สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com  พี่พิซซ่า  เชื่อว่าน้องๆ หลายคนคงเคยได้ยินชื่อการทดสอบภาษาอังกฤษที่เรียกว่า TOEIC กันมาบ้างแล้วนะคะ โดย TOEIC หรือ The Test of English for International Communication กล่าวกันว่าเป็นการทดสอบทางภาษาอังกฤษที่ง่ายที่สุดในบรรดาการทดสอบภาษาอังกฤษทั้งหมด

     นอกจากนี้ในการสมัครชิงทุนการศึกษาหลายๆ ทุน
บางทุนอนุโลมให้ยื่นคะแนน TOEIC แทนคะแนน TOEFL หรือ IELTS ได้ด้วย!! หวานหมูขนาดนี้ มีเหรอที่จะไม่เลือกสอบ เพราะนอกจากจะง่ายกว่าและถูกกว่าการสอบ TOEFL และ IELTS เยอะแล้ว หลายคนตัดสินใจสอบเพื่อเป็นการทดลองว่าตัวเองมีความพร้อมในการสอบ TOEFL และ
IELTS มากน้อยเพียงใด

       เพราะฉะนั้นวันนี้ 
พี่พิซซ่า จะมาอธิบายให้ฟังว่า TOEIC คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร และเคล็ดลับในการทำข้อสอบมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ



     

1. คนได้คะแนนเยอะไม่ค่อยได้ใช้ คนต้องใช้ได้คะแนนไม่ค่อยเยอะ


       


       TOEIC เป็นการวัดระดับภาษาอังกฤษในการทำงาน ดังนั้นคนที่จำเป็นต้องนำไปใช้จริงๆ จึงมักเป็นวัยทำงาน บางบริษัทอาจส่งพนักงานที่ทำงานมานานแล้วให้ไปสอบเพื่อดูว่าเหมาะสมจะได้เลื่อนตำแหน่งไหม ซึ่งประชากรวัยทำงานในปัจจุบันส่วนมากคงไม่สามารถสู้รบกับเด็กรุ่นใหม่ในเรื่องภาษาอังกฤษได้ ดังนั้นผู้ที่ได้คะแนนสูงส่วนมากจึงเป็นนิสิตนักศึกษาที่อาจมาลองสนาม หรือสอบเก็บไว้เฉยๆ โดยยังไม่คิดจะสมัครงาน บางบริษัทใหญ่ๆ ว่ากันว่าถ้า TOEIC เกิน 800 ได้งานชัวร์ (อันนี้เขาลือกันมาเยอะ แต่จะจริงหรือไม่ไม่รู้ เพราะคนส่วนมากที่สอบได้ขนาดนั้นมักเลือกไปเรียนต่อโทต่างประเทศนานซะจนคะแนนหมดอายุแทน)


     
2. ขั้นตอนง่าย ๆ ตั้งแต่สมัครจนรับผล





       หลายคนบ่นว่ากว่าจะสมัครสอบ TOEFL ทีมันช่างยากแสนยาก ต้องกรอกข้อมูลลงเว็บมากมาย ไหนจะต้องรูดบัตรจ่ายค่าธรรมเนียม ไหนจะต้องหาสนามสอบที่บางที่ก็ไกลแสนไกล ส่วนที่เดินทางสะดวกก็มักจะเต็ม หรือไม่เปิดให้สอบบ่อยๆ ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นกับ TOEIC แน่นอน น้องๆ เพียงแค่โทรไปที่ 02-260-7061 หรือ 02-259-3990 สำหรับศูนย์สอบกรุงเทพ หรือ 053-248-208 สำหรับศูนย์สอบเชียงใหม่ แล้วแจ้งชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประชาชน วันเกิด เบอร์โทรศัพท์ พร้อมทั้งวันและรอบที่ต้องการสอบ (เช้า-บ่าย) แล้ววางหู ทีนี้ก็รอวันที่ต้องไปสอบ หลักฐานที่ใช้มีเพียงบัตรประชาชนและเงินสด 1,500 บาทเป็นค่าสอบ วันรุ่งขึ้นก็มารับผลได้เลย รวดเร็วกว่าอาจารย์ตรวจการบ้านให้เยอะ 


       ส่วนสถานที่สอบของศูนย์กรุงเทพนั้น เดินทางสะดวกแม้ไม่มีรถส่วนตัว เดินเพียง 10 นาทีจากบีทีเอสอโศก หรือเอ็มอาร์ทีสุขุมวิท อยู่ข้างตึก GRAMMY เลยค่ะ จะเล็งศิลปินก่อนสอบ หรือสอบแล้วค่อยมาแอบมองก็ได้ (ถ้าพี่ยามอนุญาต)

     

3. ใส่ความรู้มาให้เต็มสมองแต่อย่าใส่ทองมาในกระเป๋า




        ทางศูนย์สอบมีนโยบายห้ามนำอะไรก็ตามเข้าห้องสอบ ดินสอ ปากกา ยางลบมีให้ทุกที่นั่งอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะสามารถนำของมีค่า (หมายถึงเงินและบัตรเท่านั้น ไม่ใช่โทรศัพท์) เข้าไปได้ แต่กระเป๋าสตางค์ของน้องผู้หญิงบางคนมันดูอลังการงานสร้างใหญ่โตและมีซอกหลืบมากมายซึ่งเขาอาจไม่อนุญาตให้น้องนำเข้าไปก็ได้ ส่วนที่วางกระเป๋าและสิ่งของต่างๆ นั้น ก็ไม่ได้เก็บไว้หลังห้องสอบหรือใต้โต๊ะ แต่จะเก็บไว้ที่ชั้นวางของที่สำนักงาน ซึ่งก็คือคนละห้องกับห้องสอบ และไม่ได้มีบัตรฝากกระเป๋าใดๆ ด้วย ถ้าใครกลัวว่าจะมัวแต่นั่งกังวลตอนสอบว่าของที่ฝากไว้อีกห้องจะหายไป ก็ไม่ควรนำของมีค่ามา น้องผู้หญิงก็อาจเปลี่ยนกระเป๋าสตางค์เป็นใบเล็กๆ ธรรมดาๆ ซักหนึ่งวัน กระเป๋าใส่ของก็เอาแบบธรรมดามาไม่ต้องมียี่ห้อ มือถือก็ซุกในกระเป๋าที่ฝากไว้ให้ดี ซ่อนลึกๆ แต่ทางที่ดีคืออย่าทำให้ตัวเองตกเป็นเป้าของมิจฉาชีพค่ะ

     

4. มั่วยังไงก็ไม่ศูนย์




        สอบบางวิชาแถให้ตายอาจารย์ก็ไม่ยอมให้ค่าน้ำหมึก แต่ที่นี่น้องๆ จะไม่มีทางได้ศูนย์คะแนนแน่นอน ข้อสอบทั้งส่วนการฟังและการอ่านมีส่วนละ 100 ข้อ แต่จะมีช่วงคะแนนอยู่ที่ส่วนละ 5 – 495 คะแนน ฉะนั้นคะแนนสเกลต่ำสุดของการสอบคือ 10 คะแนน และคะแนนเต็มคือ 990 คะแนน นั่นเพราะคะแนนในการสอบไม่ใช่แบบที่ใช้กันในห้องเรียนที่มี 30 ข้อ ทำถูก 19 ข้อ สุดท้ายได้สิบเก้าเต็มสามสิบ แต่ข้อสอบ TOEIC จะให้คะแนนที่ซับซ้อนกว่านั้น ข้อสอบในแต่ละรอบจะไม่ซ้ำกันเลย ทำให้แม้จะพยายามออกข้อสอบโดยคุมความยากง่ายให้คงที่แค่ไหน ก็มีโอกาสที่แต่ละชุดข้อสอบจะยากง่ายไม่เท่ากัน ดังนั้นเมื่อได้คะแนนดิบออกมาแล้ว เจ้าหน้าที่จะใช้ข้อมูลทางสถิติมาช่วยเทียบหาคะแนนสเกลที่ควรได้อีกที ไม่ใช่ว่าเทียบบัญญัติไตรยางศ์เอานะคะ แต่คะแนนสเกลจาก 10 ถึง 990 เนี่ย จะมาจากการนำคะแนนดิบไปเทียบกับข้อมูลทางสถิติของแต่ละรอบที่สอบ ทำให้ข้อสอบแต่ละชุด มีการให้คะแนนสเกลที่ไม่เหมือนกัน เพราะข้อสอบมันยากง่ายไม่เท่ากันนั่นเอง


        สมมติว่าน้องชมพู่สอบรอบจันทร์เช้าได้ 985 คะแนน เพราะตอบในส่วนการฟังผิดไปหนึ่งข้อ น้องชมพู่จึงลองสอบอีกครั้งในวันพุธบ่ายแต่กลับได้ 990 คะแนนเต็ม ทั้งที่ตอบผิดไปหนึ่งข้อเหมือนกัน นั่นคือชุดข้อสอบรอบวันจันทร์เช้ากับรอบวันพุธบ่ายเป็นคนละชุดกัน และมีความยากง่ายไม่เหมือนกัน ดังนั้นแม้คะแนนดิบของน้องชมพู่จะเป็น 199 คะแนนเหมือนกัน แต่เมื่อใช้ตารางเทียบเป็นคะแนนสเกลคนละตารางกันแล้ว ทำให้น้องชมพู่ได้คะแนนสเกลที่ออกมาไม่เท่ากัน (แต่ตารางจริงมันไม่เฉือนกันขนาดนี้นะ แค่ยกตัวอย่างให้พอเห็นภาพ)

     ซึ่งการเปลี่ยนคะแนนดิบเป็นคะแนนสเกลของแต่ละชุดข้อสอบจะเป็นความลับ ไม่มีเปิดเผยว่าถูกกี่ข้อคิดเป็นกี่คะแนนสเกล เพราะข้อสอบ TOEIC หลายชุดจะเวียนไปโผล่สอบในหลายประเทศต่างวาระกัน จึงไม่มีการเผยแพร่การคิดเป็นคะแนนสเกลของข้อสอบชุดนั้นๆ ค่ะ

     
5. สภาพแวดล้อมนั้นสำคัญไฉน



       จากข้อ 4. จะเห็นได้ว่าการให้คะแนนเช่นนี้เกิดจากความต้องการให้ผู้เข้าสอบทุกคนอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันอย่างแท้จริง ทำให้เรารู้ว่าสภาพแวดล้อมมีผลต่อการสอบมาก พี่สอบ TOEIC ไปสองครั้ง ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันสุดขั้ว ครั้งแรกมีผู้เข้าสอบประมาณ 20 คน จึงได้ห้องสอบเล็กๆ นั่งกันโต๊ะละคน มีพื้นที่กว้าง แอร์เย็นสบาย เสียงลำโพงก็เปิดพอประมาณแต่ได้ยินชัดทั้งห้อง ส่วนครั้งที่สองมีผู้เข้าสอบเกิน 60 คนได้ ห้องใหญ่ แอร์ไม่ทั่วถึง บางจุดหนาว บางจุดร้อน และเปิดลำโพงดังจนเสียงแตกฟังไม่ชัด และที่แย่ที่สุดคือโต๊ะหนึ่งตัวต่อผู้เข้าสอบสองคน คนข้างๆ พี่เป็นใครก็ไม่รู้ นั่งเขย่าขาตลอดเวลาและเวลาลบก็ชอบถูยางลบแรงๆ จนโต๊ะสั่นทำเอาเสียสมาธิไปเยอะ แต่สุดท้ายคะแนนทั้งสองรอบของพี่ต่างกันแค่ห้าคะแนนเอง แสดงว่าสภาพแวดล้อมนั้นกวนใจคนทั้งห้องในระดับที่พอๆ กันค่ะ

     
6. เคล็ดลับทำข้อสอบสำหรับคนไม่ค่อยมีเวลาเตรียมตัว



        ในส่วนของไวยากรณ์ที่ออกสอบนั้น ก็สามารถออกได้ทุกอย่างที่มีในหนังสือรวมไวยากรณ์ทั่วไป ไม่สามารถแนะนำได้ค่ะ แต่ที่น้องๆ สามารถเตรียมตัวไปได้ก็คือคำศัพท์ และบทความในส่วนการอ่านค่ะ คำศัพท์ที่ออกจะวนอยู่กับข้าวของเครื่องใช้ในสำนักงาน แล้วก็กริยาประเภทขอยืม ส่งซ่อม ประชุม ลาป่วย ไล่ออก ไม่ต้องเตรียมศัพท์หรูๆ ไปให้เปลืองหน่วยความจำสมอง บทความก็จะเป็นพวกป้ายประกาศรับสมัครงาน จัดซื้อจัดจ้าง ประกาศอบรม สัมมนาบุคลากร งานลดแลกแจกแถม งานฉลองผลประกอบการ จดหมายจากผู้บริโภค และอาจมีอีเมล์โต้ตอบทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน นอกจากนี้น้องๆ ก็ควรรู้จักตำแหน่งงานตามโครงสร้างบริษัททั่วไป และชื่อตำแหน่งเต็มของตัวย่อหลายตัวที่เรียกกันจดติดปาก ทั้ง HR, AE และ PR เป็นต้น เอาเป็นว่าปลอมตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสารตามบริษัทนานาชาติเพื่อเก็บข้อมูล หรือลองเข้าเว็บไซต์หางานที่เป็นภาษาอังกฤษแล้วอ่านเรื่อยๆ เมื่อมีเวลาว่าง ก็ได้อะไรกลับมามากเหมือนกันนะคะ

     
7. มีส่วนลดในการเข้าสอบ ถ้ารู้แหล่ง



       บางบริษัทจะเหมารอบสอบและออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด บางบริษัทให้นำไปเบิกได้ และก็มีอีกหลายบริษัทที่ให้เป็นบัตรลดราคารายบุคคลคล้าย Gift Voucher ที่ผู้เข้าสอบสามารถนำมายื่นในวันสอบเพื่อรับส่วนลดได้ทันที ครั้งแรกที่สอบพี่ยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่ก่อนสอบครั้งที่สองที่มหาวิทยาลัยพี่มีกิจกรรม Job Fair ซึ่งหลายบริษัทที่เข้าร่วมก็จัดโปรโมชั่นเช่น กรอกใบสมัครทิ้งไว้เพื่อรับบัตรกำนัลสอบในราคา 750 บาท หรือ 850 บาท  แต่ศูนย์สอบจะส่งผลคะแนนให้บริษัทนั้นโดยตรง โดยที่พี่ไม่ต้องยื่นใบสมัครอีกรอบ (เป็นบริษัทที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ)

       ส่วนในวันสอบจริงพี่เห็นคุณลุงจากบริษัทสายการบินแห่งหนึ่งเสียค่าสอบเพียง
250 บาท และคุณแม่ลูกหนึ่งที่เสีย 400 บาท (ส่วนคุณลูกจ่ายเต็มจำนวน) แม้น้องๆ อาจไม่ได้ส่วนลดเยอะเท่าพนักงานจริงๆ แต่ก็ยังได้ส่วนลดกว่าครึ่งเพียงแค่กรอกข้อมูลสมัครออนไลน์เฉยๆ 


     
8. ทำยังไงดี สอบใหม่ดันได้คะแนนน้อยกว่าเดิม



        ข้อนี้ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เราสามารถยื่นคะแนนของการสอบครั้งใดก็ได้ในการสมัครเรียนหรือสมัครงานได้ เพียงแค่ผลสอบนั้นอายุไม่เกินสองปี  เพื่อนพี่คนหนึ่งยื่นผลคะแนนพร้อมกันทั้งสองใบตอนสมัครงาน เพราะรอบแรกเธอได้การฟังเต็ม แต่รอบที่สองเธอได้การอ่านเต็ม คะแนนรวมออกมาเท่ากันเป๊ะทั้งสองรอบ เมื่อตัดสินใจไม่ได้ว่าจะยื่นใบไหน เธอเลยยื่นพร้อมกันซะเลย (แต่สุดท้ายเธอก็ปฏิเสธงาน และบินไปเรียนต่อแทน)

     
9. ข้อสอบแสนดี มีแนะแนวด้วย



        หลังจากเซ็งหรือเป็นปลื้มไปกับคะแนนที่ได้แล้ว น้องๆ อย่าลืมพลิกไปด้านหลังใบคะแนนเพื่อดูคำติชมของระดับคะแนนที่น้องๆ ได้ด้วยนะคะ โดยคำอธิบายจะแบ่งเป็นสองส่วนเหมือนกับข้อสอบเลย เช่นคนที่ได้คะแนนส่วนการฟังเท่านี้ แสดงว่าสื่อสารตัวต่อตัวได้ดีราวกับเจ้าของภาษา แต่ถ้าคะแนนเท่านั้นแสดงว่าพูดคุยเรื่องที่สนใจเก่งมาก แต่ถ้าเป็นหัวข้ออื่นๆ จะไม่ค่อยดี ต้องพยายามอีกนิด หรือคนที่ได้คะแนนส่วนการอ่านเท่านี้ แสดงว่าอ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องกับที่เรียนมาได้ดีมาก แต่จะพลาดเวลาอ่านเรื่องแปลกๆ เป็นต้น เรียกได้ว่าช่วยพัฒนาตนเองด้านภาษาอังกฤษเยอะเลยทีเดียวค่ะ




        เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ 9 เรื่องน่ารู้ของ TOEIC ที่ พี่พิซซ่า นำมาฝากวันนี้ พี่เชื่อว่าน้องหลายคนทั้งที่อยากทำงานทันทีหลังเรียนจบ และที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศก็คงอยากจะลองสอบดูสักครั้ง สุดท้ายนี้พี่ก็ขอให้น้องๆ ได้คะแนน 900 up กันทุกคนเลยนะคะ

        ส่วนใครอยากอ่านบทความดีๆ เคล็ดลับการไปเรียนต่อนอก อย่าลืมแวะเวียนเข้าไปเจอกันได้ที่คอลัมน์เรียนต่อนอกที่ www.dek-d.com/studyabroad นะคะ


ภาพประกอบ:        

                   www.ets.org, http://www.frontrunner2020.com/,http://blog.blingborrowers.com/
                   http://lifeinsurancebyjeff.com/,http://blogs.telegraph.co.uk/
                   http://www.thewordsworthhotel.co.uk/,http://blog.lib.umn.edu/,http://www.toeic-phil.com/

พี่พิซซ่า
พี่พิซซ่า - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายเรียนต่อนอก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด
คิขัวเลิฟ (kikukikulove) Member 10 ต.ค. 55 12:34 น. 10
ตอบ คห. 8 คะแนนอยู่ได้สองปีค่ะ สมัครสอบและเข้าสอบได้ทุกวันจันทร์-เสาร์ วันนึงมีสอบสองรอบเช้าและบ่าย ถ้าสอบช่วงเช้าวันธรรมดา walk-in ไปสมัครแล้วเข้าสอบเลยก็ได้ แต่ถ้าเป็นช่วงบ่าย / วันเสาร์แนะนำให้โทรไปจองก่อน (ถ้าจองแล้วไม่ไปสอบ ครั้งต่อไปที่ไปสอบต้องเสียเพิ่ม 500) อายุเท่าไรก็สอบได้ค่ะ ตอนที่เราไปสอบเจอเด็กประมาณม.ต้นก็ไปสอบ(เทพมาก - -) ใช้ยื่นต่างประเทศได้ "บาง" แห่งเท่านั้นค่ะ เพราะส่วนใหญ่จะรีไควร์ TOEFL IELTS มากกว่า เอาจริงๆแล้วถ้าต้องการสมัครเพื่อยื่นทุนอะไร คะแนนโทเฟลไอเอลจะดูมีเครดิตมากกว่าโทอิก เพราะโทอิกจะง่ายกว่า(มากๆ) แต่ผู้ใหญ่ แอร์ สจ๊วต จะเน้นสอบใช้เพื่อทำงานน่ะค่ะ
0
กำลังโหลด
ชินจัง 9 ต.ค. 55 10:59 น. 7
เดี๋ยวนี้คนนิยมสอบ TOEIC มากขึ้นอาจจะเป็นเพราะอีกไม่กี่ปีก็จะเป็น AEC แล้วทำให้คนทำงาน หรือ คนใกล้จะจบปริญญาตรี ถึงมาสอบ TOEIC เก็บไว้เดี๋ยวนี้บ้างมหาลัยยังต้องใช้คะแนน TOEIC ในการยื่นจบได้ ส่วนเรื่องบัตรส่วนลดค่าสอบ หากคนไหนสนใจลองโทรไปสอบถามที่สถาบันติว TOEIC PornpanAcademy http://www.pornpanacademy.com/TOEIC สถาบันนี้มีมอบส่วนลดค่าสอบ ส่วนอาจารย์ก็คะแนน TOEIC เต็ม 990 คะแนน
0
กำลังโหลด

44 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
Agonya Member 8 ต.ค. 55 12:15 น. 3
อ่านแล้วชอบมากเลยค่ะ เพิ่งรู้ว่าเป็นการวัดผลสอบแบบอิงกลุ่มด้วย งั้นถ้าเราได้คะแนนมามากก็ไม่ได้หมายความว่าเราเก่งมาก แต่เพราะคนอื่นตอบได้น้อยหรือคะ แอบลำพองใจที่ตัวเองได้คะแนนมาก แต่เห็นอย่างนี้แล้วฟีบเลย 555
0
กำลังโหลด
pnutzbutter 8 ต.ค. 55 12:45 น. 4
แนะนำสำหรับเพื่อนๆที่เรียน Toeic เราซื้อดีลคูปองที่ Ensogo เรียนที่สถาบัน iFast เดอะมอลล์งามวงศ์วาน สอนโดน ดร.วาทิน อาจารย์สอนดีมาก ทั้งคำศัพท์ สำเนียงการออกเสียง แนะนำเลย ใครอยากเรียนToeic
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
ชินจัง 9 ต.ค. 55 10:59 น. 7
เดี๋ยวนี้คนนิยมสอบ TOEIC มากขึ้นอาจจะเป็นเพราะอีกไม่กี่ปีก็จะเป็น AEC แล้วทำให้คนทำงาน หรือ คนใกล้จะจบปริญญาตรี ถึงมาสอบ TOEIC เก็บไว้เดี๋ยวนี้บ้างมหาลัยยังต้องใช้คะแนน TOEIC ในการยื่นจบได้ ส่วนเรื่องบัตรส่วนลดค่าสอบ หากคนไหนสนใจลองโทรไปสอบถามที่สถาบันติว TOEIC PornpanAcademy http://www.pornpanacademy.com/TOEIC สถาบันนี้มีมอบส่วนลดค่าสอบ ส่วนอาจารย์ก็คะแนน TOEIC เต็ม 990 คะแนน
0
กำลังโหลด
v-nat Member 9 ต.ค. 55 12:51 น. 8
คะแนนนี้อยู่ได้นานเท่าไหร่เหรอคะ แล้วเค้าจะเปิดรับสมัครสอบช่วงไหนอ่าคะ?
ถ้าอยู่ ม.6 แล้วสอบ แล้วจะใช่คะแนนนี้ในการยื่นเข้าศึกษาต่อที่ต่างประเทศได้มั้ยคะ ?
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
คิขัวเลิฟ (kikukikulove) Member 10 ต.ค. 55 12:34 น. 10
ตอบ คห. 8 คะแนนอยู่ได้สองปีค่ะ สมัครสอบและเข้าสอบได้ทุกวันจันทร์-เสาร์ วันนึงมีสอบสองรอบเช้าและบ่าย ถ้าสอบช่วงเช้าวันธรรมดา walk-in ไปสมัครแล้วเข้าสอบเลยก็ได้ แต่ถ้าเป็นช่วงบ่าย / วันเสาร์แนะนำให้โทรไปจองก่อน (ถ้าจองแล้วไม่ไปสอบ ครั้งต่อไปที่ไปสอบต้องเสียเพิ่ม 500) อายุเท่าไรก็สอบได้ค่ะ ตอนที่เราไปสอบเจอเด็กประมาณม.ต้นก็ไปสอบ(เทพมาก - -) ใช้ยื่นต่างประเทศได้ "บาง" แห่งเท่านั้นค่ะ เพราะส่วนใหญ่จะรีไควร์ TOEFL IELTS มากกว่า เอาจริงๆแล้วถ้าต้องการสมัครเพื่อยื่นทุนอะไร คะแนนโทเฟลไอเอลจะดูมีเครดิตมากกว่าโทอิก เพราะโทอิกจะง่ายกว่า(มากๆ) แต่ผู้ใหญ่ แอร์ สจ๊วต จะเน้นสอบใช้เพื่อทำงานน่ะค่ะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
PiZZaPeaCH Member 11 ต.ค. 55 15:41 น. 13
จัดสอบทุกวันจันทร์-เสาร์ตลอดทั้งปี ยกเว้นวันหยุดราชการค่ะ แต่ละวันมีสองรอบ รอบเช้าและบ่าย สอบได้เรื่อยๆ ทั้งปีค่ะ แต่ควรเว้นระยะการสอบแต่ละครั้งอย่างน้อย 2 สัปดาห์
0
กำลังโหลด
pnutzbutter 12 ต.ค. 55 11:52 น. 14
iFAST is an institute that focuses on the teaching and development of the English Language. It was founded in 2003 by Dr.Vatin Chalermdamrichai (Ph.D. University of Wisconsin-Madison, USA) Several highly qualified full-time instructors including both native speakers from the United States and the United Kingdom are available during regular working hours for both teaching and consultation. Whether you want to use English in your everyday life, use it to propel your career forward, or use it to pass the tests, they can definitely help you achieve your goal. 02-550-0921-2 Themall Ngamwongwan or 02-658-1824 Siam or www.ifast.ac.th
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Richard De Batrolenzia Member 12 ต.ค. 55 14:44 น. 16
น่าสนใจมากเลยครับ ^^ เพิ่งรู้ว่ามีการสอบแบบนี้ด้วย ถ้าได้คะแนนตรงนี้ดี นอกจากเกรดแล้ว ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องงานสินะ 5555+ 
0
กำลังโหลด
pulom 12 ต.ค. 55 15:54 น. 17
เป็นความรู้ที่น่าสนใจมากเลยค่ะ..แล้วจะเอาไปเล่าให้หลานฟังนะคะเผื่อเค้าอยากจะลองทดสอบดูบ้าง
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
^>>_ [G]ames [G]angster _<<^ Member 14 ต.ค. 55 00:41 น. 19
แนะนำให้สอบนะครับ สำหรับใครที่อยากวัดภาษาอังกฤษตัวเอง
น้องๆ ม.ปลายน่าลองมากๆ เพราะจะได้พัฒนาตัวเองได้ทันอยู่
คำแนะนำ คือ ระวังทำไม่ทันนะ เจอมาแล้วกับตัว ฮ่าๆ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด