Work&Travel สัมภาษณ์งานกับนายจ้างยังไงให้ผ่าน

   สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ช่วงนี้มีน้องๆ ที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อยกำลังมองหาโครงการ Work&Travel  บางคนก็หาโครงการได้แล้วและรอการสัมภาษณ์งานจากนายจ้าง และถามกันเข้ามาเยอะมากว่า “นายจ้างจะถามอะไรบ้าง” และ “กลัวสัมภาษณ์งานไม่ผ่าน ทำไงดี” วันนี้ พี่พิซซ่า เลยจะมาไขข้อข้องใจให้น้องๆ หายกลัวการสัมภาษณ์งานกัน รับรองว่าไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิดค่ะ



เตรียมตัวให้พร้อมรับภาษาอังกฤษ

"การฟังเป็นทักษะที่สำคัญที่สุด"

 
รองลงมาคือการพูด เพราะส่วนใหญ่นายจ้างจะถามเรามากกว่า ถ้าไม่รู้ว่าเขาถามอะไรมา น้องจะตอบไม่ได้ ฉะนั้นต้องรีบฝึกทักษะการฟังแต่เนิ่นๆ ค่ะ

   นายจ้างอาจไม่ได้พูดอังกฤษสำเนียงน่าฟังแบบในเทปที่เปิดในห้องเรียน และอาจไม่ได้พูดช้าๆ ชัดๆ เหมือนอาจารย์ฝรั่งของเราด้วย นายจ้างมีทั้งสำเนียงอินเดีย สำเนียงสเปน หรือสำเนียงแร็พโย่ แค่อเมริกาฝั่งเหนือกับฝั่งใต้ก็ใช้สำเนียงต่างกันแล้ว ถ้าน้องคุ้นแค่สำเนียงสวยๆ แบบในเทป ก็คงจะไม่เพียงพอแล้วล่ะค่ะ ดังนั้นลองฝึกการฟังหลายๆ สำเนียงดูนะคะ




   น้องสามารถฝึกหูตัวเองให้ชินกับหลายๆ สำเนียงด้วยการดูภาพยนตร์ที่มีบทพูดเยอะๆ หรือดูรายการสัมภาษณ์คนดังหลายๆ คน นอกจากนี้น้องต้องสังเกตเรื่องภาษาพูดกับภาษาเขียนด้วยนะคะ เช่น

   ภาษาเขียน I’m going to be there. แต่เวลาพูดมักพูดเป็น I’m gonna be there. ถ้าน้องไม่รู้เรื่องนี้น้องก็จะงงๆ ว่าทำไมไม่มีเคยเห็นคำนี้ในหนังสือเรียนเลย นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องประโยคปฏิเสธค่ะ คนทางใต้หรือเมืองเล็กๆ มักใช้ประโยคปฏิเสธซ้อน เช่น “You can’t go nowhere.” ทีนี้ก็มึนเลยว่าตกลงจะให้จะไปหรือไม่ไป ซึ่งประโยคที่ถูกไวยากรณ์คือ “You can’t go anywhere.” หรือ “You can go nowhere.” แปลว่า “คุณไปไหนไม่ได้” ค่ะ


 


คำถามสุดฮิตของนายจ้าง

1. ให้น้องแนะนำตัว เป็นใคร เรียนอะไร ประมาณนี้

2. งานอดิเรก กิจกรรมยามว่างของน้องมีอะไรบ้าง ชอบอะไรไม่ชอบอะไร

    เช่น ชอบเต้น ชอบแต่งกลอน ชอบเดินป่า

3. สนใจทำงานตำแหน่งใด เพราะอะไร ทำไมถึงคิดว่าตัวเองเหมาะกับตำแหน่งนั้น

    เช่น อยากเป็นเด็กเสิร์ฟ เพราะชอบพูดคุยกับคนเยอะๆ อยากฝึกภาษา แล้วก็เป็นคนใจเย็น สู้งาน

4. ทำไมถึงสนใจทำงานที่นี่

    เช่น จะทำสวนสนุกเพราะได้ยินว่าพนักงานได้เล่นฟรี ทำงานในอุทยานเพราะชอบเที่ยวแบบธรรมชาติ เป็นต้น












 

5. สะดวกเริ่มงานวันไหน และจะสิ้นสุดงานเมื่อไหร่

    วันเริ่มงานไม่ใช่วันที่ขึ้นเครื่องบินนะคะ ถ้าต้องต่อเครื่อง ต่อรถ ต่อเรืออีก ก็อย่าลืมบวกวันเพิ่มด้วยว่าจะพร้อมวันไหน บางทีวันที่ไปถึงที่ทำงานอาจไม่ใช่วันเริ่มงานก็ได้ เพราะต้องมีหาบ้าน เก็บของ หรืออบรมอีก ตรวจสอบให้ดีด้วยค่ะ ส่วนวันสิ้นสุดงานก็อย่าลืมนับด้วยว่าจะเที่ยวต่อกี่วัน ต้องกลับมาให้ทันเมื่อไหร่ เช็คให้ละเอียดนะคะ

6. คิดว่าข้อดีของตัวเองคืออะไร

    บางทีอาจต้องเตรียมไปสองสามข้อ เผื่อเขาถามหลายข้อ หรือเผื่อซ้ำกับคนอื่นแล้วไม่อยากพูดอีก จะได้มีสำรองค่ะ

7. จะถามอะไรไหม

    เมื่อเขาเปิดโอกาสให้ถาม ก็ต้องถาม อย่าอุบอิบ วัฒนธรรมตะวันตกชอบคนที่ถามคำถามค่ะ


   ถ้าน้องตอบข้อแรกๆ ได้อย่างไม่ติดขัด รับรองว่าน้องได้ทำงานแน่ๆ ค่ะ แต่ข้อสุดท้ายนี่แหละที่จะทำให้น้องกลายเป็นเด็กคนที่นายจ้างจำแม่นที่สุด หรือที่เพื่อนๆ จะแซวว่าเป็น “ลูกรัก” ซึ่งข้อดีของการเป็นลูกรักมีมากมาย เช่นถ้ามีตำแหน่งดีๆ เพิ่ม นายจ้างจะถามน้องก่อนเลยว่าสนใจไหม ^^ ถ้าอยู่ในช่วงเทศกาล บรรดาลูกรักมักได้ของขวัญอยู่บ่อยครั้งด้วย

 

ข้อห้ามในการถามนายจ้าง

1. อย่าถามอะไรที่รู้กันอยู่แล้ว

    เช่น ที่ทำงานนี้ตั้งอยู่ในรัฐไหน ทั้งๆ ที่ในใบข้อมูลที่ได้มาแต่แรกก็เขียนไว้อยู่แล้ว


2. อย่าถามคำถามโชว์ภูมิเกินเหตุ

    เช่น คุณคิดว่าผลประกอบการปีหน้าจะเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซนต์


3. อย่าถามคำถามส่วนตัวล้วงลึก ถ้านายจ้างไม่ได้เล่าให้ฟังแต่ต้นอยู่แล้ว

    เช่น คุณมีลูกกี่คน แต่งงานมานานหรือยัง

   
   น้องอาจจะสงสัยแล้วว่า
ตกลงจะให้ถามอะไร ^^ จุดประสงค์ของการถามคือนายจ้างต้องการดูว่าน้องใส่ใจและกระตือรือร้นมากแค่ไหน น้องจึงต้องเซิร์ชข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ทำงานเพิ่มเติมจากใบข้อมูลที่เอเจนซี่จัดให้ค่ะ เช่น

   น้องเข้าเว็บไซต์ของสวนสนุกที่น้องจะไป แล้วเห็นว่าเครื่องเล่นดิ่งพสุธาปิดซ่อมอยู่ น้องสามารถถามนายจ้างได้ว่ามันจะเสร็จทันในช่วงที่น้องไปไหม เพราะชอบเครื่องเล่นแบบนี้มาก อยากไปเล่นที่นั่นนานแล้วเพราะมันสูงติด Top Five ของโลก

   หรือน้องเข้าเว็บไซต์โรงแรมที่จะสมัคร แล้วได้ข้อมูลว่าห้องพักที่นี่ออกแบบมาไม่ให้ซ้ำกันเลยสักห้อง แถมห้องหรูๆ ยังมีชื่อห้องที่สุดแสนจะไฮโซไม่ซ้ำกันอีก น้องก็สามารถถามได้ว่าโดยส่วนตัวแล้วนายจ้างชอบห้องไหนที่สุด แต่ตัวน้องเองชอบห้องนี้เพราะตกแต่งด้วยสีโปรดของน้องแถมยังเป็นสไตล์คันทรี่สุดปลื้มอีกด้วย





   น้องๆ จะเห็นได้ว่าคำถามทั้ง 2 ข้อนั้น เป็นคำถามง่ายๆ เหมือนชวนคุยเรื่องสบายๆ แต่มันจะทำให้นายจ้างทราบได้เลยว่าน้องสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมมาแล้ว แถมน้องยังแสดงความคิดเห็นส่วนตัวไปอีกด้วย เป็นการบอกกลายๆ ว่าน้องก็กล้าแสดงออกนะ และยังเป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง นายจ้างจะเห็นหลายสิ่งหลายอย่างจากการถามคำถามในช่วงนี้ค่ะ

   แต่ถ้าข้อมูลที่น้องได้มาละเอียดสุดๆ ซะจนไม่เหลือช่องว่างอะไรให้ถามได้ น้องก็สามารถถามรายละเอียดของการใช้ชีวิตที่นั่นได้นะคะ เช่น อาหารในโรงอาหารพนักงานส่วนใหญ่เป็นยังไง



 



   แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆ คือสติค่ะ อย่าตื่นเต้น อย่ากลัวจนลนลานนะคะ เพราะนอกจากมันจะยิ่งทำให้น้องฟังไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่แล้ว มันจะทำให้เสียบุคลิกด้วยค่ะ ถ้าสัมภาษณ์พร้อมกันหลายๆ คนแล้วมีคนเก่งสุดยอดในรอบเดียวกับน้องด้วย ก็อย่าท้อแท้ตั้งแต่ต้นนะคะ หลายครั้งเหมือนกันที่นายจ้างไม่เลือกคนที่เป๊ะที่สุด แต่เลือกคนที่พอสื่อสารรู้เรื่องแต่ทัศนคติดีแทน

 

   พี่พิซซ่า เชื่อว่าน้องๆ ชาว Dek-D.com ทุกคนเป็นคนน่ารักและมีความสามารถกันอยู่แล้ว ไม่มีคำถามไหนยากเกินไปสำหรับน้องๆ หรอกค่ะ ^^ ถ้าสัมภาษณ์งานผ่านแล้ว อย่าลืมมาแชร์ประสบการณ์กันด้วยนะคะ



ภาพประกอบ:

http://blog.grantham.edu/,  http://www.healthopi.com/
http://jobinterviewsandtherecruitmentprocess.wordpress.com/
http://smallbusiness.chron.com/, http://nikol-eta.blogspot.com/
http://www.thefluencycoach.com/, http://jobsearching101.org/
shutterstock.com

พี่พิซซ่า
พี่พิซซ่า - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายเรียนต่อนอก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

14 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด