เส้นทางสู่มหา'ลัยอเมริกา กว่าจะได้ 'เรียนนิเทศ' สมใจอยาก

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกเช่นเคย^^ คำถามหนึ่งที่มีน้องๆ ถามมาบ่อยๆ คือ อยากไปเรียนต่อปริญญาที่อเมริกา ต้องสมัครยังไงและเตรียมตัวยังไงบ้าง? ลองมาหาคำตอบจากประสบการณ์เด็กนอกเรื่องนี้ดีกว่าค่ะ เพราะเจ้าของเรื่องเค้าจะมาเล่าขั้นตอนการสมัครเรียนที่อเมริกา รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ในมหาวิทยาลัยและในเมืองบอสตันค่ะ^^


   
     สวัสดีค่ะ ชาวเด็กดีทุกคน เราชื่อ "พาร์เฟต์" นะคะ เป็นนามปากกา ชื่อจริงๆ มีหลายชื่อมากจนหลายคนสับสนไปแล้ว 555 ฉะนั้นเรียกพาร์เฟต์ก็แล้วกันนะคะ :) ตอนนี้เรียนปริญญาตรีอยู่ที่ Emerson College ในเมืองบอสตัน อเมริกา วิชาเอกของเราคือ Marketing communication  วันนี้ก็ขอมาเล่าถึงประสบการณ์ตั้งแต่เริ่มต้นก่อนจะมาเป็นนักศึกษาที่นี่ จนถึงวันนี้เลยก็แล้วกันค่ะ

     เราเรียนจบโรงเรียนรัฐบาลธรรมดาๆ จากไทยนี่แหละ จริงๆ แล้วเราอยากมาเรียนอเมริกาตั้งแต่ไฮสคูลแล้ว (เพราะได้อ่านเรื่องราวจากประสบการณ์เด็กนอกในเด็กดีนั่นแหละ) แต่แม่ไม่ให้ TT ก็เลยพยายามพิสูจน์ตัวเองตั้งแต่นั้นว่า เราสามารถดูแลตัวเองได้ มีความรับผิดชอบ ไม่ง้องแง้ง และพยายามพัฒนาภาษาอังกฤษ (อันนี้สำคัญ) ตอนแรกภาษาอังกฤษเราแย่มาก ตอนม. 4 นี่ ให้อ่านย่อหน้าภาษาอังกฤษยังอ่านไม่ออกเลย หนังสือนอกเวลานี่ไม่ต้องพูดถึง อ่านไม่รู้เรื่องค่ะ (รอสรุปจากเพื่อนเอา)

   
     ช่วงม. 6 ก็เป็นช่วงที่เครียดมากกก เพราะเราเริ่มเตรียมตัวช้า เพราะตอนแรกก็ยังงงๆ ว่าจะมาอเมริกาดี หรือพยายามสอบเข้าจุฬาดี แต่เราเป็นคนที่ทำอะไรพร้อมกันไม่ได้ สุดท้ายก็เลยปักธงก่อนปิดเทอมตอน ม. 5 ว่า "จะไปเรียนปริญญาตรีที่อเมริกา" สรุปคือ เหลือเวลาอ่าน SAT 3 เดือนตอนปิดเทอม ต่อด้วยโทเฟลอีก 2 เดือน พอปิดเทอมก็นั่งเขียน Essay สำหรับมหาวิทยาลัยที่จะเข้า หลังจากนั้นก็สมัครเลยยยย
     
     สิ่งสำคัญมาก สำหรับการสมัครมหาวิทยาลัยในอเมริกาก็คือ เกรด คะแนนสอบ (SAT, ACT) และ Essay รองลงมาคือกิจกรรมที่เคยทำ และจดหมายจากอาจารย์ ตอนเลือกมหาวิทยาลัยก็เลือกจากที่ดังในสาขาเรา ตอนแรกตั้งใจว่าจะเรียนวารสารศาสตร์ อยากเป็นนักข่าว อยากทำนิตยสาร ก็ Search หาเลย Top Journalism major for undergraduate in USA แล้วก็เลือกมหาวิทยาลัยที่เราพอเข้าได้ (แล้วก็ไม่ได้อยู่ในนิวยอร์กเพราะที่บ้านไม่ให้ไป นิวยอร์ก)

   
     พอได้รับจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัยก็โล่งอก ว่ายังไงก็ได้ไปแน่ๆ ตอนเตรียมตัวสอบว่าเครียดแล้ว ตอนรอผลนี่แบบสุดๆ อ่ะ ก็นั่งเลือกกันกับที่บ้านว่าจะไปที่ไหนดี เพราะสมัครแต่ละที่นี่ กระจัดกระจายทั่วอเมริกามาก สุดท้ายเลือกมา Emerson เพราะเหตุผลง่ายๆ คือ 1. อยู่บอสตัน เมืองนี้สวย ไอดอลเราหลายคนก็จบจากที่นี่ (จริงๆ ตอนนั้นตามยูทูบของคนนึง เขาอยู่บอสตัน แต่พอเรามาปุ๊บ เขาย้ายไปเท็กซัสทันที 555) 2. ได้ทุนบางส่วนจากมหาวิทยาลัย ทำให้ค่าเทอมถูกลงทันตา เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่น พ่อกับแม่ก็สนับสนุนเพราะเหตุผลข้อสอง 55+ โอเค มาที่นี่ก็ได้
     
      Emerson College หลายคนอาจไม่ค่อยรู้จัก เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่เล็กกกกกมากกกก คือทั้งมหาวิทยาลัยมีแค่คณะนิเทศศาสตร์คณะเดียว นักศึกษาป.ตรีก็มีแค่สามพันกว่าคน คือช็อคมาก เพราะคนน้อยกว่าโรงเรียนม.ปลายเราอีกอ่ะ เดินไปไหนมาไหนก็เจอแต่คนหน้าเดิมๆ ตลอด 55
 


    ถึงที่นี่จะมีแค่คณะนิเทศฯ แต่ก็มีวิชาเอกเกือบ 30 ตัวได้ ตั้งแต่ PR/โฆษณา (ของเราเอง) , วารสาร , ภาพยนตร์, Acting, ตัดต่อ ฯลฯ เยอะมาก ตอนแรกเราก็สมัครวารสารมา แต่พอปิดเทอมนั่งคิด จะไหวหรอ ภาษาอังกฤษก็ไม่รอด ต้องเขียนข่าว รายงานข่าวเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ไหวมั้ง จบไปก็หางานทำยาก (คิดเอง) สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ มาเรียน PR ดีกว่า
   
    วิธีการเปลี่ยน Major ที่นี่ก็ง่ายมากค่ะ ของเราแค่ส่งเมล์ไปบอกเขาว่า ไม่อยากเรียนวารสารแล้ว อยากลอง PR มากกว่า เขาก็แบบ โอเค รับทราบ แล้วก็เปลี่ยนให้เลย เรื่องการเปลี่ยนคณะ เปลื่ยนวิชาก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราชอบมากของอเมริกา คือเปลี่ยนได้ตลอด (ก่อนขึ้นปีสาม) จะได้เจอสิ่งที่ใช่ เคยไปเล่าเรื่องการศึกษาไทยว่า ถ้าจะเปลี่ยนคณะ ต้องซิ่วกลับไปเรียนปีหนึ่งใหม่ เพื่อนฝรั่งทุกคนบอกว่า "That is silly.” (มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก)
   
    ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเราที่คนทั่วไปน่าจะรู้จักก็คือ Bobby brown เจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง กับพี่นีน่า แห่งผู้หญิงถึงผู้หญิงค่ะ

    บอกก่อนเลย ว่าเราไม่เคยมาเรียนเมืองนอกเลย ทั้งชีวิต แลกเปลี่ยนหรือแม้แต่เรียนภาษาก็ไม่เคย ภาษาอังกฤษก็ตามสภาพ....ตอนมาถึงอเมริกาใหม่ๆ Culture shock มีไหม ก็นิดๆ แต่พอดีแม่มาส่งด้วย เวลามีปัญหาก็ให้แม่จัดการ 555 สิ่งที่เรากลัวมาก คือการคุยโทรศัพท์กับฝรั่ง คือคุยกับคนไทยบางทียังฟังไม่ชัดเลย แล้วกับฝรั่งจะเหลือหรอ
     
     เราโชคดีที่เรา (ยัง) ไม่เจอ Culture shock แบบแรงๆ ส่วนมากจะเป็นงงๆ มากกว่า ว่าเออ ต้องทำยังไงดี อย่างข้ามถนน ตอนแรกก็เข้าใจว่า เฮ้ย! คนอเมริกาต้องข้ามตอนไฟคนข้ามเป็นสีเขียวเท่านั้น จริงๆ ไม่ใช่เลยค่ะ ฝรั่งถ้ามันเห็นไม่มีรถมันก็ข้าม หรืออย่างเราก็ถูกสอนมาว่า อยู่อเมริกาไม่ต้องถือ Cash (เงินสดเยอะ) อะไรๆ ก็ใช่บัตรเครดิตได้หมด แต่ความจริงคือบางร้านนี่ติดป้ายเลย ว่า Cash only! หรือรับแต่เงินสดเท่านั้น

     ตอนนี้ เราอยู่หอพักที่รอบตัวเป็นคนอเมริกันหมด ยกเว้นรูมเมตทป็นคนจีน ก็จะเจออะไรแปลกๆ จากฝรั่งมากขึ้น เช่น พื้นทางเดิน (ที่คนไม่ถอดรองเท้า) ฝรั่งบางคนก็เดินเท้าเปล่า เวลาเดินจากห้องไปอาบน้ำ (และขากลับห้องด้วย) เขาก็พันผ้าเช็ดตัวแบบเกาะอกเดินไป ผู้ชายนี่ บางคนก็พันแต่ท่อนล่างเดินไป แล้วหอพักเราเป็นหอรวมค่ะ! (แต่เกย์เยอะมากค่ะ)

   
     เทอมแรกยากไหม? ก็ยากนะ แต่ก็มีความสุข ทุกอย่างมันดูตื่นเต้นแปลกใหม่ไปหมด ตั้งแต่สไตล์การสอนจนถึงภาษา เขาจะเน้นให้เด็กพูดในห้องเยอะๆ คือคิดอะไรก็ยกมือถาม ยกมือพูดออกมาเลย พูดผิด เข้าใจอะไรผิด เขาไม่มีด่า ไม่มีว่านะคะ บางทีตอบผิดยังชมอีกว่าดีแล้ว ที่เธอพูดมาก จะได้แก้ไขให้เข้าใจให้ถูกต้อง ในห้องเรียนอเมริกา เวลาอาจารย์ให้พูด แสดงความคิดเห็นได้เต็มที่เลย! บางคนแบบ "I don't agree with you” ต่อหน้าอาจารย์ หรือต่อหน้าเพื่อนเลยก็มี ได้ยินครั้งแรกนี่ตกใจเลย มันจะตีกันไหมคะ 555 แต่สุดท้ายจบคลาสก็จบค่ะ
     
     อีกอย่างหนึ่งที่เราชอบสำหรับมหาวิทยาลัยในอเมริกาก็คือ คะแนนของแต่ละคนถือเป็นความลับขั้นสุดยอด อาจารย์ห้ามเอามาโชว์หรือประกาศให้เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นรู้เด็ดขาด เหมือนเป็นกฎหมายเลยค่ะ ฉะนั้น จะไม่มีใครรู้เลย ว่าเราได้เกรดเท่าไร่ เราว่าตรงนี้มันช่วยปัญหาเรื่องการลอกข้อสอบได้เยอะมาก เพราะเราก็ไม่รู้ว่าคนนั่งข้างๆ เรา มันเก่งกว่าเราหรือเปล่า อย่างเวลาอาจารย์ส่งข้อสอบคืน เขาจะมีกระดาษโปะหน้าไว้เลย หรือไม่ก็คว่ำกระดาษลงตอนยื่นให้เรา เพื่อนก็จะไม่เห็น (แล้วก็ไม่ชะเง้อคอมองด้วย แต่เหลือบๆ ก็มีนะ 55)

     
     เรียนที่นี่ อยากได้คะแนนดีก็ต้องขยัน อ่านหนังสือเยอะๆ ยิ่งเราอ่านช้า ก็ต้องเพิ่มความขยันลงไป เทอมแรกนี่เราอ่านช้า ระดับเต่าเรียกแม่เลย แล้วด้วยความที่เราเป็นคนอ่านหนังสือภาษาไทยเร็วมาก พอเทียบกับอังกฤษก็ยิ่งหงุดหงิด (บางทีอ่านไม่รู้เรื่องอีก 55) จำได้เลยว่าในคาบวันนึง เพื่อนข้างๆ มันคุยกัน "เล่มนี้อ่านง่ายดีนะ" (เรานึกในใจ ง่ายตรงไหนเนี่ย) “ขนาดฉันเป็นคนอ่านช้า อ่านแค่สองชั่วโมงก็หมด" (เรานึกต่อ ฉันอ่านไปแปดชั่วโมง จะมาสู้กันไหมล่ะ 55)
   
      สิ่งที่เราชอบมากๆ ของมหาวิทยาลัยเราก็คือ Writing Resource center คือเขาจะมีติวเตอร์เป็นนักเรียนป.โท ที่เรียนด้านการเขียน มาคอยช่วยเรื่องการเขียน Essay ของเราโดยเฉพาะ ตั้งแกรมม่าร์ ภาษา ไปจนถึง "พี่คะ หนูคิด Conclusion ไม่ออก" หน้าตากระดาษหลังจากกลับมาจาก Writing Center ก็อย่างที่เห็น ที่สำคัญคือฟรีค่ะ! เราไปมันทุกอาทิตย์ เหมือนได้เรียนภาษาอังกฤษฟรีตัวต่อตัวทุกอาทิตย์ 555 ส่วนเพื่อนที่นี่ ก็ไม่ต้องอธิบายมาก สไตล์เด็กนิเทศเต็มๆ เลยค่ะ ที่ชอบอย่างหนึ่งคือมหาวิทยาลัยมีพร้อมทุกอย่างเลย ห้องอัดเสียง ห้องถ่ายรายการ (มีช่องทีวี วิทยุของตัวเองด้วยนะ) แล้วก็โรงละครของตัวเอง


     สำหรับบอสตันเป็นเมืองที่คนไทยอยู่เยอะมาก มีคำเตือนข้อเดียวคือ ถ้าจะนินทาชาวบ้านเป็นภาษาไทย โปรดพูดเบาๆ นะคะ เพราะบางคนหน้าไม่ค่อยไทย (อย่างเรา) ก็ฟังภาษาไทยออกค่ะ 555 คนไทยอยู่ทุกที่ค่ะ ....  คำถามยอดฮิตที่สุดก็คือ มาอเมริกาทำงานได้ไหม "ได้ค่ะ ถ้าถือวีซ่า F1 เป็นนักเรียน นักศึกษา สามารถทำงานได้แค่ On campus หรืองานของมหาวิทยาลัยเท่านั้น" แล้วก็ทำได้แค่ 20 ชั่วโมงต่อหนึ่งสัปดาห์ ส่วนทำงานเสิร์ฟ งานครัว ฯลฯ ถ้าจริงๆ ก็คือผิดกฎหมายค่ะ แต่คนไทยก็ทำกันเยอะมาก ทุกวันนี้เข้าร้านเวียดนาม ร้านเกาหลี ร้านซูชิ คนเสิร์ฟเป็นคนไทยหมดเลยอ่ะ O_O
   
      สถานที่ที่เราชอบไปในบอสตันก็มีมากมาย อย่างมหาวิทยาลัยเราอยู่ติดกับ China Town ก็ชอบไปซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต (วันก่อนได้ผักบุ้งมาด้วย น้ำพริก น้ำปลา มาม่า แกงส้มนี่มีหมดค่ะ) หรือไม่ก็ซื้อขนมร้านของคนจีน ความรู้สึกเราอร่อยกว่าขนมของร้านอเมริกันนะคะ (คิดถึงเบเกอรี่ที่ไทยมาก พูดเลย) อีกที่ที่ไปบ่อยช่วงมาใหม่ๆ ก็คือ ฮาร์วาร์ดสแควร์ สวย สงบ ตอนนี้ไปไม่ไหวแล้วค่ะ หนาวเกิน

     
      อีกที่หนึ่งก็คือห้องสมุดกับร้านกาแฟ ชีวิตอีกครึ่งจะไปสถิตอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว นอกจากห้องสมุดมหาวิทยาลัยตัวเอง เราก็ชอบไปห้องสมุดของ Boston University ค่ะ ใหญ่มาก และดีมาก ไปอยู่แล้วมีคนตั้งใจอ่านหนังสือมากมาย รู้สึกมีแรงบันดาลใจดี อีกที่ก็ห้องสมุดประชาชนของบอสตันเป็นห้องสมุดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอเมริกาเลย ส่วนร้านกาแฟก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ส่วนมากชอบร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย เพราะจะมีเด็กๆ นักศึกษามานั่งอ่านหนังสือเยอะดี
   
      ใครที่มาบอสตันหรืออเมริกาใหม่ๆ แล้วอยากหาเพื่อน ก็แนะนำให้เข้าเว็บ Meetup.com แล้วก็เลือกกิจกรรมที่เราชอบ แล้วก็ไปรวมกลุ่มกับพวกเขา อย่างเราชอบไป Japanese & English meetup ก็จะเจอทั้งคนญี่ปุ่นกับคนอเมริกาที่สนใจญี่ปุ่น (และใจดีกับคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษมากกกก) เราว่าเพราะเราได้พวกเขานี่แหละ ทำให้ภาษาอังกฤษเราดีขึ้นเยอะเลย แถมได้เพื่อนสนิทมาด้วย อย่างเรา เคยไป Korean Meetup มาสองครั้ง ได้เพื่อนสนิทเป็นคนญี่ปุ่นมาอีก 2 คนเลย (ขำมาก เวลาคนถามว่าพวกเธอสองคนไปเจอกันที่ไหน คำตอบคือ Korean Meetup 555)

 
    นอกจากนี้ ถึงเราจะมาเรียนอเมริกา แต่หัวใจเราเป็นแฟนคลับเกาหลี & ญี่ปุ่นของแท้ โดยเฉพาะดารานักร้องนี่ต้องเกาหลีเลย แล้วอยู่บอสตันหาแฟนคลับเกาหลียากมากค่ะ เพื่อนสนิทที่เรามีก็เลยเป็นพวกบ้าเกาหลีเหมือนกัน (ถึงคุยกันรู้เรื่อง)      
   
     อย่างเมื่อตอนช่วงต้นเดือนมีนา หลังวันเกิดเราไม่กี่วัน นิโคลวง Kara ก็มาเที่ยวบอสตันค่ะ พร้อมแก๊งเพื่อนของเขา เราหรือจะพลาด ก็ไปหาจนเจอ ขอถ่ายรูปคู่มาด้วย 
จริงๆ อยากเจอ Stella Kim แต่พอดีนิโคลอยู่ด้วย เลยได้รูปถ่ายทั้งคู่มาเลย กลายเป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดเลย 555 แล้วเรื่องนี้ก็สอนให้รู้ว่า เป็นติ่งเกาหลีในอเมริกา โดยเฉพาะเมืองที่แทบไม่มีแฟนคลับเกาหลีอย่างบอสตัน ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ (พอขอถ่ายรูปปั๊บ นิโคลก็ทำหน้าแบบแปลกใจ แล้วก็ให้ถ่ายเลย)

    การได้มาเรียนที่อเมริกา ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับเราแล้วค่ะ มันไม่ใช่แค่วิชาการหรือภาษา แต่มันคือประสบการณ์ การได้เจอคนแปลกๆ เพื่อนใหม่ๆ ดีๆ การรับผิดชอบชีวิตตัวเอง เรามาอเมริกานี่เจอหมดแล้วค่ะ เช็คเงินหาย ป่วยต้องหาหมอ ฯลฯ จนแม่บอกว่า ถ้าจะเยอะขนาดนี้ กลับไทยเหอะ แต่มันก็สอนให้เราเรียนรู้แล้วก็โตขึ้นนะ^^
ใครอยากคุยกันต่อ ติดต่อได้ที่
 Facebook.com/parfaitsinseoul
alittleparfait.wordpress.com
Instagram @parfaitsinseoul 
   


     โอ้ววววเริดมากเลยค่ะ อ่านแล้วชอบในความพยายามตั้งใจมากๆ ^^ ตั้งแต่ตั้งใจจะไปเรียนปริญญาตรีที่อเมริกา เตรียมตัวเอง หาทางสมัครเอง และความพยายามในการหานิโคลจนเจอ >< อิอิ ใครคิดอยากจะไปเรียนต่อที่อเมริกาบ้าง คงได้ข้อมูลดีๆ จากรุ่นพี่แล้วเนาะ...ส่วนใครมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ อยากแบ่งปันเพื่อนๆ แบบนี้บ้าง ก็เขียนส่งมาได้ที่ pay@dek-d.com เดี๋ยวนำมาลงให้แน่นอนจ้า
พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด
เจ้าหญิงน้อยแห่งดาวพระศุกร์ Member 7 เม.ย. 57 18:27 น. 11

พี่เพรฟฟฟฟฟฟ เป็นแฟนคลับมานานแล้ววววววรักเลย อ่านทุกบทความในblogพี่เลยยเขิลจุง

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
NookNick Member 7 เม.ย. 57 14:16 น. 3

อ่านแล้วแบบฮาแล้วก็สนุกมากอ่ะ อิจฉาพี่มากจากคนที่ไม่เก่งแต่ตอนนี้กลายเป็นเด็กนอกไปซะแล้ววววววววววววว การศึกษาไทยยังล้าหลังเพราะเรียนแบบดักดานนี่แหละค่า ตอบผิดโดนหักคะแนนบ้างล่ะ ตอบไม่ได้นั่นๆ นี่ๆ บ้างล่ะ วิธีทำผิดคำตอบถูกก็ให้ผิด เอ้อออออออออออ 

1
กำลังโหลด
In YOur EYes Member 7 เม.ย. 57 17:14 น. 10

พี่เป็นติ่งด้วยอ่ะ >< อ่านเรื่องของพี่แล้วมีกำลังใจเลยค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ ทำให้รู้ว่าไม่มีอะไรสายเกินไปถ้าเราคิดจะทำ

เยี่ยม

0
กำลังโหลด

18 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
NookNick Member 7 เม.ย. 57 14:16 น. 3

อ่านแล้วแบบฮาแล้วก็สนุกมากอ่ะ อิจฉาพี่มากจากคนที่ไม่เก่งแต่ตอนนี้กลายเป็นเด็กนอกไปซะแล้ววววววววววววว การศึกษาไทยยังล้าหลังเพราะเรียนแบบดักดานนี่แหละค่า ตอบผิดโดนหักคะแนนบ้างล่ะ ตอบไม่ได้นั่นๆ นี่ๆ บ้างล่ะ วิธีทำผิดคำตอบถูกก็ให้ผิด เอ้อออออออออออ 

1
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Ing_zazahaha Member 7 เม.ย. 57 16:17 น. 6

อยากไปมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกค่ะ อยากเรียนนิเทศที่เดียวกับพี่เขาอ่ะ แต่กลัวสอบไม่ได้จัง ถ้าจะสอบชิงทุนT^T

พี่เก่งมากเยี่ยม รักเลย

0
กำลังโหลด
~LightOnTheFloor~ Member 7 เม.ย. 57 16:20 น. 7

ที่มันสนุก เพราะ จขกท. เป็นคนสนุกต่างหากละครับ :))

บางคนนะ ถ้าเจอแบบนั้นสติแตกไปแบ้ว 555 ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆครับ

0
กำลังโหลด
SoulTA Member 7 เม.ย. 57 16:27 น. 8

อ่านเเล้วรู้สึกตื่นเต้นมากๆเลยครับ เยี่ยม

ผมเองก็สนใจเหมือนกันกำลังศึกษาอยู่เลย

0
กำลังโหลด
aun-aom Member 7 เม.ย. 57 16:56 น. 9

อยากไปเรียนที่เมืองนอกเหมือนกันค่ะ

แต่ตัวเองไม่เก่งอังกฤษ พี่ทำยังไงหรอค่ะ

หนูเพิ่งอยู่ม.4 อยากมีเป้าหมายมั้งอ่ะ

0
กำลังโหลด
In YOur EYes Member 7 เม.ย. 57 17:14 น. 10

พี่เป็นติ่งด้วยอ่ะ >< อ่านเรื่องของพี่แล้วมีกำลังใจเลยค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ ทำให้รู้ว่าไม่มีอะไรสายเกินไปถ้าเราคิดจะทำ

เยี่ยม

0
กำลังโหลด
เจ้าหญิงน้อยแห่งดาวพระศุกร์ Member 7 เม.ย. 57 18:27 น. 11

พี่เพรฟฟฟฟฟฟ เป็นแฟนคลับมานานแล้ววววววรักเลย อ่านทุกบทความในblogพี่เลยยเขิลจุง

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
PatChaa Member 3 พ.ย. 57 01:04 น. 17

Wow~ อ่านแล้วรู้สึกอยากเรียนมหาลัยฯที่อเมริกาเลย ><

ตอนgymnasiet(ม.ปลาย) เรียนสายIB(International Baccalaureate)ดีกว่า

ภาษาอังกฤษต้องดีให้ได้!!!!! สู้โว้ยยยย!!!!

0
กำลังโหลด
บิวตี้ 12 ต.ค. 61 17:16 น. 18

อยากเรียนนิเทศศาสต์ที่อเมริกาค่ะแต่อยากรู้เกี่ยวกับค่าเทอมค่าที่พักอะไรยังไงค่ะ คือแพลนอยู่ว่าจะต่อ ป.ตรีที่ไทยดี หรือ อเมริกาดี ในใจอยากไปอเมริกาแหล่ะแต่ พ่อแม่ชอบกังวลเรื่องการเป็นอยู่จะอยู่ได้มั้ยอย่างงี้ค่ะ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด