สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ เช่นเคย วันนี้มีเรื่องราวชีวิตเด็กไทยที่ไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกามาฝากเช่นเคย(ประเทศยอดฮิตนี่เนาะ) จะเป็นยังไง ไปอ่านเลยจ้า
สวัสดีค่ะ ชื่อ "เอิร์น" ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดนครศรีธรรมราช และเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการ AYC รุ่นที่ 12 (2013-2014) ที่สหรัฐอเมริกาค่ะ
ตัวเราเองถือว่าได้โฮสท์แฟมิลี่เร็วเหมือนกัน คือได้โฮสท์ตั้งแต่เดือนเมษายน ตอนนั้นตื่นเต้นมากกกกก เลยตอบรับโฮสท์ไปทันทีเลย เพราะกลัวว่าโฮสท์จะหาย 5555 โฮสท์เราเป็นคุณยายค่ะ อายุ 70 กว่าแล้ว อยู่คนเดียวกับแมวอีก 5 ตัว และเราก็มีรูมเมทด้วย เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเหมือนกันมาจากปากีสถาน ซึ่งเราไปถึงก่อนเขาสองอาทิตย์ค่ะ |
ทีนี้เมืองที่เราจะต้องไปอยู่ชื่อเมืองโทลีโด รัฐโอไฮโอ ต้องขึ้นเครื่องจากสุวรรณภูมิ ไปลงอินชอนเกาหลี ต่อไปชิคาโก้ แล้วไปลงโทลีโด ตอนนั้นบินคนเดียวตื่นเต้นมากเพราะเป็นครั้งแรกที่เดินทางออกนอกประเทศ ไปเดินมึนอยู่ที่ชิคาโก้จนเกือบตกเครื่อง แถมพอขึ้นเครื่องแล้วตอนนั้นพายุเข้า ไฟลท์ดีเลย์ไปชั่วโมงกว่า ไม่ได้ติดต่อโฮสท์ด้วย จริงๆ ตอนนั้นควรจะไปถึงที่โทลีโดหกโมงเย็น แต่ไปถึงจริงๆ เกือบสองทุ่ม แต่ฟ้าสว่างมากอย่างกับบ่ายสาม !
โทลีโดเป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบมาก ชิลๆ ค่ะ ผู้คนส่วนมากจะเป็นคนผิวสี โรงเรียนที่เราไปอยู่เป็นโรงเรียนขนาดกลางชื่อ Woodward High School มีนักเรียนอยู่ประมาณ 600 คน ส่วนมากเป็นพวกผิวสีกับเม็กซิกัน (อยากจะบอกว่าคนอายุ 60-80 ที่เมกานี่เฟี้ยวมาก ยังแข็งแรงแล้วก็ลุยตลอด)
ช่วงที่ไปถึงยังเป็นช่วงปิดเทอมอยู่ โฮสท์ก็พาไปห้าง ซื้อเครื่องแบบนักเรียน ซึ่งก็แค่เสื้อโปโลกับกางเกงขายาว ไปโรงเรียนเพื่อทำความรู้จักกับครู (โฮสท์เราเกษียณจากโรงเรียนนี้เลยค่อนข้างสนิทกับคนที่นั่น แล้วก็มีกิจกรรมให้เราทำตลอด) แล้วก็บอกเราว่าพรุ่งนี้จะให้ไปซ้อมเทนนิส เราก็ฮะ ! เพิ่งมาได้สองวันจะให้ไปซ้อมเทนนิสแล้ว |
ปรากฏว่าเครียดมาก ภาษาก็ง่อย แถมปกติพูดน้อยอยู่แล้ว จะหาเพื่อนยังไงล่ะ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ เพื่อนในทีมเป็นคนผิวสีทั้งนั้น ช่วงแรกๆ จะมองเราด้วยสายตาพิจารณามาก เล่นเอาเสียวสันหลังไปเลย แบบเขาจะฆ่าเรามั้ย 555 แต่พอผ่านไปได้สักอาทิตย์ก็เริ่มสนิทกัน ซึ่งจริงๆ แล้วคนแอฟริกัน-อเมริกันมีความเป็นกันเองมาก เสียงดังแล้วก็รั่วตลอดเวลาค่ะ ลืมบอกว่าซ้อมได้สี่วันโค้ชก็พาเราไปแข่งเลย แพ้ตั้งแมทช์แรก แต่พอจบซีซั่นก็ได้ที่ 1 ของเมืองมาซะงั้น 555 เราเล่นเป็นคู่ค่ะ กับพาร์ทเนอร์อีกสองคน
แนะนำว่าถ้ามาแลกเปลี่ยนที่นี่ให้ลงกิจกรรมเยอะๆ ค่ะ ได้เพื่อนเยอะมาก จะได้ไม่เหงา นอกจากเราจะลงเทนนิสแล้ว ซีซั่นต่อมาก็ลงบาส แล้วก็ซอฟต์บอลด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วโฮสท์บังคับ เราไม่อยากลงกีฬาเท่าไหร่เพราะมันเหนื่อย เนื่องจากอากาศมันหนาวมากๆ ตอนซ้อมก็กลับบ้านค่ำ ยิ่งวันที่มีแข่งนี่ไม่ต้องพูดถึง แข่งกัน 3-5 วันต่ออาทิตย์ กลับบ้านสามสี่ทุ่มตลอด เรียกว่าทรหดขิงๆ แต่ว่าพอผ่านจุดนั้นมาได้มันจะภูมิใจใจตัวเองแล้วก็ได้ประสบการณ์เยอะ อีกอย่างคือช่วยลดน้ำหนักค่ะ 5555 ตอนนั้นตัวจะแตก ไปอยู่สามเดือนน้ำหนักขึ้นมา 6 โล
พูดถึงรูมเมทบ้าง เรากับรูมเมททะเลาะกันบ่อยมาก แล้วเราสองคนก็ทะเลาะกับโฮสท์บ่อยมากเช่นกัน มีครั้งหนึ่งที่เราไปถึงตอนแรก ยังสื่อสารกับโฮสท์ไม่ได้ดีนัก เขาเข้าใจผิดจนถึงขั้นปากระดาษใส่หน้าเราเลย ตอนนั้นคือคิดถึงบ้าน แอบไปนั่งร้องไห้ในห้องน้ำโรงเรียน เคยคิดอยากเปลี่ยนโฮสท์เพราะมีปัญหาเรื่องแมวด้วย คือขนแมวเยอะมากกกกกกกก แถมโฮสท์ชอบใช้ของๆ คนร่วมกับแมว แต่ก็บอกตัวเองว่าเขาก็ดีนะ แถมดูแลเราเยอะแยะ มันเป็นแค่ช่วงแรกที่เราต้องปรับตัว และอาจจะเป็นเพราะวัยที่ต่างกัน ต่างวัฒนธรรม แต่เราก็รักกันมาก เพราะมีอะไรก็จะช่วยกันตลอด
ส่วนเรื่องโรงเรียน ตอนไปโรงเรียนวันแรกๆ ก็กลัว แต่ก็เนียนๆไป เราไม่ค่อยเข้าหาคนเท่าไหร่ ซึ่งมันพลาดมาก 5555 ถ้าเราไปชวนเขาคุยก่อนเราจะได้เพื่อนเยอะเลย แล้วก็มีคนท้องประมาณ 6 คนที่มาเรียนร่วมกับเพื่อน วิชาที่เราลงเรียนก็เป็นวิชาง่ายๆ เพราะขี้เกียจ 555 เน้นดนตรีกับศิลปะ แต่ก็มีเรียน American Government ชีวะ วิทย์ ได้ผ่าลูกตาวัวมาก ตอนนั้นดี๊ด๊าสุดๆ เพราะอยู่ไทยเรียนศิลป์-คำนวณไง จริงๆ ที่ลงวิชาง่ายๆ เพราะตอนแรกกังวลกลัวจะเรียนไม่ได้เลยเลือกวิชา แต่สุดท้ายก็อยู่ระดับท็อปของคลาสตลอด ได้ไปเล่นคอนเสิร์ตในโรงเรียนด้วย บอกเลยเด็กไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก 5555
นอกจากนี้ก็ได้ทำกิจกรรมกับนักเรียนแลกเปลี่ยนคนอื่นๆ ไปปาร์ตี้ฮัลโลวีน เที่ยวน้ำตกไนแองการ่า เที่ยวสวนสนุก Cedar Point เป็นอาสาสมัครช่วยเด็กพิการ หรือแม้แต่ไปเพ้นท์ท่อน้ำ รณรงค์ให้คนไม่ทิ้งขยะในท่อระบายน้ำก็มี ซึ่งเอาจริงๆ เราไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเท่าไหร่ค่ะ เพราะว่างแค่ช่วง winter break แต่ตอนนั้นพายุเข้า ออกจากบ้านไม่ได้ ช่วงอื่นก็ติดแข่งกีฬา
เรื่องน่ากลัวก็มีนะ วันหนึ่งมีเพื่อนเราถูกยิงแถวๆ ละแวกบ้านเราเอง ตอนนั้นก็งง พอตื่นเช้าไปโรงเรียนพวกตำรวจมาเต็ม กว่าจะเข้าโรงเรียนได้ต้องสแกนตรวจกระเป๋า โน่น นี่ นั่น พออีกอาทิตย์หนึ่งต่อมาเพื่อนคนนั้นก็มาเรียนปกติ ซึ่งปกติเวลาขี้เกียจรอโฮสท์มารับ เราก็จะเดินกลับบ้านกับรูมเมท แต่ช่วงนั้นทำให้เราไม่กล้าเดินกลับเองเลย เพราะจากข่าวที่เด็กโดนยิงแล้วก็เคยโดนผู้ชายเดินตาม แถมพูดจาแปลกๆ ใส่ด้วย
เรียกได้ว่าเจอประสบการณ์ทั้งดีและร้าย อยู่ที่โน่นท้อบ่อย แต่เพราะอดทน สิ่งที่ได้กลับมาจึงคุ้มค่า แม้ว่าอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์ที่หวือหวาเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็ดีใจที่ครั้งหนึ่งได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่นั่น ได้ประสบการณ์ที่คงจะหาไม่ได้ในเมืองไทยอย่างแน่นอน นอกจากนั้นการที่ไปอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีพ่อ แม่ ญาติ หรือเพื่อนที่คุ้นเคย มันทำให้เราต้องปรับตัว และช่วยเหลือตัวเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันจะทำให้เราเข้มแข็งและมีความเป็นผู้ใหญ่ มีมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่น ถ้าน้องๆ ไปแลกเปลี่ยนแล้วกลับมา บางคนอาจจะรู้เลยว่าเรามีความคิดที่ต่างออกไป และแน่นอนว่าสิ่งที่ได้อีกอย่างก็คือภาษานั่นเองค่ะ
ส่วนน้องๆ คนไหนมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ อยากแบ่งปันให้เพื่อนๆ อ่านแบบนี้บ้าง ก็เขียนแล้วส่งมาได้เลยที่ pay@dek-d.com เดี๋ยวนำมาลงให้แน่นอนจ้า
20 ความคิดเห็น
อิจฉาจังค่ะ เราสอบติดแต่พ่อแม่ไม่ให้ไป T^T
อยากไปบ้างจังงงเลยยยย
อยากมีโมเม้นแบบทำกิจกกรมกับเพื่อนชาวจ่างชาติ ปาร์ตี้กัน
สักวันนนนนน!!!!! ฉันจะไปเป็นนักเรียนเเลกเปลี่ยน
อายุยังน้อยอยู่ง้ะ แต่อยากไปใจจะขาด อยากได้ทุนเต็มเพราะไม่ค่อยมีตังค์ จะพยายาม แต่ภาษานี่ห่วยมาก แบบสื่อสารไม่ค่อยได้เลย เราบ้านอยู่ในเมืองท่องเที่ยว ด้วย เวลามีฝรั่งถามทางคือแบบ ใจปลาซิวมากเลย แต่เราชอบฝึกภาษากับเพลงน่ะ สู้เว้ยยยยยยยยยยย
เรามีเป้าหมายคือนักร้อง ดารา เราอยากแบบได้ไปแลกเปลี่ยนแล้วแบบ พอแลกเปลี่ยนแล้วแบบ ได้ไปทำงานที่ ตปท โอ้ยยย อยากไป
โห่ยอยากไปบ้าง แต่คงไม่ทันละ 5555
ผมอยากบอกว่า............ ผมกำลังแลกเปลี่ยนเมืองนี้พอดีเลยยยยยยย
โห คุณยายท่านอายุพอๆกับคุณยายที่บ้านเราเลยครัช แต่คุณยายฝรั่งท่านนี้ แลดูแข็งแรง แถมยังสวยอีกอ่าา