12 คำคมสร้างแรงบันดาลใจ สำหรับคนที่อยากออกไปเจอโลกกว้าง!

        มีน้องๆ ชาวเด็กดีคนไหนกลัวการไปเรียนต่อต่างประเทศบ้างคะ? แบบว่าได้ทุนแล้วอยากจะขอสละสิทธิ์เหลือเกิน ใจเต้นไปหมด ไม่อยากอยู่ห่างพ่อแม่ ติดบ้าน กลัวนั่นกลัวนี่ ไม่กล้าไปคนเดียว บางคนกลัวจนถึงขั้นไม่กล้าสมัคร ทั้งๆ ที่ความสามารถถึง
        มานี่มา มาให้ "พี่น้อง" ล้างสมองซะดีๆ ถ้าเราไม่อยากทิ้งโอกาสดีๆ ในชีวิตไป ต้องอ่านข้อคิดจากคำคมของคนดังเหล่านี้ที่จะทำให้เรารู้ว่า "ชีวิตมันคือการเดินทาง" ค่ะ
        ยังมีอะไรอีกมากที่รอเราอยู่ ทั้งในประเทศไทยก็ดี ในต่างประเทศก็ดี เหลือแ่ค่เราจะออกไปสำรวจมันเมื่อไรเท่านั้น
 
        หลายคนอาจสงสัย อะไรคือ "เขตปลอดภัย" มันก็คือ Comfort Zone (คอมฟอร์ต โซน) นั่นเองค่ะ เจ้าเขตปลอดภัยนี้คือสภาวะที่เราอยู่แล้วรู้สึกสบายใจ ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงไปทางอื่น เช่น เราอาจชินกับการอยู่บ้าน รู้สึกปลอดภัย จึงไม่อยากไปเรียนมหาวิทยาลัยไกลๆ เพราะกลัวการไปอยู่หอ แบบนี้เรียกว่าเราไม่กล้าออกจากคอมฟอร์ต โซนนั่นเอง
        การอยู่ในที่เดิมที่เรารู้สึกอุ่นใจมันดีก็จริง แต่จะทำให้เราพลาดโอกาสหรือพลาดเรื่องราวดีๆ ไปอีกเยอะเลย อย่างที่คุณวอลช์บอก ลองก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนของเรา แล้วไปบุกป่าฝ่าดงดูบ้าง อาจทำให้เรามองโลกเปลี่ยนไปเลยก็ได้นะ
 
        เราทุกคนมักมีสมมติฐานขั้นต้นต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว เราได้ยินมาว่าคนจีนเป็นชาติที่โล้งเล้งโช้งเช้ง เราได้ยินมาว่าคนเยอรมันเป็นคนเกรี้ยวกราด เราได้ยินว่าคนอังกฤษถือตัว แต่เราไม่มีทางรู้ได้หรอกว่าเรื่องที่เรา "ได้ยินมา" มันจริงหรือเปล่า จนกว่าเราจะได้ไปสัมผัสคนของประเทศนั้นๆ ด้วยตัวเราเอง
 
        การไปเรียนต่อต่างประเทศ แน่นอนว่าเราต้องใช้ชีวิตลำบากกว่าเดิม เพราะต่างที่ต่างวัฒนธรรม มีอะไรอีกมากที่เราต้องปรับตัว เรียนรู้ไปกับมันและอยู่ร่วมกับคนต่างเชื้อชาติให้ได้ แต่ข้อความนี้ก็ยังมีนัยแฝงอยู่นะคะว่าเมื่อไรก็ตามที่เราคุ้นชินกับชีวิตในต่างแดนแล้ว ก็ถือว่าเราได้กลายเป็นคนของประเทศนั้นแล้วนั่นเอง
 
        เป้าหมายสำคัญของน้องๆ หลายคนที่อยากไปเรียนต่อคืออยากได้ "ภาษา" อยากพูดอังกฤษหรือภาษาที่สามได้เก่งๆ แต่น้องๆ รู้หรือเปล่าคะว่าการเรียนรู้ภาษาของคนอื่นมันเหมือนเป็นการเรียนรู้วัฒนธรรมและชีวิตของเจ้าของภาษานั้นๆ ด้วย
        ถ้าใครเรียนภาษาญี่ปุ่นมาบ้างคงเข้าใจว่าหลักไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่นจะมีเรื่องของคนนอก-คนใน รูปประโยคแบบไหนที่ใช้พูดกับคนในครอบครัวเราเอง รูปประโยคแบบไหนที่ใช้พูดกับคนนอก ทั้งหมดทั้งมวลนี้ขอให้มองย้อนกลับไปที่คนญี่ปุ่นค่ะ เขาเป็นชาติที่ระมัดระวังเรื่องความเป็นส่วนตัวมากเลยใช่มั้ยคะ แทบไม่เล่นเฟซบุ๊ก เพราะรู้สึกว่ามันสาธารณะเกินไป เวลาจะพูดจะทำอะไรก็ต้องคอยระวังไม่ให้ล้ำเส้นคนอื่น
        แค่ลองเปลี่ยนภาษาที่ใช้อยู่ทุกวัน อาจทำให้เราเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างในโลกใบนี้มากขึ้นก็ได้ค่ะ
 
        เข้าใจว่าเราโง่ แค่นี้ก็หลงหรือเปล่า? ไม่ใช่ค่ะ ก็เหมือนกับที่มีคนพูดว่าในความมืดเราจึงได้เห็นแสงสว่าง (ก็ถ้ามันสว่าง เราก็คงไม่ต้องหาแสงเพิ่มเนอะ) กรณีนี้ก็เหมือนกันค่ะ
        ยามที่เราหลงทาง สับสน ท้อแท้กับชีวิต เปรียบเหมือนกับการเดินทางไปแล้วดันหลง หาทางไปต่อไม่ได้ เราจะรู้สึกเคว้งคว้างเหมือนดาวเทียมที่โดนปล่อยให้โคจรอยู่นอกชั้นบรรยากาศของโลก แต่ข้อดีก็คือ เราได้มีเวลาอยู่กับตัวเองและครุ่นคิดถึงสิ่งที่เราทำลงไป สิ่งที่เรายังไม่ได้ทำ และสิ่งที่เรากำลังจะทำ
        เมื่อเราลองไปเรียนต่อต่างประเทศ เราอาจได้สัมผัสประสบการณ์ "หลง" ทั้งแบบทางตรงและทางอ้อม แต่การ "หลง" จะให้บทเรียนที่สำคัญกับตัวเราเองเสมอค่ะ (หลงแฟนก็ด้วย)
 
        ทำไมต้องไป? หาเรื่องเสียตังค์เหรอ? ไม่ใช่คะ การเดินทางจะให้บทเรียนกับเราค่ะ อย่างที่บอกว่าแม้แต่การหลงยังทำให้เราได้มองย้อนกลับมาดูตัวเองเลย ท่านดาไลลามะถึงได้บอกว่าสักครั้งในหนึ่งปี ลองเปลี่ยนบรรยากาศออกไปดูโลกภายนอกบ้าง สิ่งใหม่ๆ กำลังรอเราอยู่ไงคะ
 
        เพราะการออกเดินทางคือการหาประสบการณ์ใหม่ สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าเราจะไปเรียนต่อที่ประเทศอะไร แต่เราจะได้อะไรจากการไปเรียนที่ประเทศนั้นต่างหาก ต่อให้น้องได้ทุนไปเรียนที่ประเทศที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนแถวตอนใต้ของแอฟริกา พี่น้องก็เชื่อว่าเราจะได้มุมมองใหม่ๆ และเรื่องราวดีๆ กลับมาเล่าให้เพื่อนๆ ในเว็บเด็กดีได้ฟังอีกหลายกระทู้แน่นอนค่ะ
 
        หนังสือให้ความรู้กับเราก็จริง แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือทำ จะรอให้คนมาบอกเราว่าภาษาอังกฤษต้องพูดอย่างนั้นต้องใช้อย่างนี้ทำไมล่ะคะ? เราก็ไปเรียนภาษาอังกฤษที่อเมริกาซะเลย พิสูจน์กันไปเลยว่าที่คุณครูสอนเรามาจริงมั้ย จะได้ใช้หรือเปล่า
        การอ่านหนังสือเป็นการรับสารข้างเดียว อยากเป็นประธานของประโยค อยากเป็นนักแสดงนำ เราต้องออกไปสัมผัสโลกจริงๆ ค่ะ
 
        ข้อความนี้จริงๆ ยาวกว่านี้ค่ะ แต่ถ้าใส่หมด ภาพจะไม่อินดี้พอนะคะ
        คุณแพรตเชตเขาต้องการสื่อว่าเราอยู่ที่เดิมมานาน เราก็มองมันในมุมเดิมๆ ทำอะไรเดิมๆ ถ้ามันมีปัญหา เราก็จะจมอยู่กับปัญหานั้น หาทางออกไม่ค่อยได้ แต่ลองเราออกจากที่เดิมๆ ของเรา ออกจากบ้านที่มีเตียงอุ่นๆ แล้วไปนอนกลางป่าดูบ้าง ออกจากโรงเรียนที่มีเพื่อนสนิท แล้วไปเรียนต่อในต่างประเทศที่มีแต่คนพูดคนละภาษากับเราดูบ้าง
        แล้วเมื่อเรากลับมา เราจะมอง "ที่เดิมๆ" ของเราใหม่ พี่ยืนยันเลยค่ะ ขนาดพี่ไปทริปเกาหลีกับเด็กดีแค่สามวัน อุณหภูมิต่ำสุดลบสามสิบ กลับมาเมืองไทยปุ๊บ แดดเมืองไทยดูเป็นมิตรขึ้นมาทันทีเลยค่ะ
 
        อันนี้ไม่ได้หมายความว่าให้ไปบุกรุกบ้านใครแล้วทิ้งรอยเท้าไว้ให้ตำรวจไล่ล่านะคะ ความหมายจริงๆ คือ ให้เราลอง "บุกเบิก" ดูบ้าง ใครๆ ก็ไปเรียนต่ออเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น โอ้ย เส้นทางนี้แทบจะปูพรมให้ไปกันอยู่แล้ว
        เราอินดี้กว่า ก็ไปอูกันดาเลยค่ะ (แต่หาทุนยากนิดนึงนะ) น้องๆ อาจจะคิดในใจว่า "พี่คะ หนูไปประเทศที่คนไม่รู้จักแล้วหนูจะได้อะไรล่ะ ภาษาหนูก็ไม่ได้ ข้อมูลก็ไม่ค่อยมี" อ่ะ ถ้าคิดแบบนั้น แปลว่าเรายังมองการไปเรียนต่อผิดไปค่ะ
        จะไปเรียนต่อที่ไหน ระยะเวลาเท่าใด ล้วนมีค่าเหมือนกันหมด เราได้ประสบการณ์ที่เราไม่มีทางได้ถ้าเรายังอยู่ในไทย เราได้ความรู้ความเข้าใจในวัฒนธรรมใหม่ เราได้รู้จักกับคนอีกซีกโลกหนึ่งที่เขาอาจจะมีเรื่องราวน่าสนใจ ชีวิตเขาอาจจะแย่กว่าเราหรือดีกว่าเรา ใครจะไปรู้ ที่ประเทศอันไกลโพ้นอาจมีระบบการเรียนการสอนที่ดีเสียจนเราคาดไม่ถึงก็ได้
 
        อันนี้ตรงมากๆ น้องๆ ที่อายุน้อยอาจจะยังไม่เข้าใจ ขนาดพี่อายุแค่ยี่สิบกลางๆ พี่ยังรู้สึกเสียดายหลายสิ่งที่พี่ไม่ได้ทำตอนที่ยังเด็กอยู่ หนึ่งในนั้นคือการสอบชิงทุน AFS ค่ะ
        ตอนเรายังเด็ก (โดยเฉพาะม.ปลายนี่กำลังดีเลย) มีทุนมากมายรอให้เราไปสอบ จ่ายเงินนิดหน่อยหรือไม่ต้องจ่ายเลยก็ได้ไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศเป็นปีแล้ว ใครไม่อยากไปนานก็มีแบบไประยะสั้น สองอาทิตย์ สามเดือน สี่วัน โชคดีกว่านี้มีอีกมั้ยอ่ะ เลือกได้ด้วยว่าจะไปประเทศไหนดี (แต่จะได้ประเทศที่เลือกหรือเปล่าก็อีกเรื่อง)
        ถ้าย้อนกลับไปได้พี่จะไล่สอบเก็บทุนทุกตัวที่แจกให้เด็กม.ปลาย ขอไปประเทศไกลๆ หน่อยอย่างฟินแลนด์แดนปลอดอาชญากรรม หรือนิวซีแลนด์แผ่นดินที่มีแกะมากกว่าหญ้างี้ ต้องได้สักประเทศสิน่า!
        ดังนั้นใครที่กำลังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ แล้วยังลังเลอยู่ ขอให้มองหน้า "สตรวอง" ของพี่ลูกเกดไว้ค่ะ
 

Kantana Group via The Face Thailand
 

        อย่าเป็นเหมือนพี่ลูกเกดค่ะ สิบหกแล้ว ขอวีซ่าไปเรียนต่อได้แล้ว เลือกทุน เลือกประเทศ แล้วไปเถอะค่ะ
        ไม่รู้จะเริ่มจากไหน เริ่มจากโปรแกรมค้นหาทุนนี้ก็ได้ค่ะ

 
เด็กดีดอทคอม :: แฉเรื่องจริง...โรงเรียนหญิงล้วนในเกาหลี ดราม่ายิ่งกว่าละคร!




















 
พี่น้อง
พี่น้อง - Columnist คอลัมนิสต์

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

2 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กกกกกกกกกกกกก 18 ธ.ค. 58 19:34 น. 2
ชอบตรงเข้าใจเขาผิดไป จริงๆค่ะ บางทีสิ่งที่ได้ยินกันมาก็ไม่ใช่ทั้งหมด รวมถึงสิ่งที่เขาได้ยินเรื่องประเทศของเรามาเช่นกันเยี่ยม
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด