สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com กลับมาพบกับ English Issues อีกครั้งค่ะ คราวนี้ พี่พิซซ่า กลับมาตอบคำถามที่น้องๆ ส่งเมลเข้ามาถามกันอีกแล้ว รอบนี้้เป็นเรื่องของการลงท้ายด้วย -able และ -ible ที่มีน้องสงสัยว่าทำไมบางคำเป็น a บางคำเป็น i พอจะมีหลักการจำบ้างมั้ย มาดูคำตอบกันเลย
ที่มาของ -able กับ -ible
เรารู้ว่าคำที่ลงท้ายด้วย -able และ -ible เป็น adjective ที่มีความหมายว่า "ที่สามารถ..." เช่น readable คือที่สามารถ read ได้ หรือ collapsible คือที่สามารถ collapse ได้ (พับได้) แต่ทำไมมันถึงมี 2 แบบล่ะ
คำอธิบายแบบนักวิชาการคือ มันมาจากคนละคำกัน -able มาจากรากศัพท์ -able ในภาษาฝรั่งเศสหรือ -abilis ในภาษาละติน ส่วน -ible มาจากรากศัพท์ -ible ในภาษาฝรั่งเศสหรือ -ibilis ในภาษาละติน เป็นไงล่ะ ไม่ช่วยให้เข้าใจเลยละสิ 55555
คำอธิบายแบบนักวิชาการคือ มันมาจากคนละคำกัน -able มาจากรากศัพท์ -able ในภาษาฝรั่งเศสหรือ -abilis ในภาษาละติน ส่วน -ible มาจากรากศัพท์ -ible ในภาษาฝรั่งเศสหรือ -ibilis ในภาษาละติน เป็นไงล่ะ ไม่ช่วยให้เข้าใจเลยละสิ 55555
ฉะนั้นมาดูกันที่เทคนิคเลยดีกว่า
1. ถ้าไม่รู้จริงๆ ว่าต้องใช้ตัวไหน เลือก -able มีโอกาสถูกมากกว่า
ด้วยความที่ -able มันหน้าตาเหมือนศัพท์อังกฤษที่เราใช้บ่อยๆ อยู่แล้วอย่าง able ที่แปลว่าสามารถ ทำให้มันใช้เปลี่ยนกริยาหลายต่อหลายตัวให้เป็นคำคุณศัพท์ได้ ยิ่งศัพท์เกิดใหม่ไม่นานมานี้อย่าง blog (เขียนบล็อก) พอจะกลายร่างให้เป็น ADJ ก็เลยทำเป็น bloggable (เบิ้ลตัวสะกดเพราะมันเสียงสั้น) ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว เราเจอ -able ได้มากกว่า -ible ถึง 6 เท่า ฉะนั้นเลือก -able แล้วจะมีโอกาสถูกสูงกว่า
2. ถ้าตัด -able/-ible ทิ้งแล้วคำนั้นมีความหมาย เลือก -able มีโอกาสถูกมากกว่า
เช่น read_ble ถ้าเราตัด suffix -able/-ible ออก ก็จะเหลือ read ซึ่งมันมีความหมายอยู่แล้ว เป็นกริยาแปลว่าอ่าน ดังนั้นเลือก -able ใส่ไปจะมีโอกาสถูกสูงกว่า -ible
3. ถ้าตัดทิ้งแล้วเติม e ก่อนถึงจะมีความหมาย เลือก -able มีโอกาสถูกมากกว่า
คล้ายข้อ 2 แต่หมายความว่าถ้าตัด -able/-ible ทิ้งแล้วต้องเติม e ก่อน คำนั้นถึงจะมีความหมาย ให้เลือก -able จะมีโอกาสถูกมากกว่า เช่น advis_ble เอาออกแล้วเหลือ advic ก็เติม e ให้มันเป็น advice มันถึงจะมีความหมาย เติม -able ก็จะมีโอกาสถูกมากกว่าค่ะ เป็น advisable
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นกฎ 100% นะคะ เพราะอย่าง collaps_ble แม้จะเข้ากฎแต่จริงๆ มันเป็น collapsible ค่ะ แต่ถึงยังไงคำที่ไม่เข้ากฎแบบนี้มีค่อนข้างน้อย ท่องคำนี้ไว้ต่างหากเลยก็ได้
4. ถ้าตัวกริยาต้องเบิ้ลตัวท้ายเวลาใส่ -ing ให้เบิ้ลเหมือนกันก่อนเติม -able
ในที่นี้หมายถึงคำเช่น forget ที่พอจะเติม -ing เราต้องเบิ้ลตัวท้ายเป็น forgetting เมื่อเรากลายร่างมันเป็น ADJ เราก็เบิ้ลต่อแล้วเติม -able มันก็จะกลายเป็น forgettable
5. ถ้าตัวกริยามี 2 พยางค์ขึ้นไปและลงท้ายด้วย -ate ให้ตัด -ate แล้วเติม -able
เช่น calculate เป็นกริยาที่มี 2 2 พยางค์ขึ้นไปและลงท้ายด้วย -ate เมื่อเรากลายร่างมันเป็น ADJ เราก็ตัด -ate แล้วเติม -able มันก็จะกลายเป็น calculatable
6. ถ้าศัพท์หลักลงท้ายด้วย c ที่เป็นเสียง /ค/ ให้เลือก -able เสมอ
นั่นหมายความว่าถ้าเราเจอคำที่ก่อน -able/-ible เป็นตัว c ที่ออกเสียง /ค/ อย่าง despic_ble /เดสปิคะเบิ้ล/ ให้เลือก -able เสมอ แล้วจะรู้ได้ไงล่ะว่า c ตอนไหนที่เป็นเสียง /ค/ ก็ต้องลองออกเสียงดูค่ะ ปกติ c มักออกได้ 2 แบบคือ /ค/ กับ /ซ/ แต่ถ้าฟังภาษาอังกฤษเยอะๆ ก็จะรู้เองค่ะว่าตอนไหนออกเสียงอะไร
ทั้งนี้ก็ควรระวังตัวปราบเซียน เช่น practicable ตอนเป็น ADJ มันออกเสียงว่า /แพรคทิคะเบิ้ล/ ตรงตามกฎเป๊ะก็จริง แต่ practice ที่เราเจอปกติดันอ่านว่า /แพรคทิซ/ เป็นเสียง /ซ/ ซะงั้น ดังนั้นต้องอาศัยความได้ยินจนเคยชินล้วนๆ เลยถึงจะรู้ว่า practicable อ่านว่า /แพรคทิคะเบิ้ล/
7. ถ้าศัพท์หลักลงท้ายด้วย g ที่เป็นเสียง /ก/ ให้เลือก -able เสมอ
ปกติ g มักออกได้ 2 แบบคือ /ก/ กับ /จ/ นั่นหมายความว่าถ้าเราเจอคำที่ก่อน -able/-ible เป็นตัว g ที่ออกเสียง /ก/ อย่าง navig_ble ให้เลือก -able เสมอ ข้อนี้ก็ต้องอาศัยความคุ้นเคยเช่นกันว่ามันจะออกเสียง /ก/ ตอนไหนบ้าง
8. ถ้าเจอศัพท์ยุคใหม่ เลือก -able เลย
อย่างที่บอกไปในข้อ 1 ว่าศัพท์สมัยใหม่อย่างเช่น blog นั้นเลือก -able มากกว่า เพราะเราถือว่า -ible ค่อนข้างโบราณ มันจะมีอยู่แค่ในคำที่มีมาแล้วหลายร้อยปีเท่านั้น ไม่เอามาประดิษฐ์คำใหม่ๆ แบบ -able
9. งานท่องต้องมา ท่องแค่ -ible ที่ออกสอบบ่อยๆ พอ
ด้วยความที่ -ible มีน้อยและส่วนใหญ่ก็เป็นคำโบราณ ทำให้มี -ible ที่ออกสอบอยู่ไม่มาก สามารถท่องจำได้ค่ะ
accessible ที่สามารถเข้าได้ audible ที่สามารถได้ยินได้ collapsible ที่สามารถได้พับได้ eligible ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม feasible ที่เป็นไปได้ flexible ที่สามารถปรับไปมาได้, ยืดหยุ่น gullible ที่ถูกหลอกลวงได้ง่าย horrible น่าเกลียดน่ากลัว incredible ที่ไม่น่าเชื่อ |
invincible ที่ไม่อาจเอาชนะได้ legible ที่อ่านออกได้ perceptible ซึ่งเข้าใจได้ plausible ที่เป็นไปได้ possible ที่เป็นไปได้ responsible ที่มีความรับผิดชอบ reversible ที่ผันกลับได้ tangible ที่จับต้องได้ terrible น่าสยอง |
นอกจากนี้การเอาคำพวกนี้ไปใส่ prefix ข้างหน้า ก็ยังคงความ -ible ด้านหลังเช่นเดิม possible > impossible หรือ legible > illegible หรือจะตัด prefix ออกข้างหลังก็คงเดิมเช่นกัน incredible > credible
10. งานเข้าเมื่อเจอคำที่เขียนได้ 2 แบบ จำลูกเดียว!
มีศัพท์บางคำที่สามารถลงท้ายได้ทั้ง -able และ -ible ถ้าเป็นคำที่ลงท้ายอะไรก็ความหมายเดิมอย่าง extendable/extendible ก็จะไม่มีปัญหาอะไรหรอก
แต่มันจะมีบางคำที่ลงท้ายต่างกันความหมายก็ต่างกัน เช่น contractable/contractible ก่อนจะไปดูความหมายของมัน เรามาดูความหมายของ contract เฉยๆ กันก่อนค่ะ
contract | [N] | สัญญา, ข้อตกลง |
[V] | 1) หด, ย่อ, เล็กลง | |
2) ทำสัญญา | ||
3) ติดต่อ (โรค), ติดเชื้อ |
เพราะ contract ในฐานะคำกริยามันมีหลายความหมายนี่แหละ ทำให้มันสร้าง ADJ ได้หลายความหมายเช่นกัน และ -able/-ible ก็คือตัวแบ่งให้แต่ละความหมายเขียนไม่เหมือนกัน
contractable มาจากความหมายที่ 3) ดังนั้นจึงมีความหมายว่า ที่สามารถติดต่อได้ (โรค)
contractible มาจากความหมายที่ 1) ดังนั้นจึงมีความหมายว่า ที่สามารถหดตัวได้
อีกคำที่เจ้าปัญหากว่าคือ collectable/collectible ทั้งคู่เป็นได้ทั้งคำนามและคำคุณศัพท์ และยังเป็นคำคุณศัพท์คนละความหมายกันอีก
collectable [ADJ] แปลว่าสามารถเก็บสะสมได้
collectible [ADJ] แปลว่ามีค่าควรแก่การสะสม
collectable/collectible [N] แปลว่าของสะสม เมื่อเป็น N จะเขียนแบบไหนก็ไม่ผิด แต่เขียนแบบ collectible จะเป็นที่นิยมมากกว่า
เป็นยังไงบ้างกับ 10 เทคนิคการเลือกคำลงท้าย -able/-ible มึนกันรึยังคะ พี่พิซซ่าเองยังรู้สึกมึนๆ เลยค่ะ 555 แต่พี่ก็ขอแนะนำให้น้องๆ อ่านให้เยอะฟ้งให้เยอะนะคะ เพราะถ้าเราได้ยินได้เห็นเยอะๆ เราก็จะจำได้เองอัตโนมัติ ไม่ต้องมาท่องจำอีก สู้ๆ ค่ะ
1 ความคิดเห็น
เซฟเข้าสมองแปป