สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และสกู๊ปพิเศษ A day in life ที่ที่จะพาน้องๆ ไปตามติดหนึ่งวันชีวิตการทำงานของอาชีพในฝัน มาดูดีกว่าว่าคราวนี้ เป็นอาชีพอะไรนะ
หนึ่งอาชีพที่เป็นอาชีพในฝันของเด็กไทยคือ "ครู" ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป ถ้ามีทำโพลอาชีพในฝันเมื่อไหร่ อาชีพครูติดอันดับท็อปๆ ตลอดเลยค่ะ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะไปบุก โรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังย่านฝั่งธน เพื่อตามติดชีวิตของอาจารย์ท่านหนึ่งว่า ในหนึ่งวัน อาชีพครูต้องทำอะไรบ้าง?? ถ้าอยากรู้ก็ตามมาเลย
ชลทิพย์ บุนรังศรี(ปลื้ม)
มัธยมศึกษา : โรงเรียนสตรีอัปสรสวรรค์
ปริญญาตรี : คณะครุศาสตร์
สาขาการสอนสังคม
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปริญญาโท : วิทยาลัยการจัดการ
สาขาการจัดการทรัพยากรบุคคล
มหาวิทยาลัยมหิดล
ปัจจุบัน : อาจารย์ประจำหมวดสังคมศึกษา
โรงเรียนศึกษานารี
เรามีนัดกันตั้งแต่เช้าที่โรงเรียนศึกษานารี(พี่เองก็จบที่นี่ล่ะ) กับอาจารย์ชลทิพย์ หรือ ครูปลื้ม^^ โดยครูปลื้มเป็นครูประจำหมวดสังคมศึกษา สอนวิชาประวัติศาสตร์ไทย และวิชาศาสนาเปรียบเทียบ นอกจากนี้ก็ยังเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนักเรียนชั้น ม.4/8 ด้วยค่ะ
ครูปลื้มเล่าว่า ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ต่างก็เป็นครูเหมือนกัน จึงรู้สึกคุ้นเคยกับการรับราชการครู แถมส่วนตัวก็ชอบเรียนวิชาสังคมอยู่แล้ว ตอนแอดมิชชั่นก็เลยเลือกครุศาสตร์เป็นอันดับ 1 เลย
การเรียนในคณะครุศาสตร์จะใช้เวลา ทั้งหมด 5 ปี โดยในปี 5 จะต้องออกไปฝึกสอน ตลอดทั้งปี ครูปลื้มได้ไปสอนสังคมที่โรงเรียน สาธิตฯ จุฬาฯ ในสัปดาห์หนึ่งก็จะได้สอน ประมาณ 8 คาบ โดยจะมีครูพี่เลี้ยงคอยดูแล ประกบตลอดเวลาที่ทำการสอน ซึ่งในช่วงที่ ทำการฝึกสอนเนี่ยแหละ ครูปลื้มก็เริ่มรู้สึกว่า การควบคุมเด็กไม่ง่ายอย่างที่คิด! ความยากของการเป็นครูคือ จะพูดยังไงเพื่อที่จะจูงใจ ให้เด็กเชื่อฟังเราได้ ถ้าเด็กดื้อหรือซน จะทำยังไงให้เค้าหันมาสนใจเรียน (นั่นสินะ) นี่คือความยากที่เจอ
หลังเรียนจบปี 5 จะได้ "ใบประกอบวิชาชีพครู" ซึ่งหากใครจบหลักสูตรเรียนครู 5 ปี ก็จะได้ใบนี้มาครอบครองโดยอัตโนมัติ (หากจบคณะอื่น ก็ต้องไปสอบกันเองนะ) และ 70% ของคนที่เรียนจบครู ก็เลือกที่จะเป็นครูกันแทบทั้งนั้น ครูปลื้มได้สมัครเป็น "ครูอัตราจ้าง" สอนสังคมที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (ครูอัตราจ้างจะสมัครเข้าทำงานกับทางโรงเรียน โดยตรงเมื่อโรงเรียนเปิดรับสมัคร ไม่ได้ผ่านการสอบตามระบบราชการ) โดยการพิจารณาเพื่อรับเข้าสอนก็จะคล้ายๆ กับการสมัครงานตามบริษัท คือดูเกรดเฉลี่ย ดูประวัติ มีการพูดคุย สัมภาษณ์ ทดลองสอนให้ดู ครูปลื้มได้สอนอยู่ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาประมาณ 1 ปีครึ่ง ก่อนจะลาออกมา
จากนั้นก็ถึงเวลาของการ "สอบบรรจุเพื่อรับราชการเป็นครู" โดยจะเป็นการสอบเจาะลึกถึงเนื้อหาของวิชาเอกที่เรียนจบมา อย่างครูปลื้มก็สอบวิชาสังคม เมื่อสอบผ่านจะมีขั้นตอนประมาณนี้
ทางโรงเรียนต่างๆ จะแจ้งมายังสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ว่าต้องการครูหมวดใดเพิ่มบ้าง
สมมติในเขตที่ไปสอบ มี 5 โรงเรียนยื่นความจำนงมาว่าต้องการครู 5 คน ทาง สพฐ. ก็จะเรียกตัวผู้ที่สอบได้ 5 อันดับแรกมา โดยคนที่สอบได้ที่ 1 ก็จะได้เลือกโรงเรียน ก่อนว่าอยากไปโรงเรียนไหน ไล่ลงมาเรื่อยๆ สมมติเราได้ที่ 5 แต่ดันเหลือโรงเรียนที่เราไม่ค่อยสะดวกที่จะไปสอน เราก็ต้องรอสอบใหม่เลย ไม่มีการนำโรงเรียนอื่นๆ มาให้เลือกนะจ๊ะ (เหมือนต้องแอบพึ่งดวงด้วยนิดนึง)
ส่วนอันดับอื่นๆ ที่ยังไม่ถูกเรียกตัว ก็จะอยู่ในสถานะ "รอเรียก" จะมีการเรียกเป็นรอบๆ โดยคะแนนสอบเก็บไว้ได้ 2 ปี หากภายใน 2 ปีไม่ถูกเรียกตัว ก็ต้องสอบใหม่
ส่วนครูปลื้มถูกเรียกตัวในรอบที่ 2 และเลือกได้โรงเรียนศึกษานารี
ในการทำงาน 2 ปีแรก จะอยู่ในตำแหน่งครูผู้ช่วย เมื่อครบ 2 ปี จะมีการประเมินการสอน หากผ่าน ก็จะได้เลื่อนขึ้นเป็นครูและบุคลากรทางการศึกษา 1 หรือ ครู คศ.1 และจะมีการเลื่อนขึ้นเรื่อยๆ ตามผลงานจนถึง ครู คศ.5
สำหรับ "วิชาที่จะได้สอน" นั้น หลักๆ ก็จะดูว่า ขาดครูหรืออาจารย์ในวิชาใด เราก็จะได้สอนวิชานั้นๆ เพราะตามหลักการแล้ว หากเรียนจบเอกการสอนสังคมมา ก็จะสอนได้ทุกวิชาที่เกี่ยวข้องกับสังคมศึกษาอยู่แล้ว ส่วนในปีการศึกษา 2559 ครูปลื้มรับหน้าที่สอน 2 วิชาคือ ประวัติศาสตร์ไทย และ ศาสนาเปรียบเทียบ ของระดับชั้นมัธยมปลาย
หน้าที่ใน 1 วันของครูปลื้ม เริ่มต้นที่การมาถึงโรงเรียนประมาณ 7 โมงเช้า ในบางวันจะมีเวรเป็นครูประจำที่ประตูหน้าโรงเรียนเพื่อตรวจความเรียบร้อยของนักเรียนที่เพิ่งมาถึง
โรงเรียนจะเรียกนักเรียนเข้าแถวตอนประมาณ 7.30 น. พอเข้าแถวเสร็จ ก็จะมีการโฮมรูมกันเล็กน้อย สำหรับวันนี้ ครูปลื้มมีสอน 4 คาบ คือ คาบเช้า 2 คาบ คาบบ่าย 1 คาบ และคาบประชุมระดับ ม.4 อีก 1 คาบ ส่วนคาบไหนที่ไม่มีสอน ก็จะเตรียมการสอนไปเรื่อยๆ
หน้าที่ทุกๆ วัน ก็จะคล้ายๆ ประมาณนี้ ถึงแม้จะไม่ได้หวือหวามาก แต่ถือเป็นงานไม่มี ความกดดัน ไม่มีการแข่งขันให้เครียด นี่คือหนึ่งในเสน่ห์ของอาชีพครู
เรื่องหนึ่งที่หลายคนสงสัยมากคือ "เงินเดือน" หากเป็นครูที่บรรจุในระบบราชการ ตอนนี้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาท เงินเดือนจะขึ้นทุกปี ปีละประมาณ 1,000- 2,000 บาท ส่วนครูตามโรงเรียนเอกชน อาจได้เริ่มต้นที่ 20,000 บาทขึ้นไป แต่อย่าลืมว่า หากเป็นครูในระบบราชการ ก็จะได้รับสวัสดิการต่างๆ เหมือนข้าราชการนั่นเอง ตอนเกษียณก็ได้เงินบำนาญด้วย
ครูปลื้มบอกว่า ส่วนมากคนที่เป็นครูในระบบราชการ ก็จะชินกับชีวิตในโรงเรียน คือวันๆ หนึ่งแทบไม่ต้องใช้เงินอะไรมากมาย อาหารโรงเรียนก็จานละ 20-25 บาท บางวันใช้เงินแค่ 60-70 บาทก็เพียงพอ เสื้อผ้าก็ไม่จำเป็นต้องซื้อตามแฟชั่น ดังนั้นด้วยหน้าที่งานต่างๆ จะทำให้ครูส่วนมากไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอะไรมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว เงินเดือนระดับนี้ถือว่าพอใช้สบายๆ
อีกคำถามที่หลายคนอยากรู้คือ ปิดเทอม ต้องมาทำงานมั้ย? หากเป็นปิดเทอมเล็กช่วงเดือนตุลาคม ครูจะได้หยุดประมาณ 2 สัปดาห์ ส่วนปิดเทอมใหญ่จะทำงานถึง 30 มีนาคม จากนั้นจะได้หยุดแทบทั้งเดือนในเดือนเมษายน พอเข้าเดือนพฤษภาคมก็ต้องเริ่มมาทำงานบ้าง เช่น เตรียมการสอน ทำความสะอาดห้อง เพื่อเตรียมต้อนรับเปิดเทอม ซึ่งในช่วงที่หยุดนั้นก็ได้เงินเดือนตามปกติด้วยนะ
เอาใจใส่และมีความห่วงใยนักเรียน ในวันๆ หนึ่งนักเรียนอยู่โรงเรียนนานพอๆ กับอยู่บ้าน ครูจึงแทบจะเหมือนแม่อีกคน เวลาเด็กมีปัญหาอะไร ก็จะนึกถึงเราเป็นคนแรก "ครูคะ หนูโดนน้ำร้อนลวก ครูพกยาสีฟันมั้ย?" "ครูคะ เพื่อนทะเลาะกัน ไปดูให้หน่อย" แถมสมัยนี้เด็กก็กล้าพูดคุยกล้าสนิทกับครูมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ดังนั้นเด็กๆ จะไลน์มาปรึกษานั่นนี่บ่อยมาก เราจึงต้องพร้อมที่จะดูแลและติดตามนักเรียนของเราอยู่เสมอ
อัพเดตข้อมูลใหม่ๆ เพื่อให้ทันเด็กยุคใหม่ ให้ทันสังคม จะได้คุยกับเด็กรู้เรื่อง มีลูกล่อลูกชนให้เด็กสนใจในสิ่งที่เราจะสอน
ตรงต่อเวลา เพราะงานต่างๆ จะเป็นตารางเวลาที่กำหนดไว้แล้ว เช่น เข้าสอนตอน 10.20 น. ก็ต้องตรงเวลาตามนั้น ไม่ควรสาย
พร้อมที่จะสอนหรือปรับความคิดให้นักเรียนคิดเป็น เช่น เห็นเด็กเล่นโทรศัพท์มือถือ ระหว่างที่กำลังสอน เราจะพูดยังไงให้เด็กคิดได้ ให้เขาหันกลับมาสนใจสิ่งที่ครูพูด
พร้อมที่จะพัฒนาตัวเอง ครูปลื้มบอกว่า แต่ก่อนครูปลื้มเป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง แค่ออกไปยืนพูดหน้าห้องก็เหงื่อแตกแล้ว แต่เมื่อใจรักในอาชีพนี้ ก็ต้องปรับตัวเป็นการใหญ่ จนมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าพูดหน้าชั้นในฐานะครูได้อย่างไม่ตื่นเต้นอีกแล้ว
ปิดท้ายด้วยการถามครูปลื้มว่า อะไรคือเสน่ห์ของอาชีพครู? ครูปลื้มตอบว่า "นักเรียน" โดยเฉพาะเด็กๆ ในวัยมัธยมเป็นวัยที่กำลังน่ารักสดใส เด็กทุกคนจะมีความน่ารักในตัวเอง เวลาเห็นแล้วทำให้เรารู้สึกสดชื่น อยากจะสอนเขา และพอเวลาผ่านไป เราจะเห็นการ เปลี่ยนแปลง เห็นการพัฒนาของนักเรียนที่เราสอน เห็นเขาประสบความสำเร็จหรือได้ดี ครูอย่างเราจะยิ่งรู้สึกภูมิใจมากๆ เลย
เป็นยังไงบ้างคะ A day in life of Teacher หลายคนคงเข้าใจถึงบทบาทอาชีพครู มากขึ้น แม้จะดูเป็นงานที่ไม่มีความซับซ้อนและคนส่วนมากก็มองออกว่าครูมีหน้าที่อะไร แต่พอได้ไปสัมผัสเองจริงๆ ก็รู้สึกว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติมากและต้องทุ่มเทเวลาให้กับ นักเรียนมากจริงๆ ทางเว็บไซต์์ Dek-D.com ต้องขอขอบพระคุณทางโรงเรียนศึกษานารี และอาจารย์ชลทิพย์ บุนรังศรี ที่ให้โอกาสทีมงานได้เข้าไปถ่ายทำภายในโรงเรียน ส่วนตอนหน้า A day in life จะพาไปติดตามชีวิตใน 1 วันของอาชีพอะไร ต้องรอติดตามจ้า
48 ความคิดเห็น
ผมก็แอดครูไป 4 อันดับเรามีความฝัน อยากเป็นครู เพราะชอบสอนเด็ก รู้สึกว่าถ้าสังคมมีคนอยากเป็นครูเยอะๆก็ดี เราถือคติที่ว่าครูดี 1 คนเปลี่ยนชีวิตเด็กไดัเป็นหมื่น เพราะฉะนันไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ผมจะไม่รักอาชีพนี้..... hamezazaza@gmail.com
เคยเรียนกับครูปลื้ม ตอนที่ครูปลื้มสอนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาค่ะ
ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นน่าจะเรียนชั้นม. 5
คุณครูน่ารักมาก ๆ ใจเย็น ใจดี และเป็นกันเอง ใจเย็นเสียจนเวลาเราดื้อ หรือเกเร เราจะรู้สึกเกรงใจครูปลื้มเอง โดยที่ครูปลื้มยังไม่ทันตำหนิเลย
ตอนเรียนกับครูสนุกและก็ตลกมาด้วย 5555
ครูปลื้มน่ารักมากค่ะเป็นครูที่ปรึกษาเราตอนม.4 ครูปลื้มใจดีไม่ดุ มีเหตุผลในการพูดกับนักเรียนทุกคน เป็นเหมือนพี่สาว มีไรปรึกษาครูปลื้มได้ทุกเรือ่งค่ะ จริงตอนนี้ก็ดูครุศาสตร์ไว้เหมือนกันค่ะ เอกสังคม เหมอืนครูปลื้มเลย
ผมแอดครูสี่อันดับเลยครับ 55 ผมว่าอาชีพนี้เหมือนจะง่าย แต่ก็ไม่ง่ายเลยครับ การที่เราต้องสอนเด็กหลายสิบคนในเวลาเดียวกัน ถ้าเราถ่ายทอดความรู้ผิดไปนิดเดียว นิดเดียวที่ผิดของเรา เท่ากับทั้งชีวิตของเด็กหลายสิบคนนั้นเลย ครูที่รร.เคยถามผมว่า สอบได้คะแนนน้อยขนาดนี้ จะเป็นครูได้หรอ ผมก็ตอบไปว่า แค่เป็นครูเอง ทำไมต้องเก่งขนาดนั้น โดนตอบกลับมาว่า "ก่อนที่จะสอนคนอื่นได้ เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ไม่ใช่แค่รอดแบบหวุดหวิด แต่ต้องมั่นใจว่าเรารู้จริง อธิบายได้ " บอกตรงๆว่าประโยคนี้ทำให้ผมอ่านหนังสือแบบข้ามวันข้ามคืนเลย killerkater46@gmail.com
คืออยากเป็นครูภาษาอังกฤษนะค่ะ แต่ก็สงสัยว่าเป็นครูนี่ต้องทำอะไรบ้าง มีการสอบอะไร พอมาอ่านถึงจะคนละเอกวิชาสอนนะค่ะ แต่พออ่านแล้วเข้าใจหายสงสัยเลยค่ะ มีความมั่นใจในการที่จะสอบเป็นครูมากขึ้นค่ะ
dow_pp@hotmail.co.th
ตอนนี้ก็อยากเป็นครูค่ะ อีกสามปี จะเข้าครูให้ได้! รู้สึกว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติ เป็นเหมือนกับพ่อแม่คนที่สอง ทุกวันนี้เจอหน้าครูบ่อยกว่าพ่อแม่อีกค่ะ5555 เห็นครูแต่ละท่านตั้งใจถ่ายทอดความรู้ให้นักเรียน เพื่อให้มีอนาคตดีดี เลยคิดอยากเป็นครู เพราะอยากช่วยให้เด็กๆได้ประสบความสำเร็จ ได้ทำตามความฝัน Mei.mei.jiong@gmail.com
เราอยากเป็นครูมาตั้งแต่เด็กๆ เหมือนตอนนั้นเราคิดได้แค่ว่า เราอยากจะเล่นกับเด็ก และครูยังได้ตีเด็กด้วย เราก็เลยอยากเป็นครูตลอดมา แต่แล้วพอเราเริ่มโตขึ้น แล้วก็อาเราเป็นครูก็เลยมีโอกาสไปช่วยอาบ้างบางครั้ง ช่วงซัมเมอร์ ทำให้เราเปลี่ยนความคิดไป ว่าาคนเป็นครูไม่ได้มีหน้าที่เเค่ดูแลเด็ก แต่ต้องทำหน้าที่เป็น "พ่อและแม่" ของเด็กด้วย และคนเป็นครูไม่ใช้ทำหน้าที่แค่แปดโมงเช้าจนโรงเรียนเลิก แต่ต้องทำงานไปตลอด24ชั่วโมงเลยและครูยังต้องเป็นบุคคลที่มีความพร้อมและความทุ่มเท ที่จะทำให้ชีวิตของเด็กคนหนึ่งเดินไปในทางที่ถูกต้องอีกด้วย
ตอนนี้ เป็นนักศึกษาครูปี4 บอกได้เลยว่า ไม่ใช่ใครก็เป็นครูได้ ต้องหล่อหลอมมาตลอดระยะเวลา5ปี ทั้งจิตใจ ความรู้ เทคนิคการสอน กระบวนการทางวิชาการ ฉะนั้นความมุ่งหวังอยากจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็ก ไม่ใช่เพียงแค่สอนหนังสือให้ความรู้ แต่มันคือทุกอย่าง เด็กนักเรียนจะมองครูเป็นเหมือนต้นแบบดังคำว่าแม่พิมพ์จริงๆ อยากให้น้องๆม.ปลายที่อยากจะเข้าคณะสายครูที่อยากเป็นครูได้ลองสำรวจตัวเอง ถ้าชอบ ถ้าคิดว่าใช่ เราจะเป็นคนวางรากฐานที่ดีให้กับเด็กเอง
อ่านกระทู้แล้วรู้สึกมีความมั่นใจในตัวเองมากๆเลยค่ะ^^เพราะคิดไม่ผิดเลยจิงๆที่อยากจะเรียนครู เพราะเราเองก็อยากเป็นครูมาตั้งแต่ป.1