ใครได้ดูไดอารี่ตุ๊ดซี่ส์เดอะซีรีส์บ้างครับ? สังเกตมั้ยว่าซีรีส์เรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะทุกวันนี้เราเปิดกว้างเรื่องรสนิยมทางเพศกันมากขึ้น และมีคนให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องทางเพศเยอะมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะเพศที่สาม ซึ่งมีคำเรียกมากมาย เช่น เพศทางเลือก LGBT (Lesbian Gay Bi Tran) เป็นต้น
ทั้งนี้หลายๆ คนก็ยังคงสงสัยถึงที่มาของเพศทางเลือก น้องๆ วัยรุ่นบางคนก็ยังสับสนว่าตนเองเพศอะไร ซึ่งข้อมูลเนื้อหาที่เผยแพร่ออกมาทางอินเทอร์เน็ตมากมายนั้นต่างก็พูดไปคนละทาง บ้างก็ว่าเป็นเรื่องของพันธุกรรม บ้างก็ว่าเป็นเรื่องการเลี้ยงดูสมัยเด็ก บ้างก็ว่าเพราะอาหารการกินของมารดาตอนกำลังตั้งท้อง
เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด และเข้าใจให้ตรงกัน เรามาดูกันว่า ที่ได้มีการวิจัยกันมาอย่างยาวนานเรื่องพยาธิสรีรวิทยาของ ‘เพศที่สาม’ นั้นเป็นอย่างไร ตามพี่หมอโด่งมาเลยครับ
ทฤษฎีที่ 1 Evolution and Human Behavior (Barthes, Godelle, & Raymond, 2013: H/T to Dan)
อ้างว่า เพศที่สาม (ในที่นี้หมายถึงกลุ่ม ชายรักชาย) มักจะเกิดในครอบครัวที่มีพี่น้องเป็นผู้หญิง เนื่องจากกลุ่มบุคคลเพศหญิงในครอบครัวมักถูกปกป้องอยู่แล้วตามลำดับขั้น และด้วยเพศสภาพและสถานะแล้ว ผู้หญิงมักได้แต่งงานกับชายที่มีสถานะทางสังคมสูงกว่า เสมือนเป็นแบบอย่างให้ในทางจิตวิทยาแล้วคนในครอบครัวมีความคิดไปในแนวทางเดียวกัน ทำให้บุคคลเพศที่สามพยายามที่จะทำตนให้เสมือนหรือเทียบเท่าเพศหญิง แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ยังไม่เชื่อทฤษฎีทางจิตวิทยาอันนี้มากเท่าไหร่นัก
ทฤษฎีที่ 2 Genetic
มีหลายการศึกษามากที่พยายามจะนำความเชื่อมโยงระหว่าง DNA ของครอบครัวมาแสดงให้เห็นว่าบุคคลที่มีความรักใคร่ชอบพอในเพศเดียวกันมักจะมีลักษณะของ Genotype อย่างใดอย่างหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน
มีสองการวิจัยที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่คำตอบ!!
โดยเขาได้สอบถามฝาแฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน (Monozygotic male twins) ผลออกมาพบว่า คู่ที่เป็น Homosexual ทั้งคู่นั้นมีเพียง 30 คนใน 100 คนเท่านั้น
ทำให้การศึกษาที่จะลงทุนไปมากกว่าการสัมภาษณ์นั้นจบลง ไม่มีใครไปลงทุนทำวิจัยระดับไมโครมากกว่านี้เนื่องจากมันมีความซับซ้อน และแสดงให้เห็นได้ชัดว่าไม่มีความสำคัญทางสถิติ
ทฤษฎี : Group selection
เนื่องจากการอยู่ร่วมกันของประชากรเป็นสิ่งสำคัญ มีงานวิจัยหนึ่งแสดงให้เห็นว่า การอยู่ร่วมกันของเพศชายอย่างเดียวมีแนวโน้มที่จะเกิดความรุนแรงได้มากกว่ากลุ่มที่มีเพศชายและเพศหญิงร่วมกัน ซึ่งจากการที่มีทรัพยากรที่จำกัด เช่น สมัยก่อนจะเป็นอาหาร น้ำ และที่อยู่อาศัย ทำให้กลุ่มที่มีความรุนแรงน้อยกว่าอยู่รอด และคนภายในกลุ่มที่มีเพศสภาพต่างกันก็ได้ปรับตัวเข้าหากันเป็นต้น ทำให้เพศสภาพที่เกิดมาได้พัฒนาเปลี่ยนไปได้นั่นเอง
อ่านทฤษฎีเหล่านี้มากๆ ก็ชักจะงง แถมคนที่สับสนทางเพศก็ยังคงสับสนอยู่ไม่หาย อย่าเพิ่งเครียดกันครับ พี่หมอแค่จะบอกให้ฟังเฉยๆ ว่า มีอีกหลายทฤษฎีที่ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจนเกี่ยวกับเพศที่สามในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม Up to date ได้สรุปข้อมูลเกี่ยวกับ Homosexual เอาไว้ว่า เกิดได้จากปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดเพศสภาพดังกล่าวคือ
โดยปกติแล้วคนเราจะระบุเพศของตนเองตาม Gene ที่เป็น XY อย่างที่เราเรียนๆ มากัน แต่มนุษย์เรานั้นจะมีช่วงที่ไม่สามารถแยกเพศได้ (Gender unidentified) ในช่วงเวลา 2-3 ขวบแรก และมักจะสามารถแยกเพศได้ในช่วงประมาณ 3-4 ขวบในวัยเรียนอนุบาล ทั้งจากอวัยวะสืบพันธุ์ ลักษณะภายนอก และอื่นๆ
แต่อย่างไรก็ตามช่วงเวลาของการระบุบ่งชี้เพศสภาพ (Gender identity) หรือการแยกเพศได้นั้น อาจจะสัมพันธ์กับความรู้สึกข้างในด้วยเช่นกัน เช่น เรารู้สึกว่าเราเป็นผู้หญิง ในขณะที่เราเป็นผู้ชาย เป็นต้น ซึ่งเกิดได้จากทั้งลักษณะรูปร่าง แต่บางครั้งความรู้สึกเหล่านี้ก็สับสนครับ ทำให้สภาวะจิตใจภายในในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านเหล่านี้เป็นความรู้สึกไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ทั้งจากความถูกผิด และรูปร่างของตนเองทำให้ออกมาเป็น Transgender (คนข้ามเพศ) ได้เช่นกัน
เท่านั้นไม่พอ เรื่องของความรู้สึกนี้ยังซับซ้อนได้อีกตรงที่ ยังมีช่วงที่เรียกว่า ‘Sexual orientation’ คือในขณะที่เรากำลังจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น (Puberty) นั้น ผู้หญิงจะมีเต้านม และผู้ชายจะมีลักษณะอวัยวะเพศที่เปลี่ยนแปลง เป็นต้น หากในช่วงเวลานั้นเรามีความรู้สึกชอบพอกับใคร ไม่ว่าจะเพศเดียวกันหรือต่างเพศ ทั้งการให้ความรู้สึกดีๆ เป็นเพื่อนสนิทกัน หรือแม้กระทั่งเจอคนที่ใจดีกับเรามากๆ ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม อาจจะทำให้ช่วงเวลานั้น เราเกิดความรู้สึกทางเพศหรือเกิดความรักในอนาคตได้ด้วย
สรุปคือ ไม่ว่านักวิทยาศาสตร์จะพยายามคิดค้นทฤษฎีต่างๆ ขึ้นมากมาย แต่ก็ยังไม่มีปัจจัยใดที่แน่นอนชัดเจนว่าการเป็นเพศที่สามนั้นเกิดจากอะไร อย่างไรก็ตาม โลกปัจจุบันมีการยอมรับในเรื่องราวเหล่านี้มากขึ้นแล้ว ดังนั้นน้องๆ ก็ควรมีความสุขกับสิ่งที่ตนเองเป็นครับ
หากน้องๆ คนไหนไม่แน่ใจในเพศสภาพของตนเอง ถูกกดดัน มีความเครียด และอื่นๆ สามารถขอคำปรึกษาได้ที่ คลินิกเพศหลากหลายในวัยรุ่น โรงพยาบาลรามาธิบดี คลินิกเปิดให้คำปรึกษาทุกวันศุกร์ที่ 4 ของเดือน โดยสามารถนัดหมายล่วงหน้า หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-2011244, 02-2012799 หรือปรึกษาได้ที่สายด่วนตลอด 24 ชั่วโมง ที่หมายเลข 087-0535500 ครับ แต่ขอความร่วมมือห้ามโทรไปก่อกวนนะครับ ขอเป็นน้องๆ ที่ต้องการคำปรึกษาจริงๆ เท่านั้นครับ :)
สุดท้ายนี้ น้องๆ คนไหนมีข้อสงสัยเรื่องเพศศึกษา หรืออยากรู้เรื่องอะไร ทิ้งคำถามไว้ในคอมเม้นต์ด้านล่างได้เลยนะครับ พี่หมอจะทยอยรวบรวมนำมาตอบให้ในตอนถัดไปครับ
17 ความคิดเห็น
บทความดีนะคะ แต่น่าจะใส่ citation ให้หมดอ่ะ และ sexual orientation ไม่ใช่ชื่อช่วงสักหน่อย เอามาจากทฤษฎีไหนคะ มันก็แปลตรงตัวว่ารสนิยมทางเพศแค่นั้นเอง
เอาตรง ๆ ที่เด็กสับสนทางเพศอะ เพราะเจอบรรทัดฐานสังคมไง จะไปคิดเรื่องเพศทำไมให้มากความ ชอบใครก็ชอบไปสิ มองเรื่องเพศทำไม อย่างชอบคน ๆ นี้มาก ๆ อยากได้เป็นแฟน แต่เขาเป็นผู้ชายตัวเองเป็นผู้ชาย เขาเป็นผู้หญิงตัวเองเป็นผู้หญิง จะต้องตัดสินตัวเองจากการชอบคน ๆ เดียวหรอว่าเป็นเกย์ เป็นเลสเบี้ยนอะ ?
เรามีเพื่อนเป็นผู้หญิงแท้ ๆ แต่คบทอม มันให้เหตุผลว่า "กูก็ยังชอบผู้ชายนะเว้ย เลิกกับมันกูก็หาผู้ชายคนใหม่แทน แต่รักมันไง ก็รักมันเป็นมัน กูไม่ได้รักทอมทุกคน" แค่นั้นเอง มันเป็นนิยามจริง ๆ นะ
เด็กที่สับสนเพศ ก็แค่บังเอิญไปชอบเพศเดียวกัน หวั่นไหวขึ้นมา แล้วก็คิดมากนู่นนี่ เรื่องของเพศ รสนิยม มันเอาวิทยาศาสตร์ ที่สำรวจจากคนไม่กี่กลุ่มมาตัดสินไม่ได้ เพราะมันไม่ได้สำรวจจากคนทั้งโลก
ในความคิดเรา ไม่จำเป็นว่าต้องไปนิยามว่าตัวเองเป็นอะไรหรอก ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตัวของคนคนนั้น แต่ต้นเหตุของปัญหาจริงๆคือคนส่วนใหญ่ในประเทศไทย(และอีกหลายประเทศ)ที่บอกกับตัวเราตั้งแต่เด็กๆว่าเป็นแบบนี้มัน"ผิด" ทำให้คนถูกปลูกฝังกันมาแบบนั้น และทำให้ตัวคนคนนั้นรู้สึกไม่มั่นใจและสับสน ถึงจะบอกว่าไทยยอมรับมากขึ้นแล้วก็เถอะ แต่พอมองลึกจริงๆแล้วมันก็ยังไม่กว้างเท่าชญแท้ทั่วไป ดูง่ายๆอย่างการแต่งงานยังจดทะเบียนแบ่งทรัพย์สินเหมือนคู่ชญแท้ไม่ได้เลย หากเราเปิดใจเหมือนกับบางประเทศที่ให้การยอมรับ ปัญหาการสับสนเราว่าน่าจะน้อยลงและทำให้เด็กทุกคนมีความมั่นใจในตัวของเขาเองไม่ว่าจะเป็นเพศอะไรก็ตาม
ขอแนวคิดของนักปรัชญามาร่วมด้วยได้มั้ยคะ
เคยได้ยินคนพูดว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นไบเซ็กชวลอยู่แล้ว แต่ค่านิยมในสัมที่ทำให้คิดว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง อันนี้เราเห็นด้วย เพราะมันเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่เราจะไปรักใครชอบใคร แถมตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้อยู่ในสมัยที่มีสงคราม ตอนนี้โลกเปิดกว้าง มีเสรี เราว่าสนุกจะตายมีเพื่อนเป็นกระเทย ปรึกษาได้ (ส่วนตัวคิดว่าเพราะพวกนางมีมุมมองของทั้งสองเพศ) เปิดสวนสัตว์กันได้ ชอบ พวกนางน่ารักนะ
เปลี่ยนใจไปคบกับผู้ชายง่ายกว่าาา
insulated-gate bipolar transistor (IGBT) ไม่ใช่ละ
ขอยืนยันอีกเสียงนึงน่ะ ว่า ทฤษฎี ที่1 เป็นเรื่องจิง