ดราม่ายิ่งกว่าละคร! 2 คดีเด็กหายในอเมริกา ที่กลับได้ลูกคนอื่นมาเลี้ยงแทน

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ถ้าพูดถึงเด็กหายก็คงเป็นฝันร้ายของพ่อแม่ทุกคน หากตามหาจนเจอก็ถือว่าเรื่องจบลงอย่างมีความสุข แต่ถ้าวันนึงรู้ว่าเด็กที่ได้คืนมาและเลี้ยงดูเหมือนลูกมาทั้งชีวิตกลับไม่ใช่ลูกจริงๆ ล่ะ คงเกิดคำถามขึ้นมากมาย ที่แน่ๆ คือ "ลูกตัวจริงยังอยู่ที่ไหน" วันนี้ พี่พิซซ่า มี 2 คดีดังของการได้ลูกคืนแต่ค้นพบทีหลังว่าได้มาผิดตัวมาฝากค่ะ เป็นคดีปริศนาชื่อดังของโลกเลย


คดีหมายเลข 1: คดีบ็อบบี้ ดันบาร์

     บ็อบบี้ ดันบาร์ เป็นลูกชายคนโตของเลสซี่และเพอร์ซี่ ดันบาร์ วันหนึ่งในเดือนสิงหาคม 1912 ครอบครัวดันบาร์ไปตกปลากันที่ทะเลสาบสเวย์ซี่ใกล้บ้าน ในมลรัฐหลุยเซียน่า และบ็อบบี้วัย 4 ขวบก็หายไปในระหว่างทริปนี้
    
      ข่าวนี้โด่งดังไปทั่วอเมริกาในช่วงปี 1912-1913 มีการระดมกำลังจากทุกหน่วยทั่วประเทศให้ช่วยกันตามหาบ็อบบี้ ผ่านไป 8 เดือนเจ้าหน้าที่ก็พบเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนบ็อบบี้ทุกประการอยู่กับชายที่ชื่อวิลเลียม วอลเทอร์ส วิลเลี่ยมเป็นช่างซ่อมเปียโนและออร์แกน ในขณะนั้นเขากำลังเดินทางทำงานรับจ้างทั่วไปในมลรัฐมิสซิสซิปปี้พร้อมกับเด็กชายคนนี้ วิลเลียมอ้างว่าเด็กชายที่อยู่ด้วยนั้นชื่อชาร์ลส์ บรู๊ซ แอนเดอร์สัน เป็นลูกชายของจูเลีย แอนเดอร์สัน ที่เป็นคนทำงานบ้านให้กับตระกูลวอลเทอร์ส เขาอ้างว่าแม่ของเด็กฝากเด็กไว้กับเขา แต่ทางการไม่เชื่อและจับกุมวิลเลียม วอลเทอร์ส และติดต่อครอบครัวดันบาร์ให้เดินทางมามิสซิสซิปปี้เพื่อระบุตัวเด็กชาย


ความสับสนในการรายงานของสื่อ

     ข่าวการเจอตัวเด็กชายบ็อบบี้ ดันบาร์ กลายเป็นข่าวดังพอๆ กับตอนที่หายตัวไป แต่รายงานข่าวในตอนนั้นให้ข้อมูลที่แตกต่างกันมาก บางหนังสือพิมพ์รายงานว่าวินาทีที่เด็กได้เห็นหน้าเลสซี่ ดันบาร์ เด็กชายก็ตะโกนว่า "แม่" แล้วรีบวิ่งไปกอดทันที บางฉบับรายงานว่าเห็นเด็กผู้ชายร้องไห้ ส่วนเลสซี่ทำท่าไม่แน่ใจว่านั่นใช่ลูกของเธอมั้ย และมีบางฉบับรายงานว่าทั้งเลสซี่และเพอร์ซี่ ดันบาร์ ต่างไม่แน่ใจด้วยกันทั้งคู่ว่านั่นใช่ลูกชายคนโตของพวกเขารึเปล่า
    
     นอกจากนี้ยังรายงานไม่ตรงกันอีกด้วยว่า เมื่อเด็กชายได้เห็นหน้าอลองโซ่ ดันบาร์ ลูกชายคนเล็กของบ้านและเป็นน้องชายแท้ๆ ของบ็อบบี้ ดันบาร์ เด็กชายมีปฏิกิริยาต่อกันอย่างไร บ้างก็ว่าเด็กชายคนนั้นทำท่าเหมือนไม่เคยเห็นอลองโซ่มาก่อน บ้างก็ว่าเด็กชายวิ่งไปกอดจูบกับอลองโซ่ทันที แต่วันถัดมาหลังจากอาบน้ำให้เด็กชายคนนี้แล้ว เลสซี่ ดันบาร์ ก็ประกาศว่าเธอมั่นใจแล้วว่านี่คือบ็อบบี้ลูกชายของเธอแน่ๆ เพราะเธอจำตำแหน่งไฝและรอยแผลเป็นบนตัวเด็กได้ เด็กชายคนนี้จึงได้กลับบ้านครอบครัวดันบาร์ ทั้งเมืองถึงกับจัดงานพาเหรดต้อนรับกลับบ้านให้


เด็กผู้ชายที่ยืนหน้ารถคือเด็กที่พบว่าอยู่กับวิลเลียม วอลเทอร์ส


การปรากฏตัวของจูเลีย แอนเดอร์สัน

     ไม่กี่วันหลังจากนั้น จูเลีย แอนเดอร์สัน ก็เดินทางมาจากมลรัฐนอร์ธแคโรลิน่า เพื่อมาเป็นพยานให้วิลเลียมว่าเด็กผู้ชายที่อยู่กับวิลเลียมนั้นคือชาร์ลส์ บรู๊ซ แอนเดอร์สัน หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าบรู๊ซ เป็นลูกชายแท้ๆ ของเธอเองจริงๆ เธอให้การว่าเธออนุญาตให้วิลเลียม วอลเทอร์ส พาลูกชายของเธอไปเที่ยวได้ โดยเธอเชื่อว่าจะเป็นทริป 2 วัน 1 คืนเพื่อไปเที่ยวบ้านญาติอีกคนของวิลเลียม และเธอเองก็ไม่ได้ยินยอมให้วิลเลียมพาลูกชายเธอไปเที่ยวด้วยนานขนาดนี้
    
     หนังสือพิมพ์รายงานว่าทางการให้จูเลียไประบุตัวลูกชายเธอจากเด็กชายอายุเท่าๆ กัน 5 คน ซึ่งรวมทั้งเด็กชายคนในข่าวด้วย แต่เมื่อเด็กชายคนดังกล่าวเห็นหน้าจูเลียก็ไม่ได้มีทีท่าว่ารู้จัก นอกจากนี้จูเลียยังมีท่าทางไม่แน่ใจด้วยเช่นกันในครั้งแรกที่เห็นเด็กชายคนนั้น แต่ในวันรุ่งขึ้นหลังจูเลียถอดเสื้อเด็กชายออก เธอก็มั่นใจเลยว่านี่คือบรู๊ซลูกชายของเธอ แต่ข่าวก็ออกไปทั่วแล้วว่าเธอไม่มั่นใจในตอนแรก แถมเธอยังมีประวัติไม่ดีซักเท่าไหร่เพราะเธอมีลูกมาก่อนหน้านี้ 2 คนโดยไม่ได้แต่งงาน แถมลูก 2 คนแรกของเธอก็เสียชีวิตไปแล้ว ทำให้คำกล่าวของเธอไม่น่าเชื่อถือ
    
     ด้วยความที่ไม่มีเงินพอจะอยู่สู้คดีต่อ จูเลียจึงต้องกลับนอร์ธแคโรลิน่าชั่วระยะหนึ่ง แต่เธอก็กลับมามิสซิสซิปปี้อีกครั้งเพื่อเป็นพยานช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของวิลเลียมว่าเขาไม่ได้ลักพาตัวเด็กครอบครัวดันบาร์ไป นอกจากนี้ชาวบ้านหลายคนในเมืองป๊อปลาร์วิลล์ก็มาช่วยเป็นพยานเช่นกัน เพราะหลายคนให้การว่าพวกเขาเห็นวิลเลียมและเด็กชายคนนี้มาก่อนที่จะมีข่าวว่าบ็อบบี้หายตัวไป

     แต่สุดท้ายศาลก็สรุปว่าเด็กชายที่อยู่กับวิลเลียมคือบ็อบบี้ และตัดสินวิลเลียมว่ามีความผิดจริงในข้อหาลักพาตัว ส่วนเด็กชายคนนั้นก็อยู่กับครอบครัวดันบาร์ในฐานะบ็อบบี้ ดันบาร์ ไปตลอดชีวิต


เรื่องราวหลังคดีสิ้นสุด

     ในช่วงพิจารณาคดีที่ยาวนาน จูเลียต้องมาอาศัยที่เมืองป๊อปลาร์วิลล์บ่อยๆ ทำให้เธอกลายเป็นคนของที่นี่ไปเลย เธอแต่งงานและมีลูกอีกถึง 7 คน เธอกลายเป็นพลเมืองตัวอย่างของที่นี่ ช่วยชาวบ้านสร้างโบสถ์ และยังเป็นพยาบาลและหมอตำแยให้คนในเมืองอีกด้วย แม้ลูกๆ ของเธอจะบอกว่าแม่มีความสุขในเมืองป๊อปลาร์วิลล์เสมอมา แต่แม่ก็จะพูดถึงบรู๊ซตลอดเวลา และทุกคนในครอบครัวจะถือว่าบรู๊ซคือพี่คนโตที่ถูกครอบครัวดันบาร์ลักพาตัวไป
   

     เด็กผู้ชายที่ชื่อบ็อบบี้ ดันบาร์ ก็โตขึ้นและแต่งงานมีลูก 4 คน สุดท้ายเขาเสียชีวิตลงในปี 1966
ส่วนวิลเลียม วอลเทอร์ส หลังจำคุกได้ 2 ปีทนายของเขาก็ยื่นคำร้องขอให้มีการสืบสวนใหม่ แต่เพราะการสืบสวนครั้งแรกมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ทางการจึงเลือกปล่อยตัวเขาแทน หลังได้รับอิสระวิลเลียมก็เดินทางย้ายถิ่นฐานบ่อย หลานๆ ของพี่ชายวิลเลียมเล่าว่าสมัยพวกเขาเด็กๆ วิลเลียมจะมาเยี่ยมคุณปู่ของพวกเขาอยู่เสมอ และทุกครั้งที่มาพวกเขาก็จะคุยกันเรื่องคดีซึ่งวิลเลียมพูดเสมอว่าเขาบริสุทธิ์


ภาพจากหนังสือพิมพ์ยุคนั้น ด้านซ้ายคือบ็อบบี้ก่อนที่จะหายไป ด้านขวาคือเด็กที่เจอภายหลัง


ความพยายามของลูกหลาน

     หลายปีหลังจากบ็อบบี้ ดันบาร์ เสียชีวิต หลานสาวคนหนึ่งของเขา มาร์กาเร็ต ดันบาร์ คัตไรท์ ก็เริ่มต้นสืบเรื่องนี้ต่อ เธอสืบค้นข้อมูลเก่าๆ ทั้งหมด และนัดสัมภาษณ์ลูกหลานของจูเลีย แอนเดอร์สัน ที่มาร์กาเร็ตทำไปทั้งหมดก็เพราะอยากยืนยันว่าคุณปู่ของเธอเป็นบ็อบบี้ ดันบาร์ ตัวจริง แต่ยิ่งสืบค้นไปเรื่อยๆ เธอกลับสงสัยมากขึ้น
    
     ในปี 2004 บ็อบ ดันบาร์ จูเนียร์ ลูกชายของบ็อบบี้ ดันบาร์ ยินยอมให้ตรวจ DNA เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องนี้ให้ได้ ผล DNA ออกมาว่าเขาไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับลูกพี่ลูกน้องของเขา ที่เป็นลูกชายของอลองโซ่ ดันบาร์ (น้องชายของบ็อบบี้ ดันบาร์) เลยแม้แต่น้อย ทำให้ทุกวันนี้มีข้อสงสัยว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกับเด็กชายบ็อบบี้ ดันบาร์ ตัวจริงที่หายตัวไปในปี 1912

     ปี 2008 มีสารคดีทางวิทยุเรื่อง The Ghost of Bobby Dunbar เป็นสารคดีเกี่ยวกับการสืบค้นของมาร์กาเร็ต เธอคิดว่าบ็อบบี้ตัวจริงน่าจะตกทะเลสาบเสียชีวิตไปตั้งแต่วันที่หายตัวไปแล้ว จากข้อมูลทั้งหมดทำให้ครอบครัวของจูเลีย แอนเดอร์สัน ดีใจที่ได้รู้ว่าคนนั้นคือบรู๊ซจริงๆ และทำให้ครอบครัวของวิลเลียมดีใจที่เขาเป็นผู้บริสุทธิ์มาโดยตลอด ส่วนครอบครัวฝั่งตระกูลดันบาร์เองนั้นส่วนมากจะไม่พอใจมาร์กาเร็ตที่ไปขุดคุ้ยเรื่องนี้จนกลับมาเป็นที่สนใจของสังคมอีกครั้ง
    


คดีหมายเลข 2: คดีพอล ฟร็องแซ็ค

     คดีนี้เกิดขึ้นในปี 1964 ที่เมืองชิคาโก้ หลังคลอดได้เพียง 1 วัน ก็มีผู้หญิงใส่ชุดพยาบาลคนหนึ่งมาขอตัวเด็กชายพอล ฟร็องแซ็ค ไปจากอกแม่ เธออ้างว่าจำเป็นต้องตรวจอะไรบางอย่าง แล้วผู้หญิงคนนั้นก็อุ้มพอลหายออกไปจากโรงพยาบาลเลย FBI เข้ามาสืบคดีนี้ในทันที พวกเขาตรวจสอบผู้หญิงต้องสงสัยเป็นร้อยๆ คนและตรวจสอบเด็กทารกกว่าหมื่นคนที่เกิดในช่วงเวลาใกล้เคียงกันเพื่อตามหาตัวพอล
    
      หนึ่งปีหลังจากนั้น มีคนพบเด็กเล็กคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ในรถเข็นเด็กตามลำพังตรงหัวมุมถนนในเมืองนวร์ก มลรัฐนิวเจอร์ซีย์ ทางการจึงรับมาดูแลเองและตั้งชื่อให้ก่อนว่าสก๊อต แมคคินลีย์ ไม่นานนัก FBI ก็ได้ข่าวนี้และเข้ามาตรวจสอบเด็กชายคนดังกล่าว ยุคนั้นยังไม่มีการตรวจ DNA และทาง FBI เองก็มีแค่รูปตอนพอลมีอายุได้ 1 วัน FBI จึงสรุปว่าเด็กคนที่เจอนี้คือพอลที่หายไปเพราะเด็กมีหูลักษณะเดียวกับหูในรูปของพอล ข่าวนั้นทำให้เชสเตอร์และดอร่า ฟร็องแซ็ค ดีใจสุดๆ ทันทีที่ดอร่าเห็นหน้าหนูน้อยคนดังกล่าวเธอก็พูดขึ้นมาเลยว่า "นี่แหละลูกฉัน"


เชสเตอร์และดอร่า ฟร็องแซ็ค และภาพของพอล ฟร็องแซ็ค ก่อนโดนลักพาตัวไป


ความสงสัยของพอล ฟร็องแซ็ค

     เนื่องจากไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเด็กชายคนดังกล่าวเป็นลูกที่แท้จริงของครอบครัวฟร็องแซ็ค ทั้งคู่จึงต้องทำเรื่องขออุปถัมภ์เด็กชายคนนี้จากรัฐซึ่งใช้เวลาเดินเรื่องตั้งสองปีครึ่ง แต่ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้เลี้ยงดูเด็กชายคนนี้โดยให้ชื่อว่าพอล ฟร็องแซ็ค ซึ่งเป็นชื่อตั้งแต่ตอนเกิด เชสเตอร์และดอร่าไม่เคยบอกพอลถึงเรื่องราวทั้งหมดนี้เลย จนกระทั่งวันหนึ่ง พอลรื้อลังของเก่าในบ้านและเจอข่าวหนังสือพิมพ์มากมายเกี่ยวกับคดีนี้
    
      แม้พ่อกับแม่จะบอกว่าอย่าไปสนใจข่าวเพราะยังไงก็ได้ลูกคืนมาแล้ว แต่พอลก็อดสงสัยไม่ได้ ยิ่งเขาสืบค้นมากเท่าไหร่เขาก็เห็นช่องโหว่มากขึ้น ตำรวจในตอนเกิดคดียังให้สัมภาษณ์เลยว่ายังไม่มั่นใจเท่าใดนักว่าเด็กที่เจอจะเป็นคนเดียวกับที่หายไปตั้งแต่แรกเกิด แถมตัวพอลยังหน้าไม่คล้ายพ่อแม่และดูไม่มีเชื้อโครเอเชียแบบพ่อแม่เลยด้วย พอลจึงตัดสินใจซื้อชุดตรวจ DNA กลับบ้านและโน้มน้าวให้พ่อแม่ยอมตรวจ DNA ด้วย


ภาพเด็กชายที่ถูกทิ้งไว้ในรถเข็นที่เมืองนวร์ก


ผลตรวจ DNA

     ในที่สุดพอลวัย 49 ปีที่ตอนนี้แต่งงานมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว ก็ได้ผลตรวจ DNA ที่ยืนยันว่าเขาไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับพ่อแม่เลย พอลไม่กล้าโทรศัพท์บอกพ่อแม่หรือไปพูดกับพ่อแม่ตรงๆ เขาจึงเขียนอีเมลเล่าแทนโดนยืนยันว่าแม้ผลตรวจจะบอกว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อกับแม่ แต่เขาเป็นลูกชายของพวกท่านเสมอมาและจะเป็นตลอดไป พ่อแม่เลี้ยงดูเขามาได้อย่างวิเศษที่สุด และทำให้เขาเป็นเขาได้อย่างทุกวันนี้ ฉะนั้นเขาก็ยังรักพ่อแม่เหมือนเดิม
    
      ทันทีที่เชสเตอร์และดอร่ารู้เรื่องนี้ พวกเขาก็ช็อคเอามากๆ แม้พวกเขาจะรักพอลเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็สงสัยว่าแล้วเกิดอะไรขึ้นกับพอลตัวจริงของพวกเขา ตัวพอลเองก็สงสัยเช่นกันว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาคือใคร และทำไมเขาถึงถูกทิ้งไว้ที่มุมถนนแบบนั้น เชสเตอร์และดอร่ายินดีช่วยเหลือพอลทุกวิถีทางเพื่อให้เขาได้รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองเป็นใครเช่นกัน


     ทั้งสองคดีแม้จะได้ลูกคืนมาผิดคน แต่พ่อแม่ก็รักและเลี้ยงดูเป็นอย่างดีมาโดยตลอด แต่ปริศนาที่ยังคงอยู่ก็คือเกิดอะไรขึ้นกับบ็อบบี้ ดันบาร์ และพอล ฟร็องแซ็ค ตัวจริง พวกเขาเป็นยังไงต่อหลังจากวันที่หายตัวไป ปัจจุบันนี้พอล ฟร็องแซ็ค ยังมีชีวิตอยู่มั้ย คงเป็นคำถามที่รุ่นต่อๆ ไปของทั้งสองตระกูลนี้พยายามหาคำตอบอยู่เรื่อยๆ


 


ข้อมูลและภาพประกอบ
www.historicmysteries.com, www.thisamericanlife.org
usatoday30.usatoday.com, www.dailymail.co.uk/news/article-2334802/
พี่พิซซ่า
พี่พิซซ่า - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายเรียนต่อนอก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด
■ T.S13 ★ Member 15 มิ.ย. 59 19:18 น. 2

ได้แต่อ่านแล้วก็สงสัยว่าเราถูกพยาบาลสลับตัวกับเด็กคนอื่นเหมือนที่แม่บอกเวลาโมโหรึเปล่านะ 5555555555555555555555

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
immienmk27 Member 19 มิ.ย. 59 11:34 น. 5

ในเรื่องของบ๊อบบี้ ดันบาร์ โคตรหงุดหงิดกับครอบครัวดันบาร์เลย ตรงท้ายที่ลงว่า 'ไม่พอใจที่มาร์กาเร็ตขุดคุ้ยจนเป็นที่สนใจของสังคม' เขาอยากรู้ว่าเกี่ยวข้องกันรึเปล่าก็เท่านั้น

ของพอล ฟร็องแซ็ค แม้ว่าจะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ก็ผูกพันกันมาแล้วล่ะ ไม่ต้องไปตามหาอะไรอีก จงพอใจในสิ่งที่มีและเป็นเถอะ

0
กำลังโหลด

7 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
■ T.S13 ★ Member 15 มิ.ย. 59 19:18 น. 2

ได้แต่อ่านแล้วก็สงสัยว่าเราถูกพยาบาลสลับตัวกับเด็กคนอื่นเหมือนที่แม่บอกเวลาโมโหรึเปล่านะ 5555555555555555555555

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
immienmk27 Member 19 มิ.ย. 59 11:34 น. 5

ในเรื่องของบ๊อบบี้ ดันบาร์ โคตรหงุดหงิดกับครอบครัวดันบาร์เลย ตรงท้ายที่ลงว่า 'ไม่พอใจที่มาร์กาเร็ตขุดคุ้ยจนเป็นที่สนใจของสังคม' เขาอยากรู้ว่าเกี่ยวข้องกันรึเปล่าก็เท่านั้น

ของพอล ฟร็องแซ็ค แม้ว่าจะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ก็ผูกพันกันมาแล้วล่ะ ไม่ต้องไปตามหาอะไรอีก จงพอใจในสิ่งที่มีและเป็นเถอะ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด