สวัสดีครับ พบกับพี่หมอโด่งที่คอลัมน์เจาะลึกเพศศึกษาอีกเช่นเคย เรื่องที่เราหยิบมาคุยกันแต่ละสัปดาห์ดูจะลึกลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ นะครับ อย่างวันนี้ก็เป็นคำถามที่น้องๆ ถามมา แถมยังดูล่อแหลมชอบกล แต่ในเมื่ออยากรู้ พี่หมอก็จะตอบให้ครับ เอาล่ะ เริ่มกันเลย...
มีน้องไม่ระบุเพศ ถามมาว่า “ออรัลเซ็กส์ สามารถติดเชื้อ HIV ได้หรือไม่?”
อื้อหืมมม... แม้จะอยากเห็นหน้าคนถามสักเท่าไร ด้วยจรรยาบรรณพี่หมอก็ต้องห้ามใจไว้ครับ อย่างที่พูดกันอยู่เสมอๆ ว่า อยากรู้เรื่องอะไรก็ถามมาได้เลย เพราะถ้าอยากรู้แต่ไปหาคำตอบด้วยการทดลองเองนั้น ไม่คุ้มแน่นอนครับ ...น้องๆ ที่อ่านอยู่คงจะบอกว่า ตกลงพี่หมอจะตอบได้หรือบยัง ลีลาจัง ฮ่าๆๆๆ
คำถามว่า “ออรัลเซ็กส์ สามารถติดเชื้อ HIV ได้หรือไม่?”
คำตอบคือ “ตอบไม่ได้ครับ”
อ้าว แบบนี้มันกวนกันนี่หว่า ฮ่าๆ เอาเป็นว่ามันตอบอยากกว่าที่คิดครับ แต่เราต้องรู้เนื้อหาข้อเท็จจริงก่อนว่า เชื้อ HIV จะติดกันอย่างไร
เชื้อ HIV จะมีในร่างกายหลายๆ แห่งครับ เช่น เลือด น้ำหล่อลื่นอวัยวะเพศชาย น้ำหล่อลื่นทางทวารหนัก นมมารดา เป็นต้น แต่ที่มันติดกันง่ายๆ ส่วนใหญ่ที่คนเราพูดถึงคือ เลือด (เช่น จากการใช้เข็มร่วมกัน ได้รับเลือดผู้อื่น) หรือการร่วมเพศทั้งในเพศชายหญิงและชายชายครับ
แต่อย่างที่บอกครับ เชื้อ HIV เนี่ย มีหมดทุกที่ครับ แต่ปริมาณมากน้อยแตกต่างกัน น้ำลายเราก็มี นั่นแสดงว่ามันติดต่อทางน้ำลายได้เช่นกัน เพียงแต่ว่า น้ำลายเนี่ยมีมีเชื้ออยู่น้อยมากกกกก จนมีอาจารย์ของพี่คนหนึ่งเคยบอกว่า ‘น้องอาจจะต้องถ่มน้ำลายสักสิบลิตรให้อีกคนกิน ถึงจะติดเชื้อได้’ แสดงให้เห็นว่าการกินอาหารร่วมกันนั้นมีโอกาสติดเชื้อน้อยมากๆๆๆ นั่นเองครับ
แต่... ทุกอย่างก็มีข้อยกเว้นครับ มีเคสรายงานมาเหมือนกันว่า การจูบปากกันนั้นก็ทำให้ติดเชื้อได้เช่นกัน แต่น้อยมากครับ หรือเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง เช่น มีแผลในปาก หรือแผลที่ปาก ทำให้สารคัดหลั่งของฝั่งตรงข้ามเขามาในชั้นเนื้อเยื่อที่บางมากๆ และมีโอกาสเข้าสู่กระแสเลือดได้ครับ
จากเนื้อหาข้างบน จริงๆ แล้วสามารถตอบคำถามหลายๆ คำถามได้แล้วนะครับว่า การออรัลเซ็กส์นั้นไม่ได้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะน้องๆ ไม่มีทางควบคุมสารคัดหลั่งขณะมีอารมณ์ได้ครับ ถึงแม้พี่หมอจะบอกแล้วว่ามีความเสี่ยงน้อยมากๆ แต่ก็ยังถือว่ามีโอกาสครับ อันนี้ต้องสำรวจตัวเองว่ามีแผลในช่องปากหรือไม่ รวมถึงคู่ของเรามีความเสี่ยงที่จะมีเชื้อ HIV มากแค่ไหนครับ
นอกจากนี้ จากรายงานของ CDC (The Centers for Disease Control and Prevention) ก็ได้บอกว่ามีบางกรณีที่ผู้ป่วยได้รับเชื้อมาจากวิธีแปลกๆ บ้างเหมือนกันครับ เช่น เคี้ยวหมากฝรั่งต่อจากผู้ป่วยที่มีเหงือกอักเสบ หรือสัมผัสบาดแผลของผู้ป่วยที่ติดเชื้อเข้าสู่ผิวหนังของเรามีอาจจะมีบาดแผล หรือผนังเยื่อเมือก (Mucosa) เช่น แถวๆ อวัยวะเพศ ในช่องปาก เป็นต้น
เท่าที่อ่านเนื้อหาข้างต้นไปหลายย่อหน้าแล้ว พี่หมอคิดว่าน้องๆ น่าจะเข้าใจแล้วนะครับ ก็ขอให้น้องๆ ชาว Dek-D.com ทั้งคนที่ถามและคนที่อ่านอยู่นี้ลองทำไปคิดต่อว่า ความสนุกสนานเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์แบบไหนที่ทำให้มีความเสี่ยงติดเชื้อ HIV ได้ เราไม่มีทางรู้เลยว่า เพื่อนชายที่หน้าตาดีเหมือนพระเอกฮอร์โมนส์คนนั้น หรือแฟนสาวแสนเรียบร้อยที่ดูบริสุทธิ์ผุด่องมากนั้น จะมีเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อยู่หรือไม่ หรือร้ายแรงกว่านั้นคือ ตัวเขาเองอาจจะไม่รู้ก็ได้
ดังนั้น... วนกลับมาที่เดิมครับ ไม่ว่ามีเพศสัมพันธ์แบบไหน หรือมีพฤติกรรมทางเพศแบบใด ก็ล้วนแต่ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ครับ อย่าให้อารมณ์ชั่ววูบมาทำพัง อย่าให้คำว่าเชื่อใจ เรารักกัน ไว้ใจกัน ฉันมีแค่เธอคนเดียว... มาทำให้น้องเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้เลยครับ
สุดท้ายนี้ ใครเข้าออกเว็บบอร์ดเด็กดีบ่อยๆ น่าจะเคยอ่านกระทู้นี้ “เมื่อความฝันในการเป็นหมอต้องจบลงเพราะผมติดเชื้อ HIV” วันนี้พี่หมอก็ส่งทีมงานไปสัมภาษณ์น้องเจ้าของเรื่องมาเพิ่มเติมด้วย ลองไปฟังกันครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตน้องคนนี้
"สวัสดีครับ ไม่รู้จะแนะนำตัวเองยังไงดี เอาเป็นว่าชื่อเอสุดหล่อละกัน (นามสมมติ) 555 พูดถึงคณะแพทย์ก็เป็นคณะที่ผมใฝ่ฝันจะเข้าตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับ ตอนเตรียมตัวสอบก็ทุ่มสุดตัว แต่ตอนนั้นมันยังไม่พอ เรายังขยันน้อยกว่าคนอื่น พอแอดมิชชั่นรอบนี้ก็คิดว่าไม่พลาดแน่ แต่ดันมาติดเชื้อ HIV ก่อน
ผมรู้ตัวว่าชอบเพศเดียวกันน่าจะราวๆ ม.3 - ม.4 ที่เลือกปกปิดไว้ก็เพราะคิดว่าสังคมเรายังรับกับเรื่องพวกนี้ไม่ได้ครับ เราต้องยอมรับตัวเอง ในเมื่อปิดแล้วเราสบายใจเขาสบายใจ เลือกที่จะปิดดีกว่าครับ ตอนที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก (กับผู้ชาย) เราไม่ได้เป็นแฟนกัน เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบครับ ตัวผมเองรู้เรื่องความเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ดีอยู่แล้ว และก็ป้องกันตลอด แต่มาพลาดครั้งสุดท้ายนี้เองครับ
สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น ผมว่าเป็นเรื่องปกตินะครับ ใครๆ ก็ทำกัน ตอนที่รู้ตัวว่าติดเชื้อ ครอบครัวไม่ทราบเลยครับว่าป่วย เพราะเราอยู่หอ ครั้งแรกป่วยไปโรงพยาบาล หมอให้ตรวจเลือด แล้วก็เจอเชื้อ HIV ครับ พอครั้งที่สองผมไปตรวจที่คลินิคนิรนามก็ได้ผลตรวจเหมือนกัน
พอรู้ตัวว่าติดเชื้อ HIV ก็ไม่ได้ปรึกษาใครเลยครับ ส่วนการเรียนก็คิดไว้ว่าจะลงสายใหม่ ไม่เรียนหมอแล้ว ส่วนด้านครอบครัวก็จะให้เหมือนเดิมครับ ผมพยายามปิดให้นานที่สุด ชีวิตส่วนตัวก็จะดูแลตัวเองดีๆ ออกกำลังกาย พยายามไม่ท้อครับ ทำทุกๆ วันให้ดีที่สุดเหมือนวันสุดท้ายของชีวิตครับ
ผมโชคดีตรงที่ครอบครัวตามใจเรื่องเรียนมากๆ ครับ ไม่กดดันเลย แผนต่อไปก็คิดว่าจะแอดฯ สายคำนวนครับ เพราะเราชอบคำนวณ เลือกเป็นวิศวะทั้งสี่อันดับเลย สำหรับชีวิตตอนนี้ ก็กลัวคนอื่นที่รู้จะรังเกียจเหมือนกันนะครับ แต่ก็คิดว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด รับไหวทุกสถานการณ์ครับ ทุกครั้งที่ท้อก็จะคิดถึงพ่อแม่เท่านั้นครับ เขาเหนื่อยเพื่อเรามานาน ยังไม่เห็นความสำเร็จเราเลย เราต้องอยู่ดูแลเขาก่อน ตายตอนนี้ยังไม่ได้ 555
ตอนนี้ก็พยายามดูแลตัวเองมากๆ ครับ ทั้งเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย ถือว่าครบตามแบบเฮลตี้แมน ผมคิดว่าวันหนึ่งจะต้องหาย คนเราต้องมีความหวัง อยู่ได้ด้วยความหวังครับ
สุดท้ายก็ฝากถึงน้องๆ เพื่อนๆ ทุกคนนะครับ หากจะมีเพศสัมพันธ์ควรป้องกันทุกครั้ง เราไม่มีทางรู้ว่าเขาติดเชื้อหรือเปล่า ปลอดภัยไว้ดีที่สุดครับ"
เป็นอย่างไรกันบ้าง เรื่องของ HIV น่ากลัวกว่าที่คิดมั้ย ถึงแม้จะไม่ได้ติดกันง่ายๆ แต่ก็ไม่ควรละเลยการป้องกันและดูแลตัวเองนะครับ หรือแม้แต่เราพบว่ามีคนรู้จักหรือคนใกล้ชิดติดเชื้อ เราก็ไม่ควรรังเกียจพวกเขา เพราะคนเหล่านี้ต้องการกำลังใจ และต้องการพื้นที่ในสังคมเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคติดต่ออื่นๆ เช่นกันครับ พี่หมอเองก็ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
สุดท้ายนี้ ใครมีคำถามอะไร คอมเม้นต์ไว้ได้เลยครับ กันใหม่ตอนหน้าครับ :-)
สุดท้ายนี้ ใครมีคำถามอะไร คอมเม้นต์ไว้ได้เลยครับ กันใหม่ตอนหน้าครับ :-)
5 ความคิดเห็น
เคยได้ยินมาว่าการที่ผู้ชายทำออรัลเซ็กให้ผู้หญิงแล้วจะติดเชื้อได้ แผลในปากต้องเป็นแผลเปิดขนาดที่ว่ายังมีเลือดไหลอยู่ อันนี้จริงรึป่าวครับ (ในที่นี้เขายกตัวอย่างมาเป็นคนที่พึ่งผ่าฟันคุดมาใหม่ๆ)
คือผมมีแฟนติดเชื้อมาได้สักพักแล้วครับเรามีการออรัลเซ็กกันแบบไม่ป้องกันแต่เขากินยาต้านมา1-2ปีแล้วครับเคสนีมีโอกาสเสี่ยงไหมครับ