เคยสงสัยมั้ยว่าเด็กไทยเราเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ประถม (บางคนเรียนตั้งแต่อนุบาล) แต่กลับพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือพูดไม่คล่อง นั่นก็เป็นเพราะว่าการเรียนภาษาอังกฤษในห้องเรียนส่วนใหญ่เป็นการเรียนแบบนักเรียนเป็นฝ่ายรับข้อมูล คุณครูสอนมาเราก็จำ เราก็ท่อง
แต่ถ้าอยากจะพูดภาษาอังกฤษให้ได้ สิ่งที่เราต้องทำคือเป็นฝ่ายส่งข้อมูลออกไปค่ะ เราต้องฝึกพูดให้มากขึ้น ซึ่งจะทำแบบนั้นได้ เราก็ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่บังคับให้เราต้องใช้ภาษาอังกฤษบ่อยๆ เช่น
ไปเรียนต่างประเทศ ไม่อยากใช้ก็ต้องใช้ล่ะ
ไปเรียนโรงเรียนนานาชาติ โปรแกรมพิเศษ ที่บังคับให้เราต้องเรียนกับครูฝรั่งตลอดทุกวิชา โต้ตอบกับเพื่อนในห้องเรียนเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น
หรือซื้อคอร์สตามสถาบันภาษาในห้างดังๆ ที่จัดสภาพแวดล้อมให้เราได้พูดคุยกับชาวต่างชาติมากขึ้น
ทั้งหมดทั้งมวลที่พี่น้องพูดถึงนี้ล้วนต้องใช้เงินค่ะ และไม่ใช่เงินน้อยๆ เลยด้วย เราต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่บีบให้เราพูดภาษาอังกฤษ เราถึงจะพูดได้สักที
ถ้าเราไม่มีเงิน เราก็จะไม่มีวันเก่งภาษาอังกฤษเลยเหรอ?
อย่าเพิ่งท้อแท้ใจไปค่ะ บทความนี้พี่น้องจะมาบอกวิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินสักบาท ค่อยๆ ไปดูทีละขั้นตอนกันค่ะ
1. ล้างสมองตัวเองให้เลิกหมกมุ่นกับไวยากรณ์
ปัญหาอย่างหนึ่งของเด็กไทยคือเรียนไวยากรณ์มากไปค่ะ เราพะวงกับหลักการเสียจนเราไม่กล้าพูดออกมาเพราะกลัวผิดไวยากรณ์
แต่ความจริงแล้วไวยากรณ์สำคัญแค่เฉพาะตอนสอบ พอมาเป็นเรื่องของการสื่อสาร จะพูดผิดไวยากรณ์นิดหน่อย แต่ยังสื่อความได้ก็พอไปรอดอยู่แล้ว
เช่น เราอยากจะพูดว่า "พวกเขาเป็นนักเรียน" ประโยคที่ถูกต้องเราต้องพูดว่า
แต่ความจริงแล้วไวยากรณ์สำคัญแค่เฉพาะตอนสอบ พอมาเป็นเรื่องของการสื่อสาร จะพูดผิดไวยากรณ์นิดหน่อย แต่ยังสื่อความได้ก็พอไปรอดอยู่แล้ว
เช่น เราอยากจะพูดว่า "พวกเขาเป็นนักเรียน" ประโยคที่ถูกต้องเราต้องพูดว่า
แต่เราอาจจะไม่ชินกับการเปลี่ยนกริยาให้ตรงกับประธาน หรือการเติม s เมื่อคำนามนั้นมีจำนวนมากกว่า 1 เราอาจพูดออกไปว่า
แบบนี้ก็ยังสื่อความได้ครบถ้วน เพราะคนฟังเข้าใจว่าเรากำลังพูดถึงพวกเขาหลายคนที่เป็นนักเรียนอยู่
ยกอีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้าเราจะพูดคำว่า "เขาเป็นคุณหมอ" ประโยคที่ถูกต้องคือ
ยกอีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้าเราจะพูดคำว่า "เขาเป็นคุณหมอ" ประโยคที่ถูกต้องคือ
แต่ในภาษาไทยไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "คำนำหน้านาม (article)" เราก็อาจจะลืมใส่ หรือไม่รู้ว่าต้องใส่ กลายเป็นพูดออกไปว่า
ก็ยังเข้าใจว่าเราต้องการพูดถึงอาชีพของเขาอยู่ดีค่ะ
เห็นมั้ยคะว่าการใช้ไวยากรณ์ผิดไม่ได้คอขาดบาดตายขนาดนั้น แต่ก็อย่าเพิ่งเริงร่า งั้นไม่เรียนแล้ว พูดผิดๆ ถูกๆ ไปเลยดีกว่า
ที่พี่น้องบอกว่าให้เลิกสนใจ เพราะอยากให้เรากล้าพูดภาษาอังกฤษมากกว่านี้ค่ะ อย่างที่บอกว่าความกังวลเรื่องไวยากรณ์ทำให้เรา "ไม่กล้า" พูด เมื่อไรก็ตามที่เราเตือนตัวเองได้ว่าการพูดผิดไวยากรณ์ไม่ได้เป็นเรื่องร้ายขนาดนั้น เราก็จะกล้าพูดภาษาอังกฤษมากขึ้น
ถ้ามีคนติงเรื่องไวยากรณ์ ก็อย่าคิดมาก แต่ให้ขอบคุณคนๆ นั้นที่หวังดีกับเราค่ะ อยากให้เราเก่งอังกฤษยิ่งขึ้นไปอีก เราก็ค่อยๆ เรียนรู้จากความผิดพลาดไป
เห็นมั้ยคะว่าการใช้ไวยากรณ์ผิดไม่ได้คอขาดบาดตายขนาดนั้น แต่ก็อย่าเพิ่งเริงร่า งั้นไม่เรียนแล้ว พูดผิดๆ ถูกๆ ไปเลยดีกว่า
ที่พี่น้องบอกว่าให้เลิกสนใจ เพราะอยากให้เรากล้าพูดภาษาอังกฤษมากกว่านี้ค่ะ อย่างที่บอกว่าความกังวลเรื่องไวยากรณ์ทำให้เรา "ไม่กล้า" พูด เมื่อไรก็ตามที่เราเตือนตัวเองได้ว่าการพูดผิดไวยากรณ์ไม่ได้เป็นเรื่องร้ายขนาดนั้น เราก็จะกล้าพูดภาษาอังกฤษมากขึ้น
ถ้ามีคนติงเรื่องไวยากรณ์ ก็อย่าคิดมาก แต่ให้ขอบคุณคนๆ นั้นที่หวังดีกับเราค่ะ อยากให้เราเก่งอังกฤษยิ่งขึ้นไปอีก เราก็ค่อยๆ เรียนรู้จากความผิดพลาดไป
2. จำเป็นประโยคหรือกลุ่มคำ ดีกว่าจำศัพท์เป็นคำๆ
เราโดนสอนมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกว่าให้ท่องศัพท์แบบคำต่อคำ เช่น
การรู้ศัพท์พวกนี้ก็ดีค่ะ แต่ปัญหาคือการจำศัพท์แยกเป็นคำๆ ทำให้เวลาพูดจริง เราต้องเอาแต่ละคำนั้นมาประกอบกัน ใช้เวลามากกว่าการจำเป็นประโยคไปเลย
เช่น เวลาคนตกใจ เจออะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็จะอุทานว่า "นี่มันอะไรน่ะ?"
ถ้าเรามานั่งคิดทีละคำว่า this = นี่ it = มัน what = อะไร เจ้าสิ่งนั้นคงเปื่อยยุ่ยหายไปตามกาลเวลาแล้ว แถมพอหาคำศัพท์ได้ เอามาประกอบกันก็ไม่เป็นประโยคที่ฟังเข้าใจอีก
ให้จำไปเลยค่ะว่า
เช่น เวลาคนตกใจ เจออะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็จะอุทานว่า "นี่มันอะไรน่ะ?"
ถ้าเรามานั่งคิดทีละคำว่า this = นี่ it = มัน what = อะไร เจ้าสิ่งนั้นคงเปื่อยยุ่ยหายไปตามกาลเวลาแล้ว แถมพอหาคำศัพท์ได้ เอามาประกอบกันก็ไม่เป็นประโยคที่ฟังเข้าใจอีก
ให้จำไปเลยค่ะว่า
อยากใส่อารมณ์ลงไปอีกก็ "What is this shit?" (ออกเสียง เชียท เน้นๆ ไปเลย เพื่อเพิ่มความสะอิดสะเอียน)
เวลาเจอสถานการณ์แบบนี้ในชีวิตประจำวันเราอาจจะคิดอยู่ในหัวเลยว่าฉันจะพูดประโยคนี้ หรือพูดออกไปเลยก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่าเพื่อนจะมองแรง จำไว้ว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้นั้นน่าอายกว่าค่ะ
เวลาเจอสถานการณ์แบบนี้ในชีวิตประจำวันเราอาจจะคิดอยู่ในหัวเลยว่าฉันจะพูดประโยคนี้ หรือพูดออกไปเลยก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่าเพื่อนจะมองแรง จำไว้ว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้นั้นน่าอายกว่าค่ะ
3. อย่าแปลจากไทยเป็นอังกฤษ
อ้าว ไม่ให้แปลจากไทยเป็นอังกฤษ แล้วหนูจะพูดออกมาได้ไงคะพี่น้อง!
คืออย่างนี้ค่ะ บางคนอาจเคยได้ยินมาว่าถ้าอยากพูดภาษาอังกฤษให้เหมือนเจ้าของภาษามาเอง เราต้อง "คิด" แบบเจ้าของภาษานั้นๆ เลย
เพราะวัฒนธรรมฝั่งตะวันตกกับฝั่งไทยไม่เหมือนกัน ทำให้การใช้ภาษาในแต่ละสถานการณ์ก็ต่างกันไปด้วย และถ้าเราไปพะวงกับการถอดภาษาอังกฤษให้ตรงกับภาษาไทยที่เราคิดไว้เป๊ะๆ มันก็จะทำให้ภาษาอังกฤษดูทะแม่งเอามากๆ
พี่น้องจะยกตัวอย่างโดยใช้ความเห็นของพี่เกี่ยวกับเจ้าฮารัมเบ คิงคองที่โดนยิงตายแล้วกันนะ
คืออย่างนี้ค่ะ บางคนอาจเคยได้ยินมาว่าถ้าอยากพูดภาษาอังกฤษให้เหมือนเจ้าของภาษามาเอง เราต้อง "คิด" แบบเจ้าของภาษานั้นๆ เลย
เพราะวัฒนธรรมฝั่งตะวันตกกับฝั่งไทยไม่เหมือนกัน ทำให้การใช้ภาษาในแต่ละสถานการณ์ก็ต่างกันไปด้วย และถ้าเราไปพะวงกับการถอดภาษาอังกฤษให้ตรงกับภาษาไทยที่เราคิดไว้เป๊ะๆ มันก็จะทำให้ภาษาอังกฤษดูทะแม่งเอามากๆ
พี่น้องจะยกตัวอย่างโดยใช้ความเห็นของพี่เกี่ยวกับเจ้าฮารัมเบ คิงคองที่โดนยิงตายแล้วกันนะ
ถ้าพยายามจะแปลให้ตรงกับที่เป็นภาษาไทยทุกคำ นอกจากจะเวิ่นเว้อแล้ว ยังดูไม่เป็นธรรมชาติอีกด้วย ถ้าให้พี่น้องคิดประโยคนี้ใหม่เป็นภาษาอังกฤษ พี่น้องคงพูดออกมาแบบนี้
ภาษาอังกฤษที่พี่คิดออกมาถ้าแปลเป็นไทยจะประมาณว่า "เรื่องดีเรื่องเดียวที่เกิดขึ้นกับฮารัมเบคือมันจะไม่ต้องทนชีวิตอันน่าเศร้านี้อีกต่อไป" เห็นมั้ยคะว่าแปลเป็นไทยก็ดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าไรนัก
พี่น้องจึงแนะนำว่าเวลาเจอสถานการณ์ต่างๆ พยายามคิดว่าถ้าเป็นเจ้าของภาษาจะพูดยังไง ใครมีดารานักร้องในใจก็นึกหน้าเขา/เธอเอาไว้เลยค่ะ
น้องๆ อาจจะสงสัยว่า เราจะคิดเป็นเจ้าของภาษาได้ยังไง ก็ในเมื่อเราไม่ได้เป็นคนอังกฤษ เราจะนึกคำภาษาอังกฤษออกได้ยังไง
วิธีการอยู่ในเคล็ดลับข้อต่อๆ ไปค่ะ
พี่น้องจึงแนะนำว่าเวลาเจอสถานการณ์ต่างๆ พยายามคิดว่าถ้าเป็นเจ้าของภาษาจะพูดยังไง ใครมีดารานักร้องในใจก็นึกหน้าเขา/เธอเอาไว้เลยค่ะ
น้องๆ อาจจะสงสัยว่า เราจะคิดเป็นเจ้าของภาษาได้ยังไง ก็ในเมื่อเราไม่ได้เป็นคนอังกฤษ เราจะนึกคำภาษาอังกฤษออกได้ยังไง
วิธีการอยู่ในเคล็ดลับข้อต่อๆ ไปค่ะ
4. เลียนแบบการพูดจากหนังหรือซีรี่ส์
ก็ในเมื่อเราไม่มีเงินซื้อตั๋วเครื่องบินไปอยู่ลอนดอน หรือสถาบันภาษา ก็ต้องใช้อินเทอร์เน็ตที่บ้านนี่แหละค่ะ ให้เป็นประโยชน์ ดูทีวีออนไลน์ ดูพวก Netflix หรือ Iflix หาหนังหรือซีรี่ส์สนุกๆ ดู (จ่ายเดือนละร้อยเอง)
พี่น้องขอแนะนำให้เริ่มจากอนิเมชั่นสำหรับเด็กอย่างดิสนีย์ พิกซ่า ดรีมเวิร์คส์ ฯลฯ เพราะว่าหนังพวกนี้จะพูดชัด ไม่มีสำเนียงแปลกๆ ที่เราไม่คุ้นหูปนมา และโครงสร้างประโยคไม่ซับซ้อน
พี่น้องขอแนะนำให้เริ่มจากอนิเมชั่นสำหรับเด็กอย่างดิสนีย์ พิกซ่า ดรีมเวิร์คส์ ฯลฯ เพราะว่าหนังพวกนี้จะพูดชัด ไม่มีสำเนียงแปลกๆ ที่เราไม่คุ้นหูปนมา และโครงสร้างประโยคไม่ซับซ้อน
Pixar Animation Studios
วิธีการดูคือ...ให้นั่งดูคนเดียว แล้วพูดตามค่ะ เลียนแบบนักแสดง พยายามดัดลิ้นตัวเองให้ออกเสียงแบบเขาให้ได้ เขา "เถอะ" มา เราก็ "เถอะ" ให้ชัดเหมือนเขา เสียง s เสียง z เก็บให้หมด อย่าอาย
ถ้าใครไม่ชอบการ์ตูน ก็ลองพวกซีรี่ส์หรือหนังแนวโรแมนติกคอเมดี้ พยายามเลือกหนังฝั่งอเมริกัน เพราะสำเนียงจะคุ้นหูมากกว่าฝั่งบริติช หนังแนวๆ นี้นักแสดงอาจจะพูดเร็วตามธรรมชาติที่เขาพูดกัน และนักแสดงบางคนอาจติดสำเนียงแปลกๆ เป็นสไตล์ของเขามาบ้าง แต่หนังแนวนี้จะช่วยให้เราได้ สำนวน หรือรูปประโยคที่ใช้กับชีวิตประจำวันได้มากกว่าแนวอื่นๆ ค่ะ
ส่วนใครที่อยากแอดวานซ์ เบื่อหนังธรรมดาแล้ว จะดูหนังแฟนตาซี ใครจะทำไม ก็ดูได้ค่ะ แต่หนังแฟนตาซีพวกนี้อาจจะไม่มีรูปประโยคที่เราใช้ในชีวิตประจำวันมากนัก จึงเหมาะกับการฝึกพูดตามอย่างเดียวมากกว่า ส่วนใหญ่นักแสดงในหนังแฟนตาซีแบบย้อนยุคจะพูดสำเนียงบริติชกัน ก็เป็นการฝึกอีกสำเนียงไปในตัว
และที่สำคัญกว่านั้น เวลาพูดตาม พี่น้องขอให้สังเกตการ "เน้นพยางค์" หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "stress" ให้ดีค่ะ เพราะสิ่งนี้แหละที่ทำให้เราออกเสียงเหมือนเจ้าของภาษาเป๊ะ หรือไม่เหมือนเลย เช่น
และที่สำคัญกว่านั้น เวลาพูดตาม พี่น้องขอให้สังเกตการ "เน้นพยางค์" หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "stress" ให้ดีค่ะ เพราะสิ่งนี้แหละที่ทำให้เราออกเสียงเหมือนเจ้าของภาษาเป๊ะ หรือไม่เหมือนเลย เช่น
apple มี 2 พยางค์ ถ้าเป็นภาษาไทยก็ออกเสียงทั้ง 2 พยางค์อย่างเท่าเทียมว่า
แต่ภาษาอังกฤษ พยางค์จะไม่เท่าเทียมกันค่ะ จะมีแค่พยางค์เดียวเท่านั้นที่ดังและเน้นกว่าใคร ซึ่งคำว่า apple เราต้องเน้นที่พยางค์แรก มันจึงต้องออกเสียงว่า "แอ๊พ-พึ่ล"
ขอให้ออกเสียง "แอ๊พ" ขึ้นไปสูงๆ ดังๆ แล้วค่อย "พึ่ล" เบาๆ เหมือนอยู่ดีๆ ก็หมดความมั่นใจ นั่นแหละค่ะถึงจะได้สำเนียงฝรั่งแท้ๆ
ขอให้ออกเสียง "แอ๊พ" ขึ้นไปสูงๆ ดังๆ แล้วค่อย "พึ่ล" เบาๆ เหมือนอยู่ดีๆ ก็หมดความมั่นใจ นั่นแหละค่ะถึงจะได้สำเนียงฝรั่งแท้ๆ
6. เปลี่ยน input เป็นภาษาอังกฤษให้หมด
นอกจากพวกซีรี่ส์แล้ว เราต้องเปลี่ยนสารอื่นๆ ที่เรารับให้เป็นภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุดด้วยค่ะ วิธีการนี้หมายความว่าอย่างไร
ก็เริ่มจากเปลี่ยนภาษาในโทรศัพท์มือถือของเราให้เป็นภาษาอังกฤษ เปลี่ยนภาษาในคอมพิวเตอร์ของเราให้เป็นภาษาอังกฤษ ฟังคลื่นวิทยุที่เปิดเพลงสากล ฟังเพลงสากลให้มากขึ้น ดูรายงานข่าวของต่างประเทศ ดูคลิปในยูทูปที่เป็นภาษาอังกฤษ
เอาสิ่งเหล่านี้กรอกหูเข้าไปเยอะๆ ค่ะ แม้ว่าเราจะไม่ได้ฝึกพูด แต่เรากำลังฝึกหูของเราให้จับสำเนียงที่เราได้ยิน คำศัพท์ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และคุ้นเคยกับการออกเสียงสูงต่ำในภาษาอังกฤษไปเอง
ก็เริ่มจากเปลี่ยนภาษาในโทรศัพท์มือถือของเราให้เป็นภาษาอังกฤษ เปลี่ยนภาษาในคอมพิวเตอร์ของเราให้เป็นภาษาอังกฤษ ฟังคลื่นวิทยุที่เปิดเพลงสากล ฟังเพลงสากลให้มากขึ้น ดูรายงานข่าวของต่างประเทศ ดูคลิปในยูทูปที่เป็นภาษาอังกฤษ
เอาสิ่งเหล่านี้กรอกหูเข้าไปเยอะๆ ค่ะ แม้ว่าเราจะไม่ได้ฝึกพูด แต่เรากำลังฝึกหูของเราให้จับสำเนียงที่เราได้ยิน คำศัพท์ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และคุ้นเคยกับการออกเสียงสูงต่ำในภาษาอังกฤษไปเอง
7. กำหนดหัวข้อให้ตัวเองพูดวันละ 1 หัวข้อ
สำหรับคนที่ฝึกภาษาอังกฤษตามที่พี่น้องแนะนำมาครบ 6 ข้อได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็เริ่มให้การบ้านตัวเองได้ฝึกพูดจริงๆ บ้างค่ะ
ถ้าใครมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติที่ไม่มีพิษมีภัย พี่น้องก็แนะนำให้ฝึกกับคนๆ นั้น facetime หากัน หรือคุยผ่านไลน์ เพื่อฝึกประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เป็นไงบ้าง วันนี้แย่มาก ที่นั่นฝนตกมั้ย
แต่สำหรับคนที่หาเพื่อนต่างชาติไม่ได้ ที่หาได้ก็ดูไม่ปลอดภัยที่จะคุยกันตรงๆ พี่น้องแนะนำให้ฝึกตัวเองด้วยการกำหนดหัวข้อให้ตัวเองพูดวันละ 1 หัวข้อค่ะ
หัวข้อที่กำหนดก็ขอให้เป็นเรื่องทั่วๆ ไป เรื่องง่ายๆ เช่น
ถ้าใครมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติที่ไม่มีพิษมีภัย พี่น้องก็แนะนำให้ฝึกกับคนๆ นั้น facetime หากัน หรือคุยผ่านไลน์ เพื่อฝึกประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เป็นไงบ้าง วันนี้แย่มาก ที่นั่นฝนตกมั้ย
แต่สำหรับคนที่หาเพื่อนต่างชาติไม่ได้ ที่หาได้ก็ดูไม่ปลอดภัยที่จะคุยกันตรงๆ พี่น้องแนะนำให้ฝึกตัวเองด้วยการกำหนดหัวข้อให้ตัวเองพูดวันละ 1 หัวข้อค่ะ
หัวข้อที่กำหนดก็ขอให้เป็นเรื่องทั่วๆ ไป เรื่องง่ายๆ เช่น
เราอาจจะนั่งพูดหน้ากระจก นั่งพูดกับตุ๊กตาบนเตียง ทำเหมือนกับว่ามีคนฟังอยู่ หรืออัดเป็นคลิปวิดีโอไว้ก็ได้ ทำแบบนี้ทุกวัน พี่น้องรับประกันค่ะ เอาคลิปวิดีโอมาเปิดย้อนหลังดูได้เลย ภายในสามเดือนเราจะเห็นความแตกต่างระหว่างคลิปแรกกับคลิปล่าสุด
หลายคนอาจจะตกใจเอามือทาบอก "คุณพระ! ตั้ง 3 เดือน!"
3 เดือนนี่เร็วมากแล้วค่ะ การพูดภาษาอังกฤษให้เก่งไม่มีทางลัดค่ะ ต้องใช้เวลาและความพยายามจริงๆ ไม่มีคอร์สใด หรือหนังสือเล่มไหนสอนให้เราพูดอังกฤษเก่งได้ในไม่กี่ชั่วโมง โดยที่เราไม่ได้พูดเลยสักคำเดียว
แม้แต่คนที่ไปอยู่ต่างประเทศตั้ง 3 เดือนบางคนยังพูดอังกฤษได้เท่ากับที่อยู่ไทยเลยนะคะ
หลายคนอาจจะตกใจเอามือทาบอก "คุณพระ! ตั้ง 3 เดือน!"
3 เดือนนี่เร็วมากแล้วค่ะ การพูดภาษาอังกฤษให้เก่งไม่มีทางลัดค่ะ ต้องใช้เวลาและความพยายามจริงๆ ไม่มีคอร์สใด หรือหนังสือเล่มไหนสอนให้เราพูดอังกฤษเก่งได้ในไม่กี่ชั่วโมง โดยที่เราไม่ได้พูดเลยสักคำเดียว
แม้แต่คนที่ไปอยู่ต่างประเทศตั้ง 3 เดือนบางคนยังพูดอังกฤษได้เท่ากับที่อยู่ไทยเลยนะคะ
ดังนั้น ถ้าอยากเห็นอนาคตอันสดใส ทำ 7 ข้อนี้วนไปค่ะ!!!
ขอบคุณข้อมูลจาก fluentu
ขอบคุณภาพประกอบจาก
New Line Cinema
Pixar Animation Studios
ขอบคุณภาพประกอบจาก
New Line Cinema
Pixar Animation Studios
3 ความคิดเห็น