อยากไปเรียนต่อเมืองนอก แต่ไม่รู้อะไรเลย จะทำยังไงดี?

       สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เข้าปี 2015 หลายคนคงอยากลงมือทำอะไรใหม่ๆ รวมถึงน้องๆ หลายคนก็เริ่มวางแผนหาทางไปเรียนต่อต่างประเทศกันด้วย แต่คำถามยอดฮิตที่ พี่เป้ ถูกถามบ่อยมากคือ จะเริ่มต้นยังไงดี ไม่รู้ว่าควรทำอะไรก่อน....วันนี้จะบอกให้ฟังนะ



รู้ตัวเองว่า เก่งภาษาพอที่จะไปเรียนต่อหรือเปล่า?

       เป็นสิ่งแรกที่น้องต้องพิจารณาเลยล่ะค่ะว่า ภาษาเราพร้อมในระดับที่จะไปใช้ชีวิตต่างประเทศมั้ย พร้อมที่จะเรียนเป็นภาษาอังกฤษ(หรือภาษาอื่นๆ)หรือเปล่า ถ้ายังไม่เก่ง ก็ไปหาเรียนเพิ่มก่อนเลย ....และถ้าถามว่า แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าภาษาเราโอเคมั้ย? ส่วนตัวพี่มองว่า ให้น้องลองเปิดพวกสารคดีภาษาต่างประเทศดูค่ะ ถ้าเราดูแล้วเข้าใจที่เค้าพูด 60% ขึ้นไป ถือว่าผ่านมาตรฐานละ มีแววว่าจะไปเรียนต่างประเทศได้ ห้ามคิดว่า ไม่เก่งไม่เป็นไร เดี๋ยวไปฝึกเอาที่นั่นได้ อย่าลืมว่าภาษาที่เรียนในห้องกับภาษาที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันมันคนละแบบนะคะ...อยู่นอกห้อง อาจจะพูดอะไรสบายๆ ศัพท์คุ้นเคยง่ายๆ แต่พอเข้าไปเรียนในห้องนี่ถ้าฟังไม่รู้เรื่องคือจบเลย

       เคยเจอน้องมาสอบถามว่า อยากเรียนมหาวิทยาลัยนี้มาก แต่อ่านระเบียบการไม่เข้าใจ อ่านไม่ออก พี่ช่วยอ่านแล้วแปลให้หน่อยได้มั้ยคะ ... อันนี้ตกรอบแรกเลยค่ะ การอ่านระเบียบการของมหาวิทยาลัยก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ใช้คัดเบื้องต้นได้เหมือนกันนะว่า ภาษาเราโอเคมั้ย


รู้ตัวเองว่า อยากเรียนสาขาอะไร?

       ไม่ต่างจากแอดมิชชั่นเข้ามหาวิทยาลัยที่ไทยค่ะ สิ่งที่ควรรู้เป็นอันดับต้นๆ คือ รู้ตัวเองว่าอยากเรียนคณะอะไร สาขาอะไร ของเมืองนอกนี่อาจต้องเลือกสาขาตั้งแต่ตอนสมัครเลย (ของไทยบางที่ค่อยเลือกสาขาหลังจากเข้าไปแล้ว) ดังนั้นน้องต้องรู้แบบเฉพาะเจาะจงเลย เช่น อยากเรียนเคมี อยากเรียนวิศวะการแพทย์ อยากเรียนการสร้างภาพยนตร์ 


รู้ตัวเองว่ามีงบเท่าไหร่?

       เป็นอีกข้อเลยที่เป็นปัจจัยหลักค่ะ พูดตรงๆ คือถ้ามีงบน้อย ก็อาจจะมีตัวเลือกที่น้อยลง อันนี้ต้องปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ดูค่ะว่า ต่อปี พอจะจ่ายไหวแบบเต็มที่เลยเท่าไหร่? ถ้า 1 ล้านบาทนี่ก็จะมีตัวเลือกเยอะเลย ไปยุโรปกับอเมริกาน่าจะพอไหว แต่ถ้าลดลงมาหลักแสน อาจจะได้ใกล้ๆ ละแวกนี้ เช่น เกาหลี ไต้หวัน จีน



เลือกเมือง เลือกประเทศ

       พอรู้สาขาที่อยากเรียนแล้ว รู้งบประมาณของตัวเองแล้ว คราวนี้มาถึงการเลือกประเทศค่ะ บางคนอยากไปประเทศใหญ่แบบอเมริกา ก็อาจจะมีรัฐหรือเมืองที่อยากไปอยู่แล้วในใจ เช่น ชอบอากาศหนาว ชอบหิมะ ก็ต้องนิวยอร์กไม่ก็บอสตันเลย หรือบางคนไม่ซีเรียสเรื่องประเทศ จะไปยุโรป อเมริกา หรือออสเตรเลียก็ได้ ก็อาจจะพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น อยากเรียนปริญญาโทแบบปีเดียวจบ ดังนั้นไปอังกฤษก็น่าจะเรียนจบเร็วที่สุด หรือ อยากเรียนด้านศิลปะ ถ้าไปเรียนที่อิตาลีหรือฝรั่งเศส ก็น่าจะดีไม่น้อย หรือ มีญาติอยู่ออสเตรเลีย ไปอยู่ใกล้ๆ ญาติก็คงดี มีคนช่วยดูแล หรือใครมีความชอบส่วนตัว เช่น ชอบดาราญี่ปุ่น ก็ไปญี่ปุ่นถึงจะฟินสิเนาะ


เลือกมหาวิทยาลัย

       ไปเรียนนอกทั้งที ก็ต้องเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในสาขานั้นๆ วิธีหาก็ง่ายมากค่ะ เช่น สมมติเลือกได้แล้วนะว่า อยากเรียนด้านทำภาพยนตร์ ที่นิวยอร์ก อเมริกา ก็เซิร์ชกูเกิลได้เลยว่า top movie course in newyork ขึ้นมาให้พรึบเลยค่ะ ก็ค่อยๆ ทยอยกดดูไปเรื่อยๆ ว่ามหาวิทยาลัยไหนมีหลักสูตรที่เราสนใจบ้าง เก็บไว้พิจารณาในใจซัก 5 ที่ 



อ่านเนื้อหาหลักสูตร-เงื่อนไขการรับเข้าเรียนอย่างละเอียด

       ในเว็บไซต์มหาวิทยาลัยมักลงข้อมูลไว้อย่างละเอียดยิบ ถ้าเป็นฟากอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย ไม่ต้องพูดถึงค่ะ ในเว็บเค้าลงไว้ละเอียดมากกก เผลอๆ บางเว็บมีระบบสอบถามแชทออนไลน์กับเจ้าหน้าที่ของสถาบันด้วย แต่ถ้าเป็นฟากจีนหรืออินเดีย เว็บไซต์เค้าจะไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ข้อมูลน้อยมาก ดังนั้นอาจจะใช้วิธีอีเมล์หรือโทรไปสอบถามน่าจะง่ายกว่า

       ถ้าเป็นหัวข้อหลักสูตรการเรียน มักจะอยู่ที่หมวดประมาณว่า Course , Program , Curriculum, Studying อะไรทำนองนี้ค่ะ ส่วนรายละเอียดการรับเข้าเรียน มักอยู่ที่หมวด Admission , International students , Prospective students น้องๆ สามารถกดเข้าไปอ่านได้เลย 



สอบถามเพิ่มเติมที่ตัวแทนในประเทศไทย

       กำลังพูดถึง Agency นั่นเองค่ะ ซึ่งก็คือบริษัทที่ส่งนักเรียนไทยไปเรียนต่อนอก หลายคนนิยมสมัครผ่าน Agency มากกว่าสมัครกับทางมหาวิทยาลัยโดยตรง เพราะ Agency สามารถให้คำแนะนำเพิ่มเติมได้ ทั้งการเลือกสถาบัน การเลือกเมือง การใช้ชีวิตในเมืองนั้นๆ การหาที่พัก รวมถึงจะช่วยเราจัดเตรียมเอกสารเพิ่มเติมแบบไม่คิดเงินเพิ่ม(เพราะเค้าได้ค่านายหน้าจากมหาวิทยาลัยนั่นเอง) วิธีเซิร์ชอาจจะสอบถามจากคนรอบตัวก็ได้ว่ามี Agency ไหนแนะนำมั้ย หรือสามารถลองเข้าไปดูได้ที่หน้าหลักคอลัมน์เรียนต่อนอก www.dek-d.com/studyabroad จะเห็นแบนเนอร์โฆษณาของ Agency ต่างๆ เยอะมากเป็นสิบๆ เจ้า เชื่อถือได้และมีคุณภาพดีแน่นอน น้องๆ ลองอาจติดต่อไปหลายๆ เจ้า ดูว่าเจ้าไหนให้คำแนะนำดีที่สุด พอใจที่ไหนก็เลือกใช้บริการที่นั่นเลย


เตรียมเอกสารสำหรับการสมัครให้พร้อม

       มาถึงขั้นนี้ หลังจากเรารู้ตัวเองหมดแล้วว่าอยากเรียนที่ไหน เมืองอะไร สาขาอะไร รวมถึงรู้วิธีการสมัครแล้ว ก็ถึงเวลาเตรียมตัวเอกสารค่ะ หลักๆ ที่ต้องใช้แน่นอนก็ไม่พ้น ผลสอบ TOEFL หรือ IELTS(เลือกสอบอย่างใดอย่างหนึ่ง) / เรียงความ หัวข้อหลักๆ ก็จะประมาณว่า ทำไมอยากเรียนสาขานี้(หรือตามที่มหาวิทยาลัยกำหนดหัวข้อมา) ....ก็เตรียมให้ครบ จะได้ไม่เสียเวลาค่ะ พอสมัครไปแล้ว ก็รอผลเลยว่าเค้าจะรับเรามั้ย ถ้าไม่มีอะไรติดขัด ก็เตรียมแพ็คกระเป๋าแล้วจองตั๋วเครื่องบินได้เลย

       

       ส่วนใครอยากหาทุนเรียนต่อนอก ก็อย่าลืมแวะเวียนเข้าไปใช้โปรแกรมค้นหาทุนเรียนต่อนอกของเว็บ Dek-D มีให้ใช้กันฟรีๆ อัพเดททุกสัปดาห์ คลิกที่ภาพข้างล่างได้เลยจ้า


เด็กดีดอทคอม :: 10 ภาษากายที่มีความหมายต่างกันทั่วโลก
พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

7 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
ImmaBQUEEN 29 ม.ค. 58 18:38 น. 2
อันนี้สำหรับคนที่เรียนจบหลักสูตรนานาชาติหรือเปล่าคะ? คนที่จบ ม.6 ธรรมดาคงไปเรียนต่อต่างประเทศเลยไม่ได้ใช่มั้ยคะ หนูอยากเรียนต่อเเพทย์ที่ต่างประเทศ...เเต่เท่าที่หาข้อมูลมา ไม่เห็นว่าจะมีมหาวัทยาลัยที่มีสอนแพทยศาสตร์เค้าให้นักเรียนที่ไม่มีผลสอบ A-Level เข้าได้เลย T^T เสียใจเสียใจเสียใจ
1
[ PaY ~ เป้ ] Member 29 ม.ค. 58 21:03 น. 2-1
ถ้าเป็นอังกฤษก็ตามนั้นค่ะ ไม่ก็ไปเรียน foundation courseก่อนปีนึง ไม่ใช่แค่แพทย์ แต่ทุกคณะที่อังกฤษกำหนดแบบนี้ค่ะ
0
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
abcd 18 ก.พ. 58 08:12 น. 4
นิวยอร์กหรือบอสตันเลย จริงๆน่าจะเขียนแบ่งเป็นโซน มากกว่านะคะ เช่น north or northeast เพราะโอเรกอนก็หนาว วอชิงตัน ซ/น ดาโกต้า ก็หนาวเหมือนกัน ฯลฯ ขอบคุณค่ะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด