น้องๆ ชาวเด็กดีกำลังประสบปัญหานี้หรือไม่?
        เข้านอนสี่ทุ่ม แต่ไปหลับจริงตีสอง ในหัวคิดไปสัพเพเหระประเด็น ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่าง วันนี้ฉันกินอะไรไปบ้าง จนถึงเรื่องใหญ่ๆ อย่างอาทิตย์หน้าจะสอบแล้วยังไม่ได้อ่านหนังสือเลย
        ต่อให้ไม่คิด แต่สมองทำงานไปเอง ข่มตาเท่าไรก็ไม่หลับ
        น้องๆ รู้หรือเปล่าคะว่าการนอนไม่พอทำให้สมองของเราอ่อนล้า คิดอะไรไม่ออก จำอะไรได้น้อยลง แถมยังไปง่วงในห้องเรียนอีก ส่งผลกระทบต่อการเรียนเอามากๆ
        ดังนั้น วันนี้พี่น้องขอเชิญทุกคนมาปรับทัศนคติต่อการนอน ฝึกตัวเองให้นอนเร็ว เมื่อชีวิตการเรียนที่สดใสกันดีกว่า!
 

        สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรานอนไม่หลับเพราะเรากังวลค่ะ
        กังวลว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า กังวลว่าพรุ่งนี้มีพรีเซนต์วิชาวิทยาศาสตร์ กังวลว่าพรุ่งนี้สอบ Gat รอบสอง กังวลว่าวันนี้พูดไม่ดีกับคุณแม่ไป กังวลว่าวันนี้ยังอ่านหนังสือไม่หมด สารพัดความกังวล
        และที่ตลกคือ เรากังวลแม้กระทั่งการนอนไม่หลับนี่ด้วย!
        ยิ่งเราพยายามข่มตา บังคับตัวเองให้นอนมากเท่าไร เราก็จะยิ่งนอนไม่หลับ เพราะเราจะนอนหลับได้ก็ต่อเมื่อสมองของเราผ่อนคลายลงเท่านั้น
        อาจจะฟังดูประหลาด แต่ถ้าอยากนอนหลับ ต้องเลิกคิดว่า "การนอนไม่หลับเป็นเรื่องแย่" ค่ะ ให้เราคิดซะว่ามันเป็นเรื่องปกติ คงยังไม่ถึงเวลานอน อย่าเครียด
        ลุกจากเตียงแล้วไปทำอย่างอื่นดีกว่า
 

ถ้านอนไม่หลับ ก็ไม่ต้องนอนมันซะเลย!

        มาต่อกันที่ข้อต่อมา เมื่อเรานอนไม่หลับ พี่น้องไม่แนะนำให้หลับตานับแกะอยู่อย่างนั้นนะคะ ลุกออกมาค่ะ ลุกจากเตียงมาทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ กันดีกว่า
        ทำอะไรล่ะ?
        ก็อ่านหนังสือเรียนไง! เอาวิชาที่เราเบื่อที่สุดและมีเนื้อหาเยอะๆ หยิบมาอ่านปุ๊บ รับรองฟุบคาเตียง
        ที่ว่าไปนั่น พี่น้องล้อเล่นแต่พูดจริงค่ะ (เอ๊ะยังไง) ที่ว่าให้ลุกมาทำกิจกรรมอื่นคือให้ลุกมาอ่านหนังสือนี่แหละค่ะ แต่เลือกหนังสือที่เบาสมองหน่อย เช่น วรรณกรรมเยาวชน หนังสือฮาว-ทูเสริมทักษะชีวิต การ์ตูนโดเรมอน ฯลฯ (ห้ามหยิบโคนันมาอ่านนะ)
        อย่าอุตริลุกขึ้นมาซ้อมเต้นคัฟเวอร์หรือเปิดคอมฯ เล่น Stardew Valley เด็ดขาดนะคะ อย่างหลังนี่น่าจะได้หลับอีกทีอาทิตย์หน้าเลย
 

        ถ้าบ้านใครอยู่ติดถนนใหญ่ มีรถผ่านตลอดเวลา หน้าบ้านขายข้าวต้มโต้รุ่ง อันนี้คงลำบากหน่อย เพราะสภาพแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญในการนอนค่ะ เมื่อถึงเวลานอน ห้องนอนของเราควรจะเป็นเหมือน "สวรรค์" ที่เราจะต้องอยู่กับมันไปอีก 8 ชั่วโมง (หรือน้อยกว่านั้น)
        อย่างแรกที่ต้องจัดการคือ "เตียง" ค่ะ ยอมเก็บตังค์ซื้อฟูกดีๆ หน่อย เอาที่ไม่นุ่มเกินไปและไม่แข็งเกินไป พร้อมผ้าปูเตียงทอเส้นดีๆ เรียกง่ายๆ ว่าเปลี่ยนเตียงบ้านเราให้เหมือนเตียงในโรงแรมนั่นแหละ
        ต่อมา "แสงสว่าง" ค่ะ เชื่อว่าเวลานอน ส่วนใหญ่จะชอบให้ปิดไฟสนิทๆ ไม่มีแสงมาแยงตา หรือมีแสงมาวิบๆ วับๆ อยู่ในห้อง พยายามเลือกวางเตียงที่อยู่ในมุมที่ไม่โดนแสงพวกนี้ส่องหน้า หรือเลือกม่านกันแสงดีๆ มาติดไว้กันแสงจากภายนอก
        แต่ถ้าใครชอบแบบมีแสงนิดๆ ก็แล้วแต่ความชอบเลยจ้า
        ที่สำคัญที่สุดต่อประเทศเราในตอนนี้ "อุณหภูมิห้อง" ค่ะ เชื่อว่าตอนนี้ทุกคนประสบปัญหา เข้านอนตัวแห้งๆ แต่ตื่นมาเหมือนโดนใครสาดน้ำใส่ เพราะอุณหภูมิบ้านเรามันร้อนเหลือคณา
        อุณหภูมิที่เย็นเกินไปหรือร้อนเกินไปจะทำให้ร่างกายไม่สบายตัว ควรปรับอุณหภูมิห้องให้อยู่ที่ 26-28 องศากำลังดีค่ะ
        ส่วนบ้านใครที่ไม่นิยมเปิดแอร์นอนก็ตัวใครตัวมันค่ะ
 

        อาหารมื้อสุดท้ายของวันควรจบที่หกโมงเย็น แต่พี่น้องรู้ว่าทุกคนไปจบที่สี่ห้าทุ่มกันหมด จะให้นั่งทำการบ้านเฉยๆ ก็ดูจะทรมานไป ขอมีอะไรใส่ปากสักนิดก็ยังดี
        แต่ของที่เรากินเข้าไปมีผลต่อการนอนนะคะ สิ่งที่เราควรรู้คือ

        เพราะเราคิดมาก เราจึงนอนไม่หลับ ดังนั้นเรื่องที่กังวลใจขอให้ระบายออกไปในสมุดบันทึกของเรา
        บางคนอาจจะถามว่า "พี่คะ หนูโพสต์สเตตัสลงเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ได้มั้ย?"
        ไม่ได้จ้ะ!
        เพราะว่าการโพสต์สเตตัสลงสื่อโซเชียลต่างๆ ทำให้เกิดการ "ตอบรับ" ไม่ว่าเราจะคาดหวังหรือไม่ก็ตาม เราอาจจะคิดว่าก็แค่โพสต์ระบายลงไปแล้วก็ปิดมือถือนอน แต่อีกสักพักเราก็จะลุกขึ้นมาดูว่ามีคนมากดไลค์หรือเปล่า มีคนมาคอมเมนต์หรือเปล่า
        ยิ่งเรื่องดราม่าๆ ยิ่งไม่ควรโพสต์ก่อนนอนเลยค่ะ เพราะจะทำให้เราพะวงว่าที่เราโพสต์ออกไปมีผลตอบรับเป็นยังไง ดังนั้น จดใส่สมุดแล้วเก็บไว้อ่านคนเดียวค่ะ พี่น้องเชื่อว่าบางเรื่อง ไม่พูดให้คนอื่นฟังน่าจะดีที่สุดนะ
 

        วิธีนี้ทำยากมากๆ แต่ต้องทำให้ได้ เพราะหลายคนเลือกใช้โทรศัพท์มือถือในการตั้งปลุก ทำให้ต้องวางมันไว้ข้างเตียงตลอดเวลา แต่เชื่อมั้ยคะว่าร้อยทั้งร้อย ก่อนจะนอนขอสไลด์ดูฟีดในเฟซบุ๊กสักนิดก็ยังดี
        แล้วไงคะ? สักนิดที่ว่า ปาเข้าไปครึ่งชั่วโมง
        ดังนั้น เมื่อเราตัดสินใจว่าจะเข้านอนแล้ว ควรเอาโทรศัพท์วางให้ห่างเตียง ปิดอินเทอร์เน็ตไปเลย หรืออย่างน้อย เปิดเป็นโหมดสลีพเอาไว้ เวลามีแจ้งเตือนอะไร เราจะได้ไม่ต้องเห็นหรือได้ยินอีก
 

        น้ำมันหอมระเหยเป็นวิธีบำบัดที่ได้ผลจริงๆ และเป็นวิธีที่ปลอดภัยด้วยค่ะ ให้เราลองเลือกกลิ่นที่ชอบมาวางในห้อง ก็จะช่วยให้เราผ่อนคลายขึ้น หรือใช้ครีมอาบน้ำที่มีส่วนผสมของกลิ่นหอมๆ แบบนี้ให้ติดตัวมากับเราก่อนนอนก็ได้ค่ะ
 

        สมัยเด็กๆ เราไม่มีปัญหากับการนอนเลย เพราะเราวิ่งเล่นกันจนเหนื่อย แต่พอโตขึ้นมา จะให้วิ่งเล่นเต็มพิกัดแบบเด็กๆ ก็ไม่ได้แล้ว ให้นัดแนะกับเพื่อนๆ ไปออกกำลังกายหลังเลิกเรียนกัน จะวิ่งเปรี้ยว วิ่งผลัด หรือกระโดดยาง อะไรก็ได้ที่ช่วยให้หัวใจเราเต้นเร็วขึ้นและเผาผลาญพลังงาน
        โดยเฉพาะการออกกำลังที่เกี่ยวกับขา จะช่วยให้เราหลับง่ายขึ้นจริงๆ ค่ะ
 

        สุดท้ายนี้ คือทำการนอนให้เป็นนิสัย หลายคนคงรู้สึกว่าช่วงไหนที่นอนเวลาเดียวกัน ร่างกายจะเริ่มง่วงอัตโนมัติเมื่อถึงเวลานั้น เพราะร่างกายเองก็มีนาฬิกาของตัวเองค่ะ อะไรที่เราทำซ้ำๆ เดิมๆ ร่างกายจะจดจำและปรับตัวตาม
        ถ้าเรามีปัญหานอนดึกติดต่อกันหลายวัน ให้เปลี่ยนเวลานอนวันละนิดวันละนิด หรือใช้วิธีทำกิจกรรมทั้งวันจนเหนื่อย เมื่อหัวถึงหมอนก็จะนอนอัตโนมัติ ทำแบบนี้สักหนึ่งอาทิตย์แล้วร่างกายจะค่อยๆ ปรับนาฬิกาตาม หลังจากนั้นก็จะนอนในเวลาเดิมง่ายขึ้นแล้ว