยลูกยังเล็กๆ (ลูกวัยรุ่นมีเรื่องที่เลือกพูดกับพ่อหรือแม่ต่างกันค่ะ) และการที่คุณไม่ปิดกันให้ลูกได้เจออีกฝ่ายยังเป้นการสร้างความมั่นใจให้ลูกเกิดความรู้สึกว่า ถึงแม้พ่อแม่จะหย่าร้างกันไป แต่ก็ยังได้รับความรักจากพ่อแม่เหมือนสมัยที่ยังอยู่ครบทั้งครอบครัวเหมือนเดิมถ้าหากพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ช่วงเด็กๆ เมื่อเข้าวัยรุ่นจะมีแนวโน้มก้าวร้าวต่อทั้งพ่อแม่และเพื่อน หาลูกเจอการหย่าร้างของพ่อแม่ตอนวัยรุ่นและแก้ไขความรู้สึกไม่ได้พบว่าจะเชื่อใจคนรอบข้างลดลง มีความบกพร่องหรือมีปัญหากับความรักต่อเพศตรงข้าม ดังนั้นเพื่อไม่ให้ปัญหานี้มากขึ้น การที่ลูกวัยรุ่นยังสามารถคุยกับพ่อหรือแม่ได้ในเรื่องบางอย่างที่เขาจะเลือกพูดเฉพาะพ่อหรือแม่ย่อมเป็นผลดีมากกว่าค่ะ (ทั้งนี้ก็แล้วแต่สถานการณ์กับพฤติกรรมที่เหมาะสมนะคะ อย่างถ้าฝ่ายหนึ่งติดเหล้ามีปัญหาทำร้ายร่างกายรุนแรง ก็ไม่ควรปล่อยให้พบคนเดียว แต่ถึงจะเลวร้ายแค่ไหน อย่างน้อยก็ควรบอกความจริงลูกรู้ค่ะ)
5. การหย่าร้างเป็นการยุติปัญหาทั้งมวล
ถ้าปัญหาของการหย่าระหว่างคนสองคนทำให้คนเลิกกันได้เสมือนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายไปจากโลกนี้ ปัญหาคงจบสิ้นไปเลยจริงๆ แต่แท้จริงกว่านั้นคือมันอาจเริ่มต้นปัญหาใหม่เข้ามาอีก ทั้งคู่ใหม่ของอีกคน ครอบครัวของคนเก่า ลูกของคนใหม่ การแบ่งสิทธิ์ดูแลลูก แบ่งหนี้สิน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ยังต้องมาเกี่ยวข้องเสมอ นั่นหมายความว่าการหย่าร้างไม่ใช่การยุติปัญหา แต่เริ่มต้นปัญหาใหม่ที่ต้องจัดการไปเรื่อยๆ ต่างหาก มีคนให้จำกัดความไว้ว่า
"การหย่าร้างไม่ใช่การยุติการรบ แต่เป็นการเปลี่ยนสนามรบต่างหาก" ซึ่งไม่เพียงแต่ลูกวัยรุ่นจะไม่ได้รับการเอาใจใส่จากพ่อแม่อย่างเหมาะสมแล้ว พ่อแม่ยังทะเลาะกันเหมือนเดิมด้วย แต่เรื่องข้างต้นเป็นสนามรบของพ่อแม่เองค่ะ พ่อแม่ที่หย่าร้างก็ยังต้องเจอสนามรบแบบย่อมๆ จากวัยรุ่นอีกด้วย
รู้ไหมว่าการที่พ่อแม่หย่าร้างกัน กลายเป็นข้ออ้างของลูกได้ เช่น ทีพ่อแม่ยังรับผิดชอบ
“ทีพ่อแม่ยังรับผิดชอบครอบครัวตัวเองไม่ได้ ทำไมหนูจะต้องรับผิดชอบกับการเรียนของหนูด้วย” |
ครอบครัวตัวเองไม่ได้ ทำไมหนูจะต้องรับผิดชอบกับการเรียนของหนูด้วย การที่หนูเกรดตกไม่ได้มาจากหนูไม่ขยันซะหน่อย หนูจะเกรดดีหรือเกรดมตกมันก็ไม่ได้ทำให้พ่อแม่กลับมารักกัน หรือสนใจหนูมากขึ้นหรอก" หรือเมื่อเจอบทบาทบางอย่างที่แตกต่างไปเมื่อต้องอยู่กับพ่อหรือแม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่น "ตอนแม่อยู่ แม่ให้หนูนอนดึกได้ ทำไมพ่อไม่ยอม" ซึ่งข้ออ้างเหล่านี้ ไม่ได้หมายความว่าวัยรุ่นมีปัญหาหรอกนะคะ แต่อาจเป็นเพราะยังไม่ได้ปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่เหล่านี้ค่ะ
..................................................................
ทั้งนี้ไม่ได้บอกว่าการหย่าร้างไม่ดี ไม่ควรหย่าร้างนะคะ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวส่วนครอบครัวของแต่ละคนค่ะ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับครอบครัวของตนเอง และไม่ว่าจะหย่าร้างด้วยเหตุผลอะไรหรือใช้เพื่อแก้ปัญหาอะไร 5 ข้อข้างต้นเป็นเพียงหลักการที่ช่วยให้ผู้ใหญ่เข้าใจวัยรุ่นมากขึ้นเท่านั้น ส่วนการกระทำเพื่อลงมือแก้ไขจริงๆ ก็ยังเป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องกล้าลงมือพูดเปิดใจและแก้ไขเองค่ะ ซึ่งวิธีการก็คงต้องแตกต่างกันไป และหาวิธีหาโอกาสเปิดใจให้เหมาะสมกับบุคลิกของลูกหลานตัวเองด้วย
จริงๆ การหย่าร้างก็ไม่ใช่ปัญหาครอบจักรวาลที่พอเกิดแล้วจะต้องแก้ไขไม่ได้ ลูกที่มีพ่อแม่หย่าร้างไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าเป็นเด็กมีปัญหาทุกคน แต่แน่นอนว่าหากเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ต้องเก็บไว้ทุกข์อยูในใจตลอดเวลา การหย่าร้างไม่ใช่เรื่องน่าอายในสังคมสมัยนี้แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทพ่อแม่ ลูก หรือเพื่อนของลูก ก็ไม่ควรรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องนำไปล้อเลียนใคร ในต่างประเทศมีการพาลูกหลานไปปรึกษาจิตแพทย์ หรือคุยกันทั้งครอบครัวกับนักจิตวิทยาเพื่อปรับความคาดหวังก่อนเกิดการหย่าร้างจริงๆ แต่สังคมไทยการไปหาจิตแพทย์หรือรับการปรึกษากับนักจิตวิทยาครอบครัวยังเป็นเรื่องใหม่และแปลกประหลาดตามค่านิยม ดังนั้นจึงต้องปรับที่ใจของตัวเองล้วนๆ ค่ะ อย่าปล่อยเวลาไป
หวังว่าจะมีลูกๆ วัยรุ่นแชร์ความในใจในบทความนี้ค่ะ
ข้อความที่มาจากหัวใจของลูกๆ ที่มีพ่อแม่หย่าร้างล้วนเป็นกำลังใจให้กันและกันได้จริงๆ
ภาพประกอบ:
จากกระทู้ในบอร์ดเด็กดี
- dek-d.com/board/view/1667177
- dek-d.com/board/view/3436062
- dek-d.com/board/view/3334257
- dek-d.com/board/view/2470428
แหล่งข้อมูล:
- wol.jw.org/th/wol/d/r113/lp-si/102009370
- dmh.go.th/1667/1667view.asp?id=920
- yahoo.com/parenting/kids-are-resilient-and-7-other-lies-divorcing-107330654983.html
- rcpsycht.org/cap/detail_article.php?news_id=50
84 ความคิดเห็น
เราเป็นคนนึงที่พ่อแม่หย่ากัน หย่ากันได้ไม่กี่ปีก็แยกกันอยู่ เราไปอยู่กับแม่ที่หาดใหญ่ พ่ออยู่กรุงเทพ พ่อกับแม่ตอนนี้เป็นเพื่อนกัน คุยบ้างไม่คุยบ้าง อาจจะเพราะอคติ แต่เรารู้ว่ายังรักกันอยู่ มีเป็นห่วงกันอยู่ ต่อให้พ่อมีผญคนไหนเราก็เชื่อว่าเขายังรักกัน แต่เราไม่คิดนะว่าตัวเองมีปัญหา การแยกกันอยู่กับพ่อหรือแม่ทำให้เรารู้สึกคิดถึงอีกคนมากขึ้น เราไม่ซีเรียสนะถ้าพ่อจะมีเมียใหม่หรือแม่จะมีสามีใหม่ เราว่าดีซะอีก5555555 พ่อ2คนแม่2คน เหมือนได้รับความรักเยอะ5555555 เวลาได้ของก็x4เท่า เพื่อนเราได้คอนโดก็เพราะพ่อเลี้ยง ได้ของต่างๆนาๆจากแม่เลี้ยง นี่ก็ไม่รู้เป็นคนมองโลกในแง่ดีเกินรึเปล่า แต่เรารู้สึกว่า พ่อแม่หย่ากันแบบนี้อะดีแล้ว ถ้าให้เลือกเราก็ไม่ลังเลที่จะเลือกให้หย่าหรอกนะ เพราะถ้ากลับไปเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกเหมือนเดิม มีปัญหาทุกวันคงไม่ไหว อยู่แบบนี้ดีกว่า
ผมค่อนข้างจะเฉยฉากับเรื่องพรรค์นี้ พ่อกับแม่ทะเลาะกันบอกมาก (จนผมเองยังแอบเชียร์ให้เลิกกัน) ถึงเขาจะหย่ากันก็แค่เลิกเป็นสามีภรรยากันแค่นั้น ไม่ได้เลิกเป็นพ่อแม่ผมสักหน่อยนี่นา (อยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุขก็เลิกกันไปเถอะ ดีกว่ามาทะเลาะกันให้ลูกเห็น)
ของเราพ่อแม่ก็เพิ่งหย่ากันเมื่อปีที่แล้วค่ะ จริงๆ ก็พยายามเข้าใจเหตุผลของเขาแหละ มันเป็นเรื่องของพ่อแม่ เป็นการตัดสินใจของเขาซึ่งเราไม่อาจจะเข้าไปแทรกแซงได้ คือพ่อแม่เราเขาไม่ได้รักกันตั้งแต่แรก ที่เขาแต่งงานกันก็เพราะพลาดจนมีเราอยู่ในท้องนั่นแหละ ตอนแรกพ่อจะให้แม่ไปเอาเราออกด้วยซ้ำ แต่แม่ไม่ยอม ก็เลยต้องแต่ง แค่นั้น อยู่กันไปก็ไม่ได้รู้สึกรักกันอะไรกันเลย ที่มีน้องตามออกมาอีกสองคนก็เพราะอารมณ์นั่นแหละ ตั้งแต่จำความได้เขาก็ทะเลาะกันแล้ว แต่เราก็แบบ...ไม่อะไรนะ เพราะยังรู้สึกดีว่า เออ ถึงเขาสองคนจะเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังรักลูกอย่างเรากับน้องนะ
หลังจากหย่าได้ประมาณสองสามเดือน (มั้ง จำไมไ่ด้ว่าหย่ากันตอนไหน) พ่อเราซื้อบ้านใหม่แล้วเอาเรากับน้องอีกสองคนมาอยู่ด้วย ส่วนแม่ก็อยู่ตัวคนเดียว ไม่ได้ทำงานด้วย เงินก็ต้องรอเอาจากพ่อไม่ก็ลุงกับน้าเอา เราก็สงสารแม่ อยู่คนเดียว ตอนที่เป็นวันหยุดก็เลยไปอยู่กับท่าน โชคดีที่บ้านแม่กับบ้านพ่อไม่ได้อยู่ห่างกันสักเท่าไร อยู่เขตใกล้ๆ กัน กลัวแม่จะเหงา เพราะท่านก็อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ก็กลัวจะคิดมากอะไรอีก แถมไม่มีคนคอยดูแลด้วย เป็นห่วง (แต่เวลาเราจะกลับทีไร จะต้องทะเลาะเรื่องเวลามารับกลับกับพ่อตลอด พ่อบอกว่าเหนื่อย ไม่มีแรงขับรถมารับ ทำงานเหนื่อยๆ ไม่ได้พักเลย เห็นใจกันบ้าง เราก็แบบ...โมโหนะ จะนั่งแท็กซี่กลับก็ไม่ให้ อะไรก็ไม่รู้ เคืองมาก)
แต่ก็ไม่ค่อยชอบใจเท่าไรก็คือ ตอนที่พ่อไม่หย่า พ่อก็ไปมีคนใหม่ เขาไม่เคยทำอะไรให้แม่เลย (นอกจากให้เงิน) แต่กับคนใหม่ของพ่อ พ่อทำให้ทุกอย่าง ซื้อของแพงๆ ให้ อะไรให้ เรากับน้องก็แบบไม่ชอบ (จนเกือบจะเกลียดแล้ว) เรากับน้องรู้ทุกอย่างแหละ ต่อให้แอบๆ ก็เถอะ แต่พอเขามาบอกตรงๆ ว่าเนี่ย คนใหม่ของพ่อเนี่ยดูแลพ่อดีนะ นู่นนั่นนี่ เราก็เลยพยายามทำใจยอมรับ (แต่ก็ยังยอมรับว่าอคติอยู่ดี เหมือนโดนแย่งความรัก เพราะเหมือนพ่อจะมีเวลาให้เรากับน้องน้อยลง กลับบ้านค่ำๆ ดึกๆ ปล่อยให้เรากับน้องหิวจนปวดท้องยังเคย) จริงๆ ก็โล่งใจแหละ โอเค พ่อมีคนดูแลแล้ว เราที่เป็นพี่โตสุดจะได้เรียนๆ แล้วทำงาน จะได้ไปดูแลแม่ที่ไม่มีใครคอยดูแล
เข้าใจนะว่าเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้เหมือนกันนะ :(( แต่เราก็พยายามทำตัวไม่เป็นปัญหา ถ้าเขาเห็นว่าแบบนี้คงดีที่สุด เราก็จะยอมรับมัน
เรื่องแบบนี้มันก็แล้วแต่คน เราเป็นคนหนึ่งที่พ่อแม่เลิก พ่อแม่เราเลิกกันตั้งแต่อ.3 แต่เราคิดว่ามันไม่ใช่ปมด้อยอะไรมากมายอยู่ที่เด็กจะคิดมากกว่า อย่างเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาแค่ตอนนี้ก็ยังไปหาพ่อบ่อยๆเพราะตอนนี้อยู่กับแม่ มีปัญหาอยู่อย่างเดียวคือเราชอบทะเลาะกับแฟนใหม่ของพ่อเพราะเขาชอบดูถูกเรากับแม่ แต่ไปๆมาๆกลับกลายเป็นว่ากลายเป็นผลักดันเราแทน แต่บางครั้งก็อิจฉาลูกคนใหม่ที่อยู่กับพ่อเพราะได้รักความรักบางกว่าเรา มีคนเอาใจมากกว่าเรา แต่ก็ไม่ผิดแม่เราเลี้ยงเรามาแบบไม่ให้เอาแต่ใจ เลยบางครั้งก็เหมือนจะเป็นเด็กขาดความรักแต่มันก็ไม่ใช่อุปสรรคในการดำเนินชีวิตของเรา
พ่อแม่เราหย่ากันแต่เราก็ปกติดีนะ อาจจะเป็นเพราะส่วนตัวเข้มแข็งด้วยล่ะมั้ง (แต่จริงๆ ข้างในก็อ่อนไหวง่ายนะ) เหมือนพ่อแม่เราจะตรงข้ามกับข้อ 5 ข้อหมดเลย
1.แม่ไม่เคยคิดว่าการหย่ากันเป็นเรื่องดี แม่ไม่ได้อยากหย่ากับพ่อเพราะไม่อยากให้เรามีปมด้อย แต่เนื่องจากสถานการณ์มันไม่โอเคจริงๆ ก็เลยหย่ากันไป (ตอนเราประถมต้นได้มั้ง)
2.หย่ากันไปแล้ว เรากับแม่ก็เหมือนเดิมดี ไม่มีอะไรเปลี่ยน (และที่สำคัญแม่ยังยอมให้พ่ออยู่ด้วยกันได้ แต่ถือว่าหย่ากันแล้ว แต่ตอนนี้พ่อเราไม่อยู่แล้วล่ะ ทะเลาะกับแม่อีกแล้วก็เลยแยกไปอยู่ถาวร) เราก็ปกติดี ตอนนี้เผลอๆ สนิทกับแม่มาหขึ้นอ่ะ มีอะไรเราคุยกับแม่ตลอดเห็นเหมือนท่านเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้คนนึง จนโดนดุบ่อยๆ เลยว่า แม่ไม่ใช่เพื่อน =__= ก็นะ เราชอบทำเหมือนแม่เป็นเพื่อน เล่นด้วยกันได้หมด (แต่ก็เคารพอยู่นะ)
3.แม่เราไม่มีคนใหม่ (คงเซ็ง เบื่อผู้ชายละ แถมอายุก้เยอะละ หาใหม่ทำไม? อยู่กับลูกดีกว่าพอ) ส่วนพ่อเราก็ไม่รู้นะ...แต่คงไม่มีเพราะหลังจากแยกออกจากบ้านไป เราก็รู้สึกได้ว่าพ่องกขึ้น ประหยัดขึ้น คงไม่ทำตัวเป็นป๋าต่อหน้าสาวๆ แล้ว
4.แม่พาเราไปหาพ่อตลอด บางทีก็นักดให้พ่อมาหา (เนี่ยก็เพิ่งไปกินข้าวด้วยกันมา) เรียกได้ว่า หนึ่งเดือนต้องเจอกันอย่างน้อยครั้งนึง รู้สึกเหมือนพ่อแค่ไปทำงานตจว.เฉยๆ เอง =_=
5.การหย่าร้างไม่ได้ยุติปัญหาทั้งหมดนะคะ เพราะปัจจุบัน ก็ยังชอบเถียงกัน ทะเลาะกันอยู่เรื่อยเวลาเจอหน้ากัน แต่การแยกกันอยู่มันทำให้ดีขึ้นจริงๆ ค่ะ แม่แฮปปี้ขึ้น ไม่เครียด (อยู่กับพ่อแล้วชอบทะเลาะกัน -.-) ส่วนพ่อก็คงโอเคค่ะ แต่คงเหงา ลำบากขึ้น
จริงๆ มันก็แล้วแต่ครอบครัวนะคะ เราไม่ควรไปคิดถึงเรื่องพวกนี้ ขอยืมคำพูดแม่ที่เราชอบเอามาใช้อยู่บ่อยๆ หน่อย "มันเป็นปัญหาของสามีภรรยา ไม่ใช่ปัญหาครอบครัว" เข้าใจตรงกันนะ ._.
มันกลายเป็นปมด้อยจริงๆ ค่ะ นึกว่าจะทำใจได้ จะเข้มแข็ง แข็งแกร่ง แต่สุดท้ายแล้วมันไม่ใช่เลย คำว่า "ครอบครัว" กลายเป็นคำที่บอบบางและโหดร้ายที่สุดสำหรับเรา
+
ครอบครัวเรากลายเป็นเหมือนพรรคการเมือง ฝ่ายหนึ่งใส่ร้ายอีกฝ่าย พยายามเอาชนะ พยายามจะให้ลูกไปอยู่ด้วย ปากก็บอกว่า "เด็กไม่เข้าใจหรอก"
+
ค่ะ...ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องคิดว่าเราไม่เข้าใจ
+
เหตุผลของผู้ใหญ่ เรารู้ และโตพอจะรับฟัง แต่ความรู้สึกของลูก เคยคิดถึงตรงนี้ไหม? หย่ากัน ปัญหาจบ โอเค อาจจะถูก แต่ความรู้สึกของลูกไม่จบ มันไม่จบค่ะ
+
มันกลายเป็นเหมือนที่คอลัมน์นี้ว่า เราไม่เชื่อในเรื่องความรักอีกต่อไป อิจฉาทุกครั้งที่เห็นครอบครัวอื่นพร้อมหน้า แสยงใจทุกครั้งที่เห็นครอบครัวใครต่อใครร่าเริงแจ่มใสและรักกันดี ร้องไห้ทุกครั้งที่แม่แขวะพ่อ หรือพ่อแขวะแม่ เราไม่วางใจในคำว่าเพื่อน ครอบครัว หรืออะไรต่อมิอะไร เราปิดกั้นตัวเอง เรามองโลกในแง่ลบ เราไม่เชื่อมั่นและยึดถืออะไรอีก
+
ทุกวันเกิด ทุกการขอพร ทุกการภาวนา ทุกครั้งที่อธิษฐาน เรามักจะขอให้ "ครอบครัวกลับมาเป็นเหมือนเดิม"
+
แต่มันไม่เคยสัมฤทธิผล...
+
ปัญหาครอบครัวทำให้เราโตขึ้น อดทนขึ้น มีความคิดมากขึ้น
+
แต่มันทำให้เรากลับมามีความสุขอย่างเต็มที่กับชีวิตมากขึ้นไม่ได้ เพราะสิ่งที่เราต้องการที่สุดมันไม่มีวันเป็นจริงอีกแล้ว
เป็นอีกคนที่พ่อแม่หย่าร้างกัน แต่เราไม่รู้สึกขาดด้วยซ้ำ ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ อยู่กับยาย ทั้งพ่อและแม่แต่งงานใหม่ทั้งคู่แต่ท่านก็โทรหาทุกวันส่งเงินให้ใช้ เราว่าทุกคนมีเหตุผลทั้งนั้น ทุกวันนี้มีความสุขดี ใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป การเรียนดีด้วยซ้ำ. เวลาพ่อแม่มาเจอกันชอบทะเลาะแต่เรามองมันตลกมากกว่า
ไม่เคยเห็นด้วยกับกระทู้ไหนเท่ากระทู้นี้มาก่อน บอกเลยมันใช่ทุกข้อ เลิกตรรกะที่ว่ามันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่สักทีเถอะคือมันเป็นเรื่องของครอบครัวแล้วตูก็เป็นลูกป่ะฟะ?! แล้วก็ถึงพ่อแม่จะไม่ถูกกันแต่เราก็ยังรักทั้งสองคน เพราะฉะนั้นอย่ากีดกันอีกฝ่ายออกจากลูกเลย
เราพ่อแม่หย่ากันตั้งแต่เราอายุ 7 ขวบ เราอยู่กับพ่อ กับปู่ ย่า แต่แม่จะแยกบ้านออกไปอยู่อีกทีนึง คือเราไม่ได้คิดว่ามีปมด้อยเท่าไหร่เรื่องที่พ่อแม่หย่ากัน เพราะเราได้รับความรักจากทั้งปู่และย่ามาตลอด ส่วนพ่อเราก็มีแฟนใหม่ แฟนใหม่พ่อเค้าโอเคกับเรามากๆ ใจดีซื้อของให้พาไปเที่ยวเรารู้จักกับเค้ามาตั้งนานเเล้ว เราเลยค่อนข้างที่จะสดวกใจที่จะยอมรับเค้าเข้ามา แล้วที่สำคัญช่วงนั้นแม่ก็มาหาเราทุกอาทิตย์ พามาซื้อของ มาหา พาไปเที่ยว แต่พอเราขึ้น ป.5 ช่วงงานศพย่า เราเจอแม่แค่ครั้งเดียวตอนช่วงนั้นเเล้วแม่ก็หายไปเลย
ช่วงนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่าแม่หายไปไหน ก็เฝ้ารอต่อไปหวังว่าแม่จะมาหา พอเราขึ้นม.1 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราต้องเปลี่ยนโรงเรียนใหม่ ช่วงนั้นแม่ก็โทรมาหาเราบ้าง พอรู้ว่าเราจะขึ้นม.1 แม่เราก็พาเราไปซื้อเสื้อผ้า หลังจากไม่ได้เจอกันมาหลายปี เราก็แฮปปี้นะ คิดว่าแม่อาจจะไม่ว่างไรเงี้ย ถึงมาหาเราไม่ได้ แต่จุดพีคคือช่วงสงกรานต์ยายมาที่บ้านป้า ป้าก็ชวนมาบ้าน เราก็ไปบ้านป้าตามปกติ แต่แจ็คพอตตรงที่เราไปเจอน้องเราที่เราไม่เคยรับรู้มาเลยแม้แต่นิดเดียวว่ามี คือสรุปแม่แต่งงานใหม่ แต่ไม่ได้บอกเรา กลัวเรารับไม่ได้ กลัวสามีใหม่เค้ารับไม่ได้ว่าแม่เคยแต่งงาน มีลูกมาแล้ว
สรุปคือช่วงนั้นเราเสียศูนย์เลย แม่เราก็ไม่ติดต่อมา พอเราติดต่อแม่ก็เงียบหายไปเลย สรุปคือช่วงนั้นเราเป็นคนไม่มีแม่ไปเลย จนถึงทุกวันนี้เราก็ติดต่อกับแม่บ้างไรบ้าง แต่ก็ไม่สนิทใจเท่าเดิม แม่ดูแฮปปี้กับครอบครัวใหม่ คอยอัพรูปโน้นนี่นั่นตลอด แต่พอเรามาเห็น บางทีเราก็อิฉา รู้สึกว่าทำไมครอบครัวเราถึงไม่เป็นอย่างนั้นบ้าง กับน้องเราไม่มีความรู้สึกพิเศษอะไรเลยนะ เฉยๆ ไม่สนใจ ไม่เคยคุยกันด้วย ไม่รู้สึกเราอาจจะไม่ชอบน้องเราล่ะมั้ง