จากนักเรียนแลกเปลี่ยน สู่อาจารย์สอนดนตรี ณ อเมริกา!!

      สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ เช่นเคย... สำหรับประสบการณ์ที่นำมาฝากวันนี้ บอกได้เลยว่ามีประโยชน์มากๆ ค่ะ เพราะเป็นเรื่องของพี่คนนึงที่มีชีวิตผูกพันกับดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ สุดท้ายก็สามารถทำตามความฝันได้ด้วยการเข้าเรียนในวิทยาลัยดนตรีที่ดังมากๆ ระดับโลก ที่หลายๆ คนน่าจะเคยได้ยินชื่อหรือรู้จักแน่นอน!
 
    สวัสดีค่ะ พี่ชื่อ "แวว-ฑิตยา สินุธก" ตอนนี้พี่ทำงานเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ในวิทยาลัย Borough of Manhattan Community College  ที่อเมริกา พี่เพิ่งเรียนจบปริญญาโทจาก New York University ด้านการแต่งละครเพลง (Graduate Musical Theatre Writing Program) 


    ถ้าถามว่าการได้เรียนต่อเมืองนอกเป็นความฝันของพี่มั้ย? ก็ต้องบอกว่ามันเป็นความฝันอย่างหนึ่งของพี่ แต่บางที พี่ว่ามันก็เหมือนดวงพาไปเรื่อยๆ เหมือนกันนะ อย่างพี่เรียนดนตรีมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ พอเข้ามัธยมปลายก็ไปเรียน pre-college ที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม. มหิดล ตอนนั้นพี่ก็คิดว่า คงเรียนที่นั่นจนจบปริญญาตรีแล้วก็คงมาต่อโทต่างประเทศ


    แต่ตอนพี่อยู่ม.5 พี่สอบนักเรียนแลกเปลี่ยนติด แผนก็เลยเปลี่ยน กลายเป็นพี่มาเรียนต่อม.6 ที่อเมริกา(รัฐมิชิแกน) แต่
เพราะหลักสูตรมันไม่น่าจะโอนหน่วยกิตไปได้ พี่ก็เลยกะว่าคงต้องกลับมาซ้ำชั้น ม.6 ที่เมืองไทยอีกรอบ แต่ดวงประจำปีคงช่วยไม่ให้พี่ซ้ำชั้น ตอนพี่อยู่ที่มิชิแกนก็มีโอกาสได้รู้จักอาจารย์ที่สอนในมหาลัย
Central Michigan 
University แล้วท่านก็บอกกับพี่ว่า พี่ควรลองสมัครมหาลัยของท่านดู ปรากฏว่าพี่สอบผ่าน เลยไม่ต้องเรียนม.6 ซ้ำชั้น กลายเป็นว่าได้ขึ้นปีหนึ่งพร้อมๆ กับเพื่อนที่เมืองไทยเลย 
     

      และพอเรียนที่ Central Michigan ได้หนึ่งปี พี่ลองสมัครเข้า Berklee College of Music ซึ่งเป็นวิทยาลัยดนตรีที่มีชื่อเสียงมากในเมืองบอสตัน ตอนนั้นเลือกเรียน Professional Music ซึ่งคล้ายๆ กับเป็นการเรียนอิสระ คือเลือกเรียนวิชาที่อยากเรียนแต่ก็ต้องไปคุยกับหัวหน้าภาคว่าเราอยากจะจบมาทำงานด้านอะไร ซึ่งตอนนั้นก็คิดว่าอยากทำงานละครเพลงโปรเจคท์จบปริญญาตรีของพี่ก็คือเขียนละครของตัวเองแล้วก็ทำ demo ส่งค่ะ (ซึ่งพอตอนนี้กลับมาดูผลงานชิ้นแรกของตัวเองก็ได้แต่กรีดร้องว่าทำไมมันห่วยอย่างนี้)
   
      สำหรับสาขาที่เปิดสอนระดับปริญญาตรีใน Berklee College of Music ได้แก่ Composition, Contemporary Writing and Production, Electronic Production and Design, Film Scoring, Jazz Composition, Music Business/Management, Music Education, Music Production and Engineering, Music Therapy, Performance, Professional Music, Songwriting

     
      ในการสมัครเข้า Berklee นั้น การเข้าเรียนที่นี่จะต้องทำการออดิชั่น ซึ่งเลือกได้ว่าจะทำการออดิชั่นออนไลน์หรือว่าจะบินไปออดิชั่นตามวันเวลาที่กำหนดในต่างประเทศ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยบินมาพิจารณาการออดิชั่นในแถบเอเชียด้วย เช่น มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้
     
      ช่วงอยู่บอสตันนี่เอง พี่ก็เริ่มดูละครเพลงมากขึ้น บางทีก็นั่งรถบัสไปนิวยอร์กเวลามีวันหยุดยาวๆ (บางทีรถบัสก็เสียกลางทาง แทบจะภาวนาให้ได้ไปถึงนิวยอร์คก่อนละครจะเล่น) พี่ชอบละครเพลงตั้งแต่เด็กๆ เพราะชอบดิสนีย์ แล้วคุณแม่พี่ก็ชอบเพลงของ Rodgers & Hammerstein เลยเหมือนโตมากับละครเพลง พี่ก็รู้ตัวว่าชอบ แล้วก็แพลนเอาไว้ว่าพอกลับมาเมืองไทย ก็คงหางานทำด้านนี้ 
 
      พอเรียนจบปริญญาตรี  พี่ไปสัมภาษณ์งานที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง (ถ้าเรียนจบมหาวิทยาลัยในอเมริกา จะสามารถทำงานได้หนึ่งปี)  แล้วเห็นว่าเค้ามีรับสมัครติวเตอร์สอนดนตรี พี่ก็เลยเขียนอีเมล์ไปหาหัวหน้าภาคว่าเทอมนี้มีเปิดรับเพิ่มมั้ย กลายเป็นว่าภาควิชาขาดคนอยู่พอดี แล้วก็เลยได้ทำงานเล่นเปียโนให้กับวงคอรัสของวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนิวยอร์กค่ะ

     
      ก็เหมือนดวงอีกเหมือนกันว่า วันนึงพี่ต้องไปพบอาจารย์ แล้วห้องพักอาจารย์ก็จะมีบอร์ดแปะพวกการแข่งขันดนตรีหรือคอนเสิร์ต พี่ก็ตาดีไปเห็นโปสเตอร์ของ New York University ว่ามีเปิดสอนปริญญาโทด้านการเขียนละครเพลง ก็เลยลองสมัครปริญญาโทที่ New York University ดู ปรากฏว่าสอบติดรอบแรก ได้มาสอบสัมภาษณ์แล้วก็ออดิชั่น วันที่ไปสอบสัมภาษณ์ เกือบทุกคนที่มาเคยมีประสบการณ์เขียนละครเพลงกันแล้ว แต่อาจารย์ที่นั่นน่ารักมากๆ กลายเป็นว่าตอนที่เขาสัมภาษณ์พี่ เขาตื่นเต้นกว่าพี่อีก เพราะยังไม่เคยมีนักเรียนไทยที่เรียนสาขานี้มาก่อน (แอบกดดัน) พอออดิชั่นเสร็จ หลังจากนั้นไม่นานมีอีเมล์มา พี่ไม่กล้าอ่านจนอยู่ตั้งนานเพราะคิดว่าไม่น่าจะติด แต่กลายเป็นว่าพี่ติดปริญญาโทจนได้
     
      ปีแรกของปริญญาโทนั้นเป็นปีแห่งความกดดัน พี่เคยคิดว่าตอนปริญญาตรีก็เรียนดนตรีมาแล้ว ทำงานส่งอาจารย์แบบที่มัน deadline พร้อมๆ กันก็เคยแล้ว น่าจะไม่มีปัญหา แต่ไม่เลย การเรียนที่นี่แบ่งนักเรียนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเราเรียกว่า words person หมายถึงคนเขียนเนื้อและเขียนบท อีกพวกคือ music person คือคนเขียนดนตรี พี่เข้ามาเป็นคนเขียนดนตรี ทุกโปรเจคท์คือการทำงานกลุ่ม เพราะอาจารย์จะจับคู่ให้เราทำงานกับคนเขียนเนื้อ ในเทอมแรกทุกๆ อาทิตย์จะมีการบ้านให้เขียน บางทีก็ต้องเอาละครพูดที่มีอยู่แล้วมาเขียน บางทีก็ต้องเขียนการร้องหมู่สลับเปลี่ยนกันไป เรียนกันจนหัวฟู พอเทอมสองก็เริ่มเขียนละครสั้น

     
      และเพราะนี่คือการเรียนเขียนละคร ดังนั้นการพรีเซนต์เพลงของแต่ละคนก็ต้องหานักแสดงเอง ซึ่งในที่นี่หมายถึงเพื่อนในชั้นเรียนด้วยกัน พี่เองก็ต้องไปช่วยเพื่อนร้องเพลงของเพื่อน มันก็ทำให้เราได้ทำอะไรสนุกๆ ที่เราไม่เคยทำมาก่อน มีอยู่วันหนึ่ง ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง พี่ได้เล่นเป็นเด็กอายุสิบขวบ, เป็นคนอินเดีย, เป็นพระราชินี, เป็นภรรยานักการเมือง, เป็นเด็กแนวกินขยะ, เป็นหนู, เป็นไดโนเสาร์ หรือต้องร้องแร็พก็ยังเคย!
     
      พอขึ้นปีสอง ทุกคนก็ต้องเขียนละครเพลงที่อย่างน้อยมีความยาวชั่วโมงครึ่ง ช่วงนั้นยุ่งแต่ก็สนุกมากๆ แต่ก็โหดเหมือนกันเพราะพี่ต้องทำพรีเซนเทชั่นด้วย พี่กับคนเขียนบทก็หานักแสดงมา​ซ้อมกัน ปรากฏว่าวันที่ต้องพรีเซนต์เป็นวันที่เฮอร์ริเคนลงในนิวยอร์ก มหาลัยต้องปิด หลังจากนั้นก็ต้องหานักแสดงใหม่ เพราะพอเลื่อนวันไป บางคนก็มาไม่ได้แล้ว .... มาถึงปีสองเทอมสองก็จะมีพรีเซนเทชั่นใหญ่ คือมหาลัยจะจ้างนักแสดงมืออาชีพมาเล่นละครให้เรา ทำให้พี่ได้มีโอกาสร่วมงานกับนักแสดงหลายคนที่เล่นละครบรอดเวย์แล้ว พอพรีเซนต์ให้อาจารย์เสร็จ พี่ก็เรียนจบโท เย้!

   
      การเขียนละครเพลงที่นี่เป็นอะไรที่ใช้เวลานานมากๆ ปกติอย่างน้อยก็สองสามปี เพราะพอเขียนดราฟต์แรกเสร็จ ก็จะต้องพรีเซนต์ แล้วคนเขียนก็จะกลับไปแก้ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถือว่าเป็นงานที่ต้องใช้เวลา แต่ก็เป็นความชอบส่วนตัวของหลายๆ คน พี่แนะนำว่า ถ้าใครอยากทำงานด้านนี้ควรจะมาเรียนนะ อย่างที่ New York University คือมหาลัยที่เดียวที่มีวิชาเอกด้านเขียนละครเพลงในโลก และอาจารย์ที่สอนที่นี่ก็มีงานละครบรอดเวย์กันเกือบทุกคน ถ้าน้องๆ คนไหนสนใจก็ลองเข้าไปในเว็บของมหาลัยดู หรืออาจจะเขียนอีเมล์ไปถามข้อมูลที่คณะเพิ่มเติมได้ค่ะ 

      ส่วนน้องๆ คนไหนที่สนใจอยากเรียนด้านนี้ พี่แนะนำว่าให้ดูละครเวทีให้เยอะๆ สมัยนี้ใน youtube ก็มีวีดีโอให้ดูได้ฟรีแล้ว (บางทีก็มีพวกแบบแอบถ่ายละครบรอดเวย์แล้วด้วย อันนี้ไม่แนะนำให้ควรทำตามนะคะ) แต่ยิ่งรู้เรื่องวงการนี้มากเท่าไร ก็จะดีเท่านั้น สำหรับพี่ในอนาคต พี่ก็อยากทำงานด้านละครเพลงไปเรื่อยๆ ความฝันสูงสุดคือได้แต่งละครเข้าบรอดเวย์ แต่ตอนนี้ละครวิทยานิพนธ์พี่กำลังจะได้มี Workshop Production ซัมเมอร์หน้าในนิวยอร์ค ก็เป็นหนึ่งก้าวสั้นๆ แต่ก็เป็นก้าวแรกสู่เส้นทางละครเพลงของพี่ค่ะ 

     

      ถ้าย้อนกลับไปมอง ต้องบอกเลยว่า การเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกาน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของพี่แววเลยนะคะเนี่ย ที่น่าประทับใจคือ เป็นคนที่พยายามตามฝันมาเรื่อยๆ รู้ว่าตัวเองชอบอะไร และไม่เคยทิ้งมันไป ^^ สุดยอดจริงๆ ค่ะ ส่วนน้องๆ คนไหนมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ อยากแบ่งปันเพื่อนๆ แบบนี้บ้าง ก็เขียนแล้วส่งมาได้ที่ pay@dek-d.com เดี๋ยวนำมาลงให้แน่นอนค่ะ
พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

6 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
++Sax Alto++ Member 24 มี.ค. 57 12:02 น. 4

ขอบคุณค่ะสำหรับแรงบันดาลใจว่าคนไทยก็ไปได้  นี่กำลังเตรียมตัววางแผนอยู่เหมือนกัน หนูจบเอกดนตรีที่นี่ กะไปต่อที่นู่นเลย Berklee มหาลัยในฝัน :)

0
กำลังโหลด
Nikolai Rimsky-Korsakov Member 25 มี.ค. 57 04:04 น. 5

พี่เก่งจัง รักเลยรักเลยรักเลย อยากไปเรียนบ้างเขิลจุงเขิลจุงเขิลจุง 

ชอบละครเพลงเหมือนกันเลยยยย เย้เย้เย้

จะเอาพี่เป็นแรงบันดาลใจนะคับผมสู้สู้

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด