วันก่อน พี่เป้ ได้ดูรายการทางช่องเคเบิลของเกาหลีรายการหนึ่ง จริงๆ ก็ฉาย
นานมากแล้วแต่เพิ่งมีโอกาสได้ดู (อิอิ) นำเสนอในชื่อตอนว่า 엄마뇌 속에 아이가 있다
หรือแปลเป็นไทยได้ว่า "ในสมองของแม่ มีลูกอยู่ข้างใน" เอ๊ะ ยังไงนะ??
คือรายการนี้เค้านำเสนอเกี่ยวกับ "แม่" แต่เป็นในเชิงวิทยาศาสตร์ค่ะ เช่น
ทำการทดลองความรู้สึกของแม่ด้วยวิธีการต่างๆ จนมาถึงพาร์ทหนึ่งที่ดูแล้ว
ชอบมาก เลยอยากนำมาฝากน้องๆ กัน
คือเค้าเปรียบเทียบวิธีการเลี้ยงลูกของแม่ 2 ชาติ คือ เกาหลี VS อังกฤษ โดยให้
แม่เกาหลีเป็นตัวแทนของผู้เป็นแม่ในโลกตะวันออก และแม่อังกฤษเป็นตัวแทน
ของผู้เป็นแม่ในโลกตะวันตก น้องๆ ลองมาดูดีกว่า แม่ทั้ง 2 ชาติเลี้ยงลูกต่างกัน
มั้ย? และอะไรเป็นสาเหตุทำให้เป็นแบบนั้น? รับรองมีคำตอบดีๆ รออยู่
รายการเริ่มต้นด้วยสองสถานที่ คือเกาหลีใต้และอังกฤษ
**มีหลายคนบอกว่าเจ้าขวดนี้เหมือนนมเดลิเวอรี่มาส่งที่หน้าบ้านมากกว่า**
เป็นยังไงบ้างคะ? ดูแล้วรู้สึกยังไงกันบ้าง? น้องๆ บางคนอาจจะเคยรู้สึกว่า
"เอ๊ะ แม่จะอะไรกับหนูนักหนา จะมายุ่งนั่นนี่ทำไม"
นั่นก็เพราะว่า สมองของคุณแม่เราตอบสนองต่อเรื่องของคนอื่นมากกว่านั่นเอง
...... แล้วคุณแม่ของน้องๆ ล่ะเลี้ยงลูกแบบคนโลกตะวันออกหรือโลกตะวันตก?
แต่เชือเถอะว่า ไม่ว่าท่านจะเลี้ยงเรามาแบบไหน ก็มีความรักเป็นพื้นฐานแน่นอน ^^
ข้อมูลประกอบ : รายการ EBS DOCUPRIME
80 ความคิดเห็น
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 15 สิงหาคม 2555 / 10:27
แต่เอาเข้าจริงอาจกลายเป็นแบบเกาหลี 555
แม่ตัวเองก็ป้อนข้าวกะมัดผมให้เหมือนกันตอนเด็กๆ ส่วนตัวเองนั่งดูเจ้าขุนทองรอรถโรงเรียนมารับ
สรุปแล้วการเลี้ยงลูกแบบตะวันตกก็ดีค่ะ ทำใหเด็กรู้จักโตและช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ตอนประเมินสมองของมารดา เราคิดว่าคนตะวันตกเข้าข่ายคนเห็นแก่ตัวนะ คิดแต่เรื่องตัวเองเป็นใหญ่ เหมือนไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ซึ่งสำหรับคนตะวันออกหรือคนเอเชีย เราว่าที่ผลออกมาเป็นแบบนี้เพราะมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากกว่า ถึงแม้บางคนอาจจะเกิดขึ้นเพราะความอิจฉา แต่ก็น่าจะเป็นส่วนน้อย น่าจะเกิดจากจิตใจที่อ่อนโยนมากกว่านะ
แบบเกาหลีก็พอๆกะไทย ลูกแทบจะไม่ต้องทำอะไร
พ่อจะคิดว่าอยากให้เราดูแลตัวเองได้ แต่พอเราจะทำอะไรก็คิดว่า ถ้าเราทำเองก็จะชักช้า ทำได้ไม่ดี หรือผิดพลาด ผลสุดท้ายพ่อก็ทำให้ มันทำให้รู้สึกขาดอิสระ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรพ่อจะคิดให้หมด แค่จะใส่เสื้อสีอะไร พ่อยังเลือกให้เลย
แต่โชคดีที่แม่กลัวลูกจะเป็นง้อยไปซะก่อน จึงให้หัดซักผ้าล้างจานและทำกับข้าวง่าย ๆ ฯลฯ ในช่วงที่พ่อไม่อยู่ และหัดทำโน้นทำนี่เรื่อยมา
ช่วงหัดใหม่ ๆ พ่อจะไม่ตำหนิอะไรเลย แต่จะบงการว่าเราต้องทำอะไร และถ้าทำไม่ได้ดี ก็ไม่ต้องทำพ่อทำเอง แต่แม่จะคอยตำหนิข้อบกพร่อง และให้เราแก้ไขไม่ถึงกับปล่อยให้ลูกทำเองเหมือนแม่ชาวอังกฤษซะทีเดียว แต่จะปล่อยให้ทำเองก่อน ถ้าผิดจะชี้ข้อบกพร่องให้เราแก้ไข
พอเวลาผ่านไปทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น จะเห็นว่าพ่อไม่เข้ามายุ่งกับเราอีก นั่นเพราะพ่อคิดว่าเราไม่มีปัญญาพอจะทำเองได้ แต่เมื่อเราพิสูจน์ว่าเราทำได้ และทำได้ดี พ่อจะวางใจ นั่นคือช่วงเวลาที่เราเป็นอิสระหลุดจากคำบงการ สิ่งที่พ่ออยากเห็นคือลูกอุแว้ออกมาก็เก่งมาแต่เกิด ช่วยเหลือตัวเองได้ดี โดยไม่ต้องหัด รู้รับผิดชอบ รู้หน้าที่โดยไม่ต้องบอก แต่พ่อคงลืมไป
ไม่มีใครเก่งมาแต่เกิด ถ้าไม่สอน ไม่ปล่อยให้เรียนรู้เอง ก็ไม่มีวันรู้หรอก
ใครที่ยังทำอะไรไม่เป็นก็หัด ๆ ซะ เพราะถ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะซึ้ง ว่าชีวิตมันเป็นยังไง อย่าให้ใครเขาว่าเราได้ว่า โตแต่ตัว แต่มีวุฒิภาวะต่ำ
ปล.แต่ไม่ว่าจะเลี้ยงแบบไหนก็ขอให้โตขึ้นมาเป็นเด็กดีและลูกที่ดีของพ่อแม่ละกันครับ^^
การเลี้ยงลูกแบบตะวันตกก็ดีตรงที่ฝึกให้ลูกได้เป็นตัวของตัวเองและมีความกล้าแสดงออกมากกว่าคนตะวันออก
แต่ข้อเสียคือ ลูกโตมาก็คงจะเห็นแก่ตัว เพราะคิดถึงแต่ตัวเองเป็นหลัก ความอบอุ่นห่วงใยเอื้อาทรกันระหว่างคนในครอบครัวก็คงไม่มีมากเหมือนโลกตะวันออกหรอก (สังเกตได้จากคนตะวันตกพออายุมากขึ้นก็มักจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว เพราะลูกก็ถือว่าฉันช่วยตัวเองมาตั้งแต่เล็ก) ในขณะที่ฝั่งตะวันออกก็มักจะมีความเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันแฝงอยู่ด้วย
สรุปคือ การเลี้ยงแบบตะวันตกมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียนั่นแหละ
เราว่าเลี้ยงแบบเอเชียมันใกล้ชิดกันอบอุ่นดี แต่อย่าประคบประหงมมากไป สอนเด็กให้หัดทำอะไรบ้างตั้งแต่เล็ก แล้วก็ให้อิสระภาพกับบ้างอย่าคิดแทนเสียหมด รู้มั้ยว่ามันทำให้เด็กบางคนขาดความภูมิใจในตัวเองนะ... ;_;