สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com เวลาจะหาที่เรียนในต่างประเทศแต่ละครั้ง เราจำเป็นต้องใช้ปัจจัยหลายๆ อย่างในการตัดสินใจเช่น ค่าใช้จ่าย ที่ตั้ง รายวิชา รวมไปถึงชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยที่มักมาจากการจัดอันดับ ซึ่งการจัดอันดับมหาวิทยาลัยก็มีหลายสำนักเหลือเกิน มหาวิทยาลัยที่ได้อันดับ 1 ของแต่ละสำนักก็ต่างกัน วันนี้ พี่พิซซ่า เลยจะชวนน้องๆ มาทำความรู้จักกับการจัดอันดับมหาวิทยาลัยจากแต่ละสำนักกันค่ะ
หน่วยงานที่จัดอันดับมหาวิทยาลัยที่เป็นที่รู้จักกันดีมีอยู่ 3 สำนัก คือ Times Higher Education World University Rankings, QS World University Rankings และ Center for World University Rankings ส่วนมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก 10 อันดับแรกของทั้ง 3 สำนักนี้ได้แก่
ที่ | Times | QS | CWUR |
1 | Caltech | MIT | Harvard University |
2 | University of Oxford | Harvard University | Stanford University |
3 | Stanford University | University of Cambridge* | MIT |
4 | University of Cambridge | Stanford University* | University of Cambridge |
5 | MIT | Caltech | University of Oxford |
6 | Harvard University | University of Oxford | Columbia University |
7 | Princeton University | University College London | UCLA |
8 | Imperial College London | Imperial College London | University of Chicago |
9 | ETH Zurich | ETH Zurich | Princeton University |
10 | University of Chicago | University of Chicago | Cornell University |
*ได้อันดับร่วมกัน
จะเห็นว่าแม้อันดับจะไม่ตรงกันแต่ก็มีแต่มหาวิทยาลัยเดิมๆ ที่ติด 10 อันดับทั้ง 3 สำนัก ส่วนของไทมส์และคิวเอสนั้น มีที่ต่างกันชัดๆ ก็คือ Princeton University ที่ได้อันดับ 7 ในของไทมส์ แต่ได้อันดับ 11 ในการจัดอันดับของคิวเอส และ UCL ที่ได้อันดับ 7 ในการจัดอันดับของคิวเอส แต่ได้อันดับที่ 14 ในการจัดอันดับของไทมส์ ส่วนของ CWUR ค่อนข้างต่างจากสองสำนักก่อนหน้าเยอะ แต่มหาวิทยาลัยใน 10 อันดับของ CWUR ที่ไม่มีในไทมส์และคิวเอส ก็เป็นมหาวิทยาลัยที่ติดใน 20 อันดับแรกของอีก 2 สำนักอยู่ดี ฉะนั้นก็ถือว่าไม่ได้ต่างกันมากมาย เพราะที่จริงทุกมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับต้นๆ ขนาดนี้ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลกอยู่แล้ว ทีนี้เราไปดูวิธีการจัดอันดับของแต่ละสำนักกันดีกว่า
Times Higher Education World University Rankings
เริ่มต้นกันที่ฝั่งไทมส์ค่ะ ไทมส์บอกว่าดูเรื่องของงานวิจัยเป็นเกณฑ์หลักกว่าสำนักอื่นๆ ไทมส์ใช้ตัวบ่งชี้ถึง 13 ตัวในการประเมิน ซึ่งตัวบ่งชี้ทั้ง 13 ตัวแบ่งได้เป็น 5 กลุ่มหลัก แต่ละกลุ่มมีคะแนนเต็มในกลุ่มตัวเอง 100 คะแนน แต่เมื่อนำมาคิดคะแนนรวมเพื่อจัดอันดับ แต่ละกลุ่มจะมีเปอร์เซ็นต์ไม่เท่ากัน ดังนี้ค่ะ
กลุ่มการเรียนการสอน (คิดเป็น 30% ของคะแนนรวม)
ในกลุ่มนี้ก็จะดูเรื่องของชื่อเสียงสถาบัน สัดส่วนอาจารย์ต่อผู้เรียน สัดส่วนการเรียนจากระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก สัดส่วนผู้เรียนปริญญาเอกต่ออาจารย์ และรายได้ของสถาบัน ซึ่งก็คือการดูว่าสถาบันมีเงินจ้างคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิขนาดไหน และมีเงินสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แก่ผู้เรียนหรือไม่
กลุ่มงานวิจัย (คิดเป็น 30% ของคะแนนรวม)
ในกลุ่มนี้หลักๆ เลยคือดูที่ชื่อเสียงของงานวิจัยต่างๆ จากสถาบันนั้นๆ ค่ะว่าเป็นที่ยอมรับกันในกลุ่มนักวิชาการหรือไม่ นอกจากนี้ก็ดูจากเงินอุดหนุนงานวิจัยด้วยว่ามีพอที่จะสนับสนุนและผลักดันผลงานมั้ย และก็ดูจากจำนวนงานวิจัยที่ได้ตีพิมพ์
กลุ่มการอ้างอิงถึง (คิดเป็น 30% ของคะแนนรวม)
การพิจารณาในกลุ่มนี้คือดูว่ามีผู้นำงานวิจัยของสถาบันไปอ้างอิงต่อมากแค่ไหน ไทมส์มองว่าสถาบันการศึกษาที่ดีต้องไม่ใช่แค่ผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสามารถทำให้ความรู้ความสามารถนั้นเผยแพร่ให้คนอื่นๆ รู้ต่อไปด้วยได้งานวิจัยที่ดีนอกจากจะได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างแล้ว ก็ต้องกลายเป็นแหล่งความรู้ให้คนอื่นนำไปใช้อ้างอิงต่อไปได้เรื่อยๆ ด้วย คะแนนในกลุ่มนี้จึงมาจากการติดตามงานวิจัยของแต่ละสถาบันว่าถูกนำไปอ้างอิงต่อมากเพียงใด
กลุ่มความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (คิดเป็น 7.5% ของคะแนนรวม)
ในกลุ่มนี้จะพิจารณาจากสัดส่วนนักเรียนต่างชาติกับนักเรียนในประเทศ สัดส่วนอาจารย์ต่างชาติและอาจารย์ในประเทศ เพราะการดึงดูดนักวิชาการจากต่างประเทศให้มาสอนในสถาบันตัวเองได้ถือเป็นบันไดขั้นหนึ่งสู่การเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ และพิจารณาจากความร่วมมือระหว่างประเทศของสถาบัน เช่นมีการทำวิจัยร่วมกับต่างประเทศหรือไม่
กลุ่มรายได้จากความรู้ (คิดเป็น 2.5% ของคะแนนรวม)
ความรู้ต่างๆ จากมหาวิทยาลัยควรนำไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆ ด้วย คะแนนในกลุ่มนี้จึงพิจารณาจากรายได้ที่สถาบันได้จากการช่วยในด้านนวัตกรรมใหม่ๆ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ และการให้คำปรึกษาแก่อุตสาหกรรมอื่นๆ
จากนั้นก็นำคะแนนทั้งหมดมารวมกันเพื่อดูว่าใน 100% เต็มนี้ สถาบันใดได้คะแนนรวมสูงสุด สำหรับในปี 2016 นี้ Caltech ทำคะแนนรวมได้สูงที่สุดในโลก โดยได้ไปถึง 95.2 คะแนน มาลองดูคะแนนในแต่ละกลุ่มของ Caltech กันบ้างนะคะ
กลุ่มการเรียนการสอน 95.6 คะแนน กลุ่มงานวิจัย 97.6 คะแนน กลุ่มการอ้างอิงถึง 99.8 คะแนน กลุ่มความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 64.0 คะแนน กลุ่มรายได้จากความรู้ 97.8 คะแนน |
จะเห็นได้ว่า Caltech ทำคะแนนได้เกือบเต็มในทุกกลุ่ม ยกเว้นแค่ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้นถ้าใครอยากเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกแต่อยากได้บรรยากาศนานาชาติเยอะๆ ก็อาจจะมองว่า Caltech ไม่น่าเหมาะกับตัวเอง และหันไปมองอันดับ 2 อย่าง Oxford แทน เพราะคะแนนในกลุ่มนี้ Oxford ได้ไปถึง 94.4 คะแนนค่ะ
QS World University Rankings
ทีนี้มาดูฝั่งคิวเอสกันบ้างดีกว่าค่ะ การจัดอันดับของคิวเอสใช้ตัวบ่งชี้เพียง 6 ตัว แต่ละตัวมีคะแนนเต็มในตัวเอง 100 คะแนน แต่เมื่อนำมาคิดคะแนนรวมเพื่อจัดอันดับ แต่ละตัวบ่งชี้จะมีน้ำหนักไม่เท่ากัน ดังนี้ค่ะ
ชื่อเสียงด้านวิชาการ (คิดเป็น 40% ของคะแนนรวม)
คะแนนในส่วนนี้ได้มาจากการสำรวจอาจารย์จากทั่วโลกว่าถ้าพูดถึงการเรียนการสอนในด้านนี้ๆ แล้วจะนึกถึงสถาบันใดเป็นอันดับแรก การสำรวจนี้ทำเพื่อให้ผู้ที่สนใจเรียนต่อได้ทราบคร่าวๆ ว่าในสังคมการศึกษาทั่วโลกเชื่อถือในสถาบันใดบ้าง (โดยผู้ตอบแบบสอบถามจะโหวตชื่อสถาบันตัวเองไม่ได้)
ชื่อเสียงในสายตานายจ้าง (คิดเป็น 10% ของคะแนนรวม)
คะแนนในส่วนนี้มาจากการสำรวจนายจ้างกว่า 44,200 องค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ ทั่วโลก เพื่อดูว่านายจ้างคิดว่าสถาบันใดผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพที่สุด การสำรวจนี้ทำให้ผู้สนใจเรียนต่อทราบคร่าวๆ ว่าสถาบันใดที่ทำให้นายจ้างเชื่อมั่นมากกว่า
สัดส่วนนักเรียนต่ออาจารย์ (คิดเป็น 20% ของคะแนนรวม)
คะแนนในส่วนนี้มาจากข้อมูลของแต่ละสถาบันว่ามีอาจารย์เพียงพอต่อนักศึกษาหรือไม่ โดยชั้นเรียนขนาดเล็กจะได้คะแนนดีกว่าชั้นเรียนขนาดใหญ่ เพราะอาจารย์จะใส่ใจผู้เรียนได้ทั่วถึงมากกว่า
การอ้างอิงถึงในงานวิจัย (คิดเป็น 20% ของคะแนนรวม)
คะแนนส่วนนี้คล้ายๆ กับของไทมส์ค่ะ นั่นคือดูว่างานวิจัยของแต่ละที่ถูกนำไปใช้อ้างอิงต่อมากแค่ไหน ซึ่งทางคิวเอสก็เพิ่งปรับปรุงการให้คะแนนส่วนนี้ไปเมื่อปีที่แล้วค่ะ นั่นคือดูตามลักษณะของสาขาวิชาด้วยเพราะบางสาขามักจะไม่นำมาอ้างอิงกันต่อ จึงพิจารณาแบบแยกแต่ละสาขาในสถาบันก่อน แล้วค่อยนำมาหาคะแนนรวมจากสถาบันนั้นๆ อีกที
สัดส่วนอาจารย์ต่างชาติ (คิดเป็น 5% ของคะแนนรวม)
ใช้ดูชื่อเสียงว่าสถาบันนั้นสามารถทำให้อาจารย์ต่างชาติสนใจมาเป็นอาจารย์ที่สถาบันได้มากแค่ไหน ซึ่งถือเป็นตัวบ่งชี้ความเชื่อมั่นจากนานาชาติได้เช่นกัน
สัดส่วนนักเรียนต่างชาติ (คิดเป็น 5% ของคะแนนรวม)
คล้ายๆ กับตัวบ่งชี้ที่แล้วค่ะ แต่เป็นการดูสัดส่วนนักเรียนต่างชาติต่อนักเรียนในประเทศ เพื่อดูว่าสถาบันเป็นที่น่าเชื่อถือในสายตาชาวต่างชาติมากแค่ไหนเช่นกัน
เมื่อคิดแยกแต่ละตัวบ่งชี้แล้ว ก็นำคะแนนมารวมกันและคิดเป็น 100 คะแนนเต็ม สถาบันที่ได้อันดับหนึ่งของคิวเอสคือ MIT ได้คะแนนรวมไป 100 เต็มค่ะ แต่เมื่อแยกดูแต่ละตัวบ่งชี้แล้วจะเห็นว่ามีแค่สัดส่วนนักเรียนต่างชาติที่ได้เพียง 95.5 คะแนน ในขณะที่ตัวบ่งชี้อื่นๆ ได้คะแนนเต็ม
ส่วน Harvard ที่ได้อันดับ 2 นั้นทำคะแนนรวมไปได้ 98.7 คะแนน โดยมีบางตัวบ่งชี้ที่ได้เต็ม และบางตัวที่ได้เกือบเต็ม แต่ตัวที่ได้คะแนนต่ำสุดคือสัดส่วนนักเรียนต่างชาติที่ได้แค่ 76 คะแนน (ดูคะแนนแต่ละตัวของฮาร์วาร์ดได้ข้างล่างเลยค่ะ)
ชื่อเสียงด้านวิชาการ 100 คะแนน ชื่อเสียงในสายตานายจ้าง 100 คะแนน สัดส่วนนักเรียนต่ออาจารย์ 98.6 คะแนน การอ้างอิงถึงในงานวิจัย 100 คะแนน สัดส่วนอาจารย์ต่างชาติ 99.9 คะแนน สัดส่วนนักเรียนต่างชาติ 76 คะแนน |
Center for World University Rankings
CWUR ใช้ตัวบ่งชี้ 8 ตัวในการประเมินเพื่อจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกค่ะ โดยจุดเด่นของการจัดอันดับนี้คือจะไม่ยึดจากพวกผลสำรวจต่างๆ แต่เป็นการเข้าไปหาข้อมูลเจาะลึกของแต่ละที่มาเลย เมื่อนำมาคิดคะแนนรวมเป็น 100% จะให้น้ำหนักแต่ละตัวบ่งชี้ตามนี้
คุณภาพการศึกษา (คิดเป็น 25% ของคะแนนรวม)
วัดจากศิษย์เก่าของสถาบันที่ได้รางวัลในระดับนานาชาติ โดยเทียบอัตราส่วนกับจำนวนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย
การงานของศิษย์เก่า (คิดเป็น 25% ของคะแนนรวม)
ดูจากจำนวนศิษย์เก่าที่ได้เป็นผู้บริหารในหน่วยงานหรือองค์กรชั้นนำของโลก โดยโดยเทียบอัตราส่วนกับจำนวนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย
คุณภาพของอาจารย์ (คิดเป็น 25% ของคะแนนรวม)
วัดจากจำนวนอาจารย์ที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ
การตีพิมพ์งานวิจัย (คิดเป็น 5% ของคะแนนรวม)
วัดจากจำนวนงานวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารที่มีชื่อเสียง
อิทธิพล (คิดเป็น 5% ของคะแนนรวม)
วัดจากจำนวนงานวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารที่มีอิทธิพลในวงการนั้นๆ
การอ้างอิงถึง (คิดเป็น 5% ของคะแนนรวม)
วัดจากจำนวนงานวิจัยที่ได้รับการอ้างอิงถึงในงานวิจัยอื่น
งานวิจัยเกิดประโยชน์อย่างต่อเนื่อง (คิดเป็น 5% ของคะแนนรวม)
ทาง CWUR มีสมการเฉพาะสำหรับคำนวณว่างานวิจัยแต่ละตัวควรสร้างประโยชน์ได้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายปี ยิ่งทำประโยชน์ได้นานหรือมีคนนำไปต่อยอดเพื่อขยายประโยชน์ได้มากขึ้นก็ยิ่งได้คะแนนในส่วนนี้สูง
สิทธิบัตร (คิดเป็น 5% ของคะแนนรวม)
วัดจากจำนวนสิทธิบัตรนานาชาติ
ผลการจัดอันดับของ CWUR ไม่ได้บอกคะแนนของแต่ละตัวบ่งชี้เอาไว้ มีบอกแค่ว่าสถาบันนั้นๆ ได้ที่เท่าใดในการจัดอันดับแต่ละด้าน ฮาร์วาร์ดที่ได้คะแนนรวมเป็นที่ 1 นั้นได้อันดับ 1 แทบทุกตัวบ่งชี้
Harvard | Stanford | MIT | |
คุณภาพการศึกษา | 1 | 9 | 3 |
การงานของศิษย์เก่า | 1 | 2 | 11 |
คุณภาพของอาจารย์ | 1 | 4 | 2 |
การตีพิมพ์งานวิจัย | 1 | 5 | 15 |
อิทธิพล | 1 | 3 | 2 |
การอ้างอิงถึง | 1 | 3 | 2 |
งานวิจัยเกิดประโยชน์ | 1 | 4 | 2 |
สิทธิบัตร | 3 | 10 | 1 |
คะแนนรวม | 100 | 98.66 | 97.54 |
CWUR ไม่บอกคะแนนในแต่ละตัวบ่งชี้ แต่บอกเป็นอันดับที่ได้ในด้านนั้นๆ แทน
ประโยชน์ของการรู้จักวิธีจัดอันดับมหาวิทยาลัย
ถ้าถามว่าจะต้องไปรู้วิธีการจัดอันดับของแต่ละเจ้าทำไม ทั้งๆ ที่ดูแค่ว่าอันดับสูงๆ คือมหาวิทยาลัยดีก็พอแล้ว นั่นก็เพราะคะแนนจากแต่ละตัวบ่งชี้ทำให้เราหามหาวิทยาลัยที่เหมาะกับเราได้มากขึ้นค่ะ เช่น สองสถาบันในฝันของเรามีอันดับใกล้เคียงกัน คะแนนรวมก็พอๆ กัน หลักสูตรและรายวิชาเหมือนกัน แต่มหาวิทยาลัยแรกได้คะแนนด้านการวิจัยสูงกว่ามาก ส่วนอีกมหาวิทยาลัยได้คะแนนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสูงกว่ามาก ถ้าเราอยากเรียนต่อโดยเน้นด้านวิจัยเป็นหลักหรืออยากจะต่อยอดงานวิจัยไปเรื่อยๆ เราก็เลือกมหาวิทยาลัยแรกจะดีกว่าค่ะ
ส่วนจะเลือกพิจารณาอันดับจากเจ้าไหนนั้นก็แล้วแต่ความชอบเลย แต่ถ้าจะให้พี่สรุปลักษณะของแต่ละเจ้าก็น่าจะเป็น ครอบคลุมทุกแง่มุมสุดคือของไทมส์ แต่ถ้าอยากได้เซอร์เวย์เยอะๆ จากมุมมองคนทั่วโลกก็ต้องคิวเอส แต่ถ้าใครชอบเป็นข้อมูลทางสถิติมากกว่าก็ต้องเลือกดูของ CWUR ค่ะ จริงๆ ทุกมหาวิทยาลัยที่ติด 50 อันดับแรกของโลกไม่ว่าจะของการจัดอันดับไหนก็มีดีทั้งนั้น แถมไม่แตกต่างกันมากเท่าไหร่ด้วย
ส่วนจะเลือกพิจารณาอันดับจากเจ้าไหนนั้นก็แล้วแต่ความชอบเลย แต่ถ้าจะให้พี่สรุปลักษณะของแต่ละเจ้าก็น่าจะเป็น ครอบคลุมทุกแง่มุมสุดคือของไทมส์ แต่ถ้าอยากได้เซอร์เวย์เยอะๆ จากมุมมองคนทั่วโลกก็ต้องคิวเอส แต่ถ้าใครชอบเป็นข้อมูลทางสถิติมากกว่าก็ต้องเลือกดูของ CWUR ค่ะ จริงๆ ทุกมหาวิทยาลัยที่ติด 50 อันดับแรกของโลกไม่ว่าจะของการจัดอันดับไหนก็มีดีทั้งนั้น แถมไม่แตกต่างกันมากเท่าไหร่ด้วย
ฉะนั้นหากจะพิจารณาเลือกมหาวิทยาลัยที่จะเรียนต่อโดยการดูอันดับโลกแล้ว อย่าลืมดูด้วยว่าคะแนนในแต่ละด้านเป็นอย่างไรเพื่อประกอบการตัดสินใจอีกที แต่อย่าลืมว่าเราต้องดูรายวิชาที่ต้องเรียน และบรรยากาศการเรียนประกอบด้วยนะคะ เพื่อให้ได้ที่เรียนที่เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุดค่ะ
ข้อมูล
www.timeshighereducation.com/world-university-rankings/2016/world-ranking
www.timeshighereducation.com/news/ranking-methodology-2016
www.topuniversities.com/university-rankings/world-university-rankings/2015
www.topuniversities.com/university-rankings-articles
cwur.org/2015/, cwur.org/methodology/
1 ความคิดเห็น