ความหนักใจอย่างหนึ่งในการเขียนคอลัมน์เรียนต่อนอกของ พี่เป้ คือเวลาที่น้องๆ มาบอกว่าอยากได้ทุนนั่นทุนนี่ ให้ช่วยหาให้หน่อย สิ่งที่ยากคือการหาช่วยทุนนั้นให้น้องๆ และสิ่งที่ยากกว่าคือการที่น้องๆ จะได้ทุนนั้น เพราะขึ้นชื่อว่าทุนแล้ว ไม่มีทุนไหนง่ายหรอกค่ะ แต่สิ่งที่พี่พอจะแนะนำและช่วยได้ก็คือการเตรียมตัว วันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าในการสมัครทุนๆ หนึ่งนั้น เราจะต้องเตรียมอะไรบ้าง มีทั้งหมด 8 ข้อค่ะ 1. เกรดเฉลี่ยหรือผลการเรียน เรียกว่าเป็นด่านแรกที่จะถูกพิจารณา เพราะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความรับผิดชอบของตัวเรานั่นเอง ซึ่งบางสถาบันที่แจกทุนก็อาจจะกำหนดว่าต้องได้เกรดเท่าไหร่ถึงจะมีสิทธิ์สมัครได้ โดยมักใช้ 2 คำคือ GOOD และ EXCELLENT .....ถ้าคำว่า GOOD ควรได้ 80 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปคือประมาณ 3.2 / 4.0 ( 3.0 ยังพอโอเคค่ะ ) แต่ถ้า EXCELLENT ควรจะประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปคือ 3.6 / 4.0 2. เรียงความหรือ Essay หรือ Statement of Purpose เป็นการเขียนแนะนำตัวเราเพื่อให้ทางสถาบันรู้จัก แรงบันดาลใจที่อยากจะเรียนในสาขานั้น การเรียนที่ผ่านมาเป็นยังไงแล้วได้อะไรจากการเรียนนั้นบ้าง แล้วจะนำความรู้ที่ได้จากการเรียนไปทำอะไร บางที่อาจมีหัวข้อกำหนดมาด้วย เช่น ข้อดีข้อเสียของคุณคืออะไร อะไรในอดีตที่อยากกลับไปแก้ไขมากที่สุด เป็นต้น ซึ่งส่วนมากจะมีการกำหนดลิมิตคำมาด้วยว่าไม่เกินกี่คำ น้องๆ ก็ไม่ควรเขียนเกินเด็ดขาดนะคะ ข้อระวัง น้องๆ บางคนอาจจะคิดว่า การเขียนข้อด้อยของตัวเอง เช่น บ้านจน พ่อแม่แยกทางกัน ถูกเพื่อนรังแก จะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ดูน่าสงสารหรือเรียกร้องความสนใจ ขอบอกว่ามันไม่เกี่ยวเลยนะคะ เขาดูจากความตั้งใจค่ะ ไม่ได้ดูจากชะตากรรมชีวิต 3. แผนการศึกษา หรือ Study Plan อันนี้จะค่อนข้างใกล้เคียงกับการเขียน Statement of Purpose ค่ะ เพราะ Study Plan เขียนเกี่ยวกับเป้าหมายในการเรียนค่ะ ว่าเราสนใจจะเรียนวิชาอะไรบ้าง สนใจวิจัยด้านไหน วางแผนจะเรียนจบเมื่อไร แล้วความรู้เหล่านั้นจะช่วยหรือมีประโยชน์ต่อประเทศบ้านเกิดยังไงบ้าง 4. ความสามารถทางภาษา ได้แก่ คะแนนสอบ TOEFL , IELTS ( บางที่อาจอนุโลม TOEIC แต่ก็ควรใช้ TOEFL หรือ IELTS มากกว่า ) ซึ่งบางทุนอาจจะมีกำหนดว่าควรได้มากกว่าเท่าไร แต่บางทุนอาจไม่ได้กำหนด ควรได้เท่าไรดี ?? สำหรับขั้นต่ำในการเรียนต่อ (ปริญญาตรี) ที่ควรจะได้ก็คือ TOEFL แบบ iBT ไม่ควรต่ำกว่า 80 คะแนนและ IELTS เฉลี่ยแล้วไม่ควรต่ำกว่า 6.0 ค่ะ (แต่ถ้าเป็นสถาบันที่ดังมากๆๆ ก็ควรจะได้มากกว่านี้) รวมถึงความสามารถทางภาษาที่ 3 นั้นๆ เช่น อยากเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่จีนก็ควรต้องมีความรู้ภาษาจีนอยู่ในระดับดี เพราะหลักสูตรระดับปริญญาตรีส่วนมากก็จะใช้ภาษาแม่ของประเทศนั้นในการเรียนการสอนค่ะ ( ยกเว้นบางทุนที่อาจให้นักเรียนเรียนภาษานั้นๆ ก่อนเพื่อปรับพื้นฐาน)
ชักยาวแล้วแฮะ งั้นอีก 4 ข้อที่เหลือต้องติดตามกันวันอังคารหน้านะคะ :P pic : http://blog.eduzones.com,http://kbusociety.eduzones.com |
||
แสดงความคิดเห็น
ถูกเลือกโดยทีมงาน
ยอดถูกใจสูงสุด
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการที่จะลบความเห็นนี้ใช่หรือไม่ ?
22 ความคิดเห็น
จะจำไว้นะคะ
เพราะได้ทั้งภาษาและประสบการณ์
สมัครงานต่อที่ไหนก็ง่ายอีกด้วย
พยายามตั้งใจเรียนเพื่ออนาคตข้างหน้าดีกว่าค่ะๆ
http://www.hanban.org/
ตอนนี้ก็เรียนอยู่ที่ South China University of Technology ของกว่างโจว จีน
คิดว่าสำคัญที่สุดคือเรียงความครับ ตอนเขียนไปอ่ะ ก็เขียนยอๆ ประเทศเขาไป (แต่ต้องอยู่ในความเป็นจริงนะ) แล้วก็เขียนไปแนวๆว่าหลังจากนี้แล้ว จะใช้ภาษาที่เรียนมาให้เป็นประโยชน์ต่อทั้งประเทศเขาและประเทศเราเพื่อสัมพันธไมตรีที่ดี และเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย แล้วก็ศึกษาข้อมูลประเทศเขา เหมือนกับว่าเรารู้ว่าประเทศเขาดียังไง และเราจะใช้ประโยชน์แก่เขาแก่เรายังไง
เช่น ภาษาจีน เป็นหนึ่งในภาษาสำคัญของโลก เราจะนำประโยชน์ให้เขาคือเมื่อต่างชาติเข้ามาประเทศเขาจะกว้างขวางขึ้นในหลายๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ และก็ส่งผลดีเป็นสารพัดประโยชน์นำมาใช้ได้หลายด้านแก่ประเทศไทยเช่นกันเช่น สามารถนำไปประกอบอาชีพได้เช่น นักแปล มัคคุเทศก์ ครูสอนภาษาจีน จนไปถึงอาชีพใหญ่เช่น ฑูต เป็นต้น
และสุดท้ายวันประกาศทุนก็มีชื่อเราด้วย
แต่เด็กไทยได้ทุนนี้เยอะมากเลยครับ
ขอบคุณค่ะ จะมองๆไว้
ขอบคุณครับ.............
สำหรับคำแนะนำ
สมัครไปกลัวม่องตอนสัมภาษณ์
อ่านเขียนโอเค แต่ฟังกะพูดม่องอย่างแรง
มีวิธีช่วยไหมเอ๋ย?