สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com พี่พิซซ่า เพิ่งได้ชมภาพยนตร์เกี่ยวกับยอดมนุษย์มาค่ะ ดูแล้วก็รู้สึกว่ายอดมนุษย์ที่เมืองไทยต้องการคือเอลซ่า (ไม่เกี่ยวกันเลย) เพราะอากาศร้อนเหลือเกิน วันนี้พี่ก็เลยรวบรวมตำนานเทพธิดาหิมะมาฝากค่ะ แต่เนื่องจากตำนานเทพธิดาหรือราชินีหิมะมีในหลายประเทศมาก แถมแต่ละประเทศก็มีหลายเวอร์ชั่น พี่ก็เลยเลือกมาให้ 3 ตำนานที่พี่ชอบที่สุดละกันค่ะ
The Snow Queen
ราชินีหิมะถือว่าเป็นเจ้าแม่หิมะที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก เป็นเรื่องเล่าที่เป็นแรงบันดาลใจให้ภาพยนตร์และนิยายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะราชินีเอลซ่าจากเรื่อง Frozen หรือราชินีเฟรย่าจาก The Huntsman: Winter's War ผลงานเรื่อง The Snow Queen ของฮานส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน ถือเป็นหนึ่งในนิทานคลาสสิกตลอดกาลของโลก แม้นิทานจะชื่อ The Snow Queen เลยแต่ตัวเด่นของเรื่องคือสาวน้อยนามเกอร์ด้า ผู้ที่ออกไปตามช่วยเหลือเพื่อนสนิทที่ชื่อเคย์ มาฟังเรื่องย่อกันค่ะ
Credit: Universal Pictures
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีครูใหญ่ผู้เป็นปีศาจโทรลล์ตัวร้ายอยู่ตัวหนึ่ง เขามีกระจกวิเศษที่สามารถบิดเบือนทุกสิ่งที่สะท้อนให้เป็นสิ่งน่าเกลียดน่ากลัวได้ วันหนึ่งพวกโทรลล์จึงคิดจะเอากระจกนี้ขึ้นไปแกล้งบรรดาเทพเจ้าบนสวรรค์ แต่แล้วกระจกก็หลุดมือตกลงมาบนพื้นโลกและแตกเป็นเสี่ยงๆ เศษกระจกที่มีขนาดเท่าเม็ดทรายก็ปลิวไปทั่ว เมื่อมันปลิวเข้าตาหรือเข้าหัวใจใครคนนั้นก็จะมองเห็นแต่สิ่งชั่วร้ายหรือน่าเกลียด
เวลาผ่านไป มีเด็กหญิงชื่อเกอร์ด้าและเด็กชายชื่อเคย์เป็นเพื่อนรักกัน ทั้งคู่อาศัยอยู่บ้านติดกันและอยู่ห้องที่มีหน้าต่างตรงกัน ปกติทั้งคู่จะเล่นด้วยกันตรงสวนเล็กๆ ที่เชื่อมระเบียงของทั้งคู่เอาไว้ คุณยายของเคย์เคยเล่าให้เด็กชายฟังเกี่ยวกับตำนานของสโนว์ควีนผู้เป็นราชินีแห่งเกล็ดหิมะ ด้วยความสงสัยเคย์จึงจ้องไปที่เกล็ดหิมะที่จับตัวหนาเกาะกันอยู่ตรงหน้าต่างห้องเขา ทันใดนั้นเขาก็เห็นสโนว์ควีนราชินีบอกว่าอยากได้ตัวเขามาอยู่ด้วย เคย์รีบหนีจากหน้าต่างในทันที
วันเวลาผ่านไปเด็กทั้งคู่โตเป็นหนุ่มสาว เกอร์ด้ารู้แล้วว่าเธอแอบรักเคย์อยู่ เมื่อใดก็ตามที่เธอเห็นดอกกุหลาบในสวนที่หน้าต่าง เธอก็จะนึกถึงความรักที่มีต่อเขา แต่ก่อนที่เธอจะได้บอกความในใจ เศษกระจกของพวกโทรลล์ก็ปลิวเข้ามาในตาและในหัวใจของเคย์ เคย์กลายเป็ยคนใจร้ายขี้โมโห เขาทำลายสวนที่หน้าต่างทิ้ง พูดจาไม่ดีกับคุณยาย และยังไม่สนใจเกอร์ด้า ตอนนี้สิ่งที่ดูงดงามเพียงอย่างเดียวในสายตาของเคย์คือเกล็ดหิมะที่เขาเอาแต่ใช้แว่นขยายนั่งส่องดู
เมื่อถึงฤดูหนาวเคย์ออกไปเล่นเลื่อนหิมะข้างนอก และไปเจอเข้ากับเลื่อนสีขาวบริสุทธิ์ของผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดเฟอร์ขาวทั้งตัว เคย์ขึ้นเลื่อนไปกับผู้หญิงคนนั้น เมื่อออกนอกเมืองแล้วผู้หญิงคนนั้นก็แสดงตัวว่าที่จริงเธอคือสโนว์ควีน และเธอก็จูบเขา 2 ครั้ง ครั้งแรกเพื่อให้ตัวเขาชาจะไม่ได้รู้สึกหนาว ครั้งที่สองเป็นจูบเพื่อให้เขาลืมเกอร์ด้าและครอบครัวไป แต่หากราชินีจูบเขาเป็นครั้งที่สามเขาจะต้องตายราชินีพาเคย์ไปอยู่ที่ปราสาทด้วยกัน
Credit: Disney
เกอร์ด้าออกตามหาเคย์ด้วยหัวใจสลาย คนในเมืองต่างบอกว่าเขาจมน้ำตายไปแล้วเธอจึงเดินทางไปยังแม่น้ำเพื่อขอเคย์คืนจากแม่น้ำ โดยเธอยินดีมอบรองเท้าให้เป็นของตอบแทน แต่แม่น้ำบอกว่าเคย์ไม่ได้จมน้ำ เกอร์ด้าจึงตามหาเคย์ต่อ เธอไปเจอกับแม่มดที่มีสวนฤดูร้อนแห่งนิรันดร์ แม่มดอยากให้เกอร์ด้าอยู่กับเธอตลอดไป จึงเสกให้เกอร์ด้าลืมทุกอย่างเกี่ยวกับเคย์ และเสกให้ดอกกุหลาบในสวนทั้งหมดจมลงไปในดิน เพราะเกอร์ด้าจะนึกถึงเคย์ออกเมื่อเห็นกุหลาบ
แต่วันหนึ่งเกอร์ด้าก็บังเอิญเห็นดอกกุหลาบเล็กๆ ดอกหนึ่งบนหมวกของแม่มด ทำให้เธอจำเคย์ได้ น้ำตาของเกอร์ด้าที่หยดลงพื้นทำให้มีพุ่มไม้โตขึ้นมาพุ่มหนึ่ง พุ่มไม้บอกเธอว่าตอนถูกเสกให้ลงไปอยู่ใต้ดินได้ลงไปเห็นดินแดนคนตาย แต่ไม่มีเคย์อยู่ในนั้น เกอร์ด้าจึงรีบหนีออกมาเพื่อตามหาเคย์ต่อ กาตัวหนึ่งบอกเธอว่าเขาเห็นเคย์แต่งงานไปกับเจ้าหญิงองค์หนึ่ง แต่เมื่อเกอร์ด้าไปถึงปราสาทนั้นก็พบว่าเจ้าชายเป็นเพียงคนหน้าเหมือนเคย์เท่านั้น เจ้าชายกับเจ้าหญิงสงสารเกอร์ด้าที่ต้องผจญภัยขนาดนี้จึงมอบเสื้อผ้าอุ่นๆ และรถม้าให้เธอไว้เดินทางต่อ เคราะห์ร้ายที่มีโจรมาดักปล้นและเอาตัวเกอร์ด้าไป ที่นั่นเธอกลายเป็นเพื่อนกับเด็กสาวที่เป็นโจรคนหนึ่ง สัตว์เลี้ยงของเด็กสาวที่เป็นโจรบอกเกอร์ด้าว่าเห็นราชินีหิมะจับตัวเคย์ไปยังแลปแลนด์ เด็กสาวคนนั้นจึงปล่อยตัวเกอร์ด้าไปพร้อมกับกวางเรนเดียร์อีกหนึ่งตัว
ระหว่างเดินทางไปยังปราสาทของราชินีหิมะ เกอร์ด้าและกวางเรนเดียร์ได้เจอกับหญิงชาวฟินแลนด์คนหนึ่ง หญิงคนนี้แอบบอกกวางเรนเดียร์ว่า พลังที่จะช่วยเคย์ไว้ได้คือจิตใจบริสุทธิ์และอ่อนหวานของเกอร์ด้าเท่านั้น เกอร์ด้าเข้าไปในปราสาทและพบเคย์นอนแข็งอยู่บนทะเลสาบที่แข็งเป็นน้ำแข็ง เธอเข้าไปจูบเขาและร้องไห้กอดเขาจนหัวใจน้ำแข็งของเขาละลาย เศษกระจกที่เข้าตัวเขาไปก็หลุดออกมาเช่นกัน ทั้งคู่เต้นรำกันด้วยความดีใจ เคย์บอกเธอว่าราชินีสั่งว่าถ้าเขาเอาก้อนน้ำแข็งชิ้นต่างๆ ในวังมาเรียงกันเป็นคำว่า "นิรันดร" ได้ ราชินีจะปล่อยเขาไป หลังเต้นรำเสร็จทั้งคู่ก็พบว่าระหว่างเต้นนั้นน้ำแข็งก็ถูกขยับไปมาจนบังเอิญเรียงตัวเป็นคำว่า "นิรันดร" ได้เองพอดี เมื่อราชินีกลับมาเห็นดังนั้นก็ปล่อยตัวเขาไปตามสัญญา
เป็นเรื่องย่อที่ยาวมากเลยใช่มั้ยคะ นั่นก็เพราะจริงๆ The Snow Queen เป็นนิทานย่อยๆ 7 เรื่องที่รวมกันเป็น 1 เรื่องใหญ่นั่นเอง ตัวละครและเหตุการณ์เยอะไปหมด 5555
Skadi
สกาดี (Skaði) เป็นเทพีแห่งฤดูหนาว การเล่นสกี การล่าสัตว์ ตามตำนานเทพเจ้านอร์สค่ะ เธอเป็นยักษ์น้ำแข็งโยตันน์ (ตระกูลเดียวกับครอบครัวแท้ๆ ของโลกิในหนังมาร์เวล) พ่อของเธอถูกเหล่าเทพเจ้าฆ่าตายเนื่องจากไปลักพาตัวเทพธิดาองค์หนึ่ง นั่นทำให้เธอมาตามแก้แค้นกับเหล่าเทพเจ้า ซึ่งเธอคนเดียวสามารถสู้กับเทพเจ้าได้มากมาย จนโอดินต้องสั่งถอนกำลังเพื่อยุติการต่อสู้ โอดินเสนอจะมอบทองคำให้เป็นค่าชดเชยความเจ็บปวดที่เธอต้องเจอ แต่สกาดีรวยจากทรัพย์สมบัติของตระกูลอยู่แล้ว เธอจึงขอสามีจากบรรดาทวยเทพและขอเรื่องตลกๆ ให้ได้หัวเราะซักครั้ง โอดินตกลงแต่มีข้อแม้ว่าเธอต้องเลือกสามีจากการดูที่เท้าเท่านั้น (เพราะไม่มีเทพองค์ใดอาสามาแต่งงานด้วย โอดินจึงให้ใช้วิธีคล้ายจับฉลากแบบนี้)
ภาพวาดสกาดีอยากไปอยู่บ้านบนภูเขา โดย W. G. Collingwood
จริงๆ แล้วสกาดีแอบหลงรักบอลเดอร์ ลูกชายของโอดินมานานมากแล้ว เธอจึงคิดว่าคนหล่อๆ และเป็นถึงเจ้าชายแห่งแอสการ์ดต้องมีเท้าที่ยิ่งใหญ่และงดงามมากแน่ๆ เธอจึงเลือกเท้าคู่ที่สวยที่สุดในเมือง ปรากฏว่าเท้าคู่นั้นเป็นของนยอร์ดเทพแห่งทะเล แม้โลกิจะถูกส่งมาทำให้เธอหัวเราะได้ก็จริงแต่เธอยังเสียใจอยู่ที่ไม่ได้บอลเดอร์เป็นคู่ครอง ถึงอย่างนั้นเธอก็รักษาสัญญาและแต่งงานกับนยอร์ดไปตามข้อตกลง ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่ล้มเหลว
ด้วยความที่เป็นเทพคนละถิ่นกันทำให้มีปัญหาเรื่องเรือนหอ นยอร์ดชอบอยู่ริมทะเลในขณะที่สกาดีชอบอยู่บนภูเขา ตอนแรกทั้งคู่แก้ปัญหาโดยพักที่บ้านริมทะเล 9 วันแล้วไปพักที่บ้านบนภูเขา 9 วัน แต่เมื่อจบวันที่ 18 ทั้งคู่ก็รู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้จึงจากกันด้วยดี สกาดีขึ้นไปอยู่บนภูเขาอย่างมีความสุขและเธอก็บังเอิญเจออูลเลอร์เทพแห่งฤดูหนาว สกี การต่อสู้ และความยุติธรรม แค่เห็นตำแหน่งก็รู้แล้วว่าทั้งคู่คงเข้ากันได้ดีแน่ ทั้งคู่จึงอยู่ร่วมกันบนภูเขาและท่ามกลางสัตว์ป่าทั้งหลาย
สกาดีมีอารมณ์ที่เข้ากับฤดูหนาวได้เป็นอย่างดี เธอใจร้อน คาดเดาได้ยาก และถ้าคิดว่าอะไรถูกต้องเธอก็จะไม่หยุดจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้เธอยังเป็นคนไม่ค่อยนึกถึงความรู้สึกคนอื่นเท่าไหร่ด้วย
ภาพวาดนยอร์ดอยากไปอยู่บ้านริมทะเล โดย W. G. Collingwood
จริงๆ มีตำนานที่เล่าเกี่ยวกับสกาดีอีกมากมาย บ้างก็ว่าเธอแต่งงานต่อกับคนโน้นคนนี้อีก บ้างก็ว่าจริงๆ อูลเลอร์เป็นเวอร์ชันผู้ชายของเธอเฉยๆ แต่พี่ชอบตอนนี้เป็นพิเศษค่ะ รู้สึกตลกดีที่ต้องเลือกคู่จากเท้า 5555
Snegurochka
Snegurochka (Снегу́рочка) แปลว่าหญิงสาวหิมะ (Snow Maiden) เธอเป็นลูกสาวของซานตาคลอสเวอร์ชันรัสเซีย (Father Frost) ถ้าใครเคยเห็นธีมช่วงปีใหม่ของรัสเซียจะเห็นซานตาคลอสที่แตกต่างไปจากที่เราคุ้นตา และมีเด็กสาวคนหนึ่งคอยอยู่ข้างๆ และทำงานเป็นผู้ช่วยแจกจ่ายของขวัญให้กับเด็กๆ นั่นก็คือสาวน้อยคนนี้แหละค่ะ มีตำนานเกี่ยวกับเธอมากมาย บ้างก็ว่าเป็นลูกบ้างก็ว่าเป็นหลายของฟาเธอร์ฟรอสต์ แต่ตำนานที่พี่เอามาฝากนี้พี่ว่าเศร้าที่สุดแล้ว
ในป่าลึกแห่งหนึ่งทางภาคเหนือของรัสเซียมีกระท่อมน้อยหลังหนึ่ง ที่นั่นมีช่างตัดไม้และภรรยาอาศัยอยู่ ทั้งคู่อายุมากแล้วและไม่มีลูก แม้จะขยันทำงานกันแต่บางทีทั้งคู่ก็อดเศร้าไม่ได้ วันหนึ่งที่หิมะตกหนักขณะที่ทั้งคู่ช่วยกันเคลียร์พื้นที่ผ่าฟืนอยู่นั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าน่าจะเล่นปั้นตุ๊กตาหิมะกันเหมือนสมัยหนุ่มสาว ทั้งคู่จึงช่วยกันปั้นตุ๊กตาหิมะออกมาเป็นหญิงสาวที่งดงามมากๆ ช่างตัดไม้บอกกับภรรยาว่านี่คือลูกสาวของเราไง ภรรยายิ้มให้สามีก่อนที่จะแอบหันไปปาดน้ำตาเบาๆ
ฟาเธอร์ฟรอสต์แอบดูสามีภรรยาคู่นี้อยู่ด้วยความสงสาร เขาจึงเสกให้ตุ๊กตาหิมะนั้นกลายเป็นคนจริงๆ เมื่อสามีภรรยาคู่นี้หันมามองตุ๊กตาอีกครั้งก็ต้องประหลาดใจที่เห็นหญิงสาวผมยาวผิวขาวซีดแต่งดงามยืนยิ้มให้อยู่ หญิงสาวคนนี้แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีน้ำเงินอ่อนและสวมหมวกที่คล้ายมงกุฏ เธอบอกกับทั้งคู่ว่า "ถ้าไม่รังเกียจ หนูมาเป็นลูกสาวให้พวกคุณ และจะดูแลพวกคุณเหมือนพ่อแม่" ทั้งคู่ดีใจมากและพาเธอกลับไปอยู่กระท่อมด้วยกัน หญิงสาวปรนนิบัติทั้งคู่อย่างดีและดูแลงานบ้านให้ แม้ตัวเธอจะดูซีดเซียวเหมือนไม่มีชีวิตแต่เวลาที่ยิ้มก็ทำให้ทั้งป่าดูสดใสขึ้นมาเลย
ผ่านไปสองเดือนก็ถึงเทศกาลฤดูหนาว ผู้คนมากมายเดินทางผ่านป่าและผ่านกระท่อมนี้ หญิงสาวมองอย่างสนใจ ผู้เป็นแม่จึงอนุญาตให้เธอออกไปเดินเล่นร่วมเทศกาลในเมืองได้ แต่หญิงสาวก็ปฏิเสธและยืนยันว่าอยู่กับพ่อแม่ก็มีความสุขดีแล้ว
ผ่านไปสองเดือนก็ถึงเทศกาลฤดูหนาว ผู้คนมากมายเดินทางผ่านป่าและผ่านกระท่อมนี้ หญิงสาวมองอย่างสนใจ ผู้เป็นแม่จึงอนุญาตให้เธอออกไปเดินเล่นร่วมเทศกาลในเมืองได้ แต่หญิงสาวก็ปฏิเสธและยืนยันว่าอยู่กับพ่อแม่ก็มีความสุขดีแล้ว
วันหนึ่งเธอเห็นคู่รักคู่หนึ่งกำลังเล่นหิมะกันอย่างสนุกสนาน เธอสัมผัสถึงสายสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ได้ และตระหนักว่ามันเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน เย็นวันนั้นฟาเธอร์ฟรอสต์ก็มาบอกเธอว่าห้ามเธอสร้างสัมพันธ์ใดๆ กับมนุษย์แม้จะเป็นเพื่อนก็ตาม เพราะนั่นจะทำให้เธอต้องเจอหายนะ แต่หญิงสาวก็ไม่สามารถหยุดคิดถึงสายสัมพันธ์ของคนคู่นั้นได้ เธอจึงเดินเข้าไปชมงานในเมือง คนทั้งเมืองตะลึงในความงามของเธอ หลังจากนั้นมาเธอก็เข้าไปในเมืองบ่อยครั้งขึ้น วันหนึ่งเธอได้ยินเสียงดนตรีที่ไพเราะมาก เธอจึงตามเสียงไปแล้วพบกับหนุ่มนักต้อนแกะชื่อว่าเลล เลลตกหลุมรักหญิงสาวในทันทีและทั้งคู่ก็แทบจะแยกจากกันไม่ได้
วันเวลาผ่านไปจนฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามา ฟาเธอร์ฟรอสต์มาพบเธออีกครั้งและบอกว่าแสงแดดสามารถฆ่าเธอได้ ให้เธออยู่แต่ในร่มเท่านั้น เมื่อเลลมาพบเธอที่บ้านทั้งคู่จึงเต้นรำกันใต้ร่มเงาไม้ แม้จะมีความสุขแต่หญิงสาวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างหายไป มันไม่เหมือนสายสัมพันธ์แบบที่มนุษย์ทั่วไปมี เธอจึงไปปรึกษามาเธอร์สปริง (เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิ) ว่าจะช่วยให้เธอรู้สึกแบบที่มนุษย์รู้สึกได้มั้ย มาเธอร์สปริงบอกว่าทำให้ได้ แต่ถ้าทำแล้วเธอจะต้องหายไป เธอจึงกลับบ้านไปอย่างเศร้าๆ
ยิ่งท้องฟ้าสดใสเธอก็ยิ่งอยู่แต่ในบ้าน จนวันหนึ่งเลลมาหาเธอและขอให้เธอออกไปเดินเล่นกับเขา เธอพยายามปฏิเสธอยู่พักใหญ่จนไม่สามารถฝืนความรู้สึกตัวเองได้เธอจึงออกไปกับเลล เพราะเธอเองก็อยากมีสายสัมพันธ์แบบที่มนุษย์มีกันซักครั้งแม้ว่าจะเป็นเวลาสั้นๆ หรือเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงชายป่า เธอก็ขอให้เลลเล่นฟลุตให้เธอฟัง เธอฟังและรู้สึกถึงความรักลึกซึ้งเป็นครั้งแรก และก็ค่อยๆ น้ำตาไหล หัวใจของเธอค่อยๆ อบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ จนร่างกายที่สร้างจากหิมะและน้ำแข็งไม่สามารถต้านทานได้ เธอจึงค่อยๆ ละลาย
Photo Credit: The Siberian Times
เมื่อแดดออก เลลยื่นมือไปหมายจะคว้าแขนของหญิงสาวแต่ก็พบว่าเธอค่อยๆ หายไป มีเพียงละอองน้ำที่ค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ทุกคนในเมืองดีใจที่แดดออกและออกมาเฉลิมฉลองกัน แต่มีเพียงเลลที่รู้สึกหนาวเย็นและโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ ส่วนสามีภรรยาคู่นั้นแม้จะเสียใจมาก แต่ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเวทมนตร์ไม่มีทางอยู่ถาวรแน่นอน พวกเขาดีใจที่ในช่วงนึงของชีวิตได้มีลูกสาวที่น่ารักและเข้ามามอบความอบอุ่นให้
ฟาเธอร์ฟรอสต์พาวิญญาณของหญิงสาวขึ้นไปยังดินแดนห่างไกลทางตอนเหนือ ที่นั่นเป็นฤดูหนาวตลอดเวลา หญิงสาวได้ร่างกายคืนมาอีกครั้งและสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดปี แต่ในช่วงวันปีใหม่ของทุกปีฟาเธอร์ฟรอสต์จะพาหญิงสาวนั่งเลื่อนหิมะกลับมายังรัสเซียด้วยกันเพื่อมาช่วยมอบของขวัญให้กับผู้ที่มีจิตใจดี
ใครชอบเรื่องไหนมากที่สุดก็บอกกันได้นะคะ และคิดว่าแต่ละเรื่องมีคติสอนใจยังไงก็คุยกันได้ข้างล่างเลยค่ะ พี่ชอบความพยายามของเกอร์ด้าในเรื่องแรก ชอบความตรงและชัดเจนของสกาดี และชอบความเป็นผู้ญิ๊งผู้หญิงของหญิงสาวหิมะในเรื่องที่สาม ก็เลยเลือกทั้ง 3 เรื่องนี้มาเล่าให้ฟังค่ะ ดูเพื่อนหญิงพลังหญิงมากเลยเนอะ
7 ความคิดเห็น
เราชอบตำนานสุดท้ายมากเลยค่ะ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าซานตาคลอสก็มีลูกสาวกับเขาด้วย แม้จะโดนเสกและเป็นเวอชันรัสเซียก็เถอะ เศร้าอะ พอมีความรักก็ต้องจากไป แต่ก็สวยงามดีค่ะ
เราชอบเรื่อง Snegurochka ที่สุดแล้วอ่านจบเราน้ำตาไหลเลย คือเศร้ามากถึงตอนจบเด็กผู้หญิงจะกลับมามีชีวิตก็เหอะแต่ก็ไม่ได้อยู่กับคนที่รักอยู่ดี
#ใครก็ได้ช่วยอัญเชิญเอลซ่ามาที
ชอบนิทานรัสเซีย แม้ว่าจะจบเศร้า แต่น่ารักดี