เมื่อไปเรียนคอร์ส "สอนภาษาอังกฤษ"ที่แคนาดา ...อยากเป็นครูสอนภาษา ต้องเรียนอะไรบ้าง?


      สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกอีกเช่นเคย^^ วันนี้เป็นประสบการณ์ไปเรียนภาษาที่แคนาดา ซึ่งเป็นคอร์สที่น่าสนใจมากๆ สำหรับคนที่อยากเป็นครูสอนภาษา มาอ่านกันเลยดีกว่า


     สวัสดีค่ะ เราชื่อบูม วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ดีๆ ที่ได้ไปประสบพบเจอระหว่างที่เรียนอยู่ที่แคนาดา เราเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ หลังจากจบก็ทำงานได้ประมาณเกือบปี แล้วก็ตัดสินใจไปเรียนต่อด้านการสอนภาษาอังกฤษ (TESL) ที่ Humber College ใน Toronto แต่เป็นแค่คอร์สใบประกาศเฉยๆ นะคะ ยังไม่ใช่ปริญญาโท 

      ขอเล่าตอนเตรียมตัวก่อนไป เป็นอะไรที่ลุ้นสุดฤทธิ์ ตั้งแต่สมัครเรียนยันขอวีซ่า กว่าจะได้ใบตอบรับเข้าเรียนใช้เวลาประมาณ 4-5 อาทิตย์ ส่วนวีซ่านี่รอประมาณ 4 เดือน นึกว่าจะไม่ได้ไปแล้วตอนแรก เพราะว่ามันนานผิดปกติมากๆ ฮ่าฮ่า  แต่สุดท้ายก็ได้วีซ่ามา เยสสสสส!!! 

    
      ขอวาร์ปมาช่วงเรียนเลยละกันนะคะ คอร์สของที่นี่จะเน้นไปในด้านการสอนภาษาอังกฤษให้กับ Adult learners เช่น จากประเทศจีน เกาหลี ซีเรีย หรือประเทศทางตะวันออกกลางอื่นๆ ที่ได้เป็นพลเมืองแล้วเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในแคนาดา เรียกว่า LINC Program วันแรกคลาสแรกที่เรียนนี่คือเข้าขั้นช็อคไปเลย มีนักเรียนต่างชาติแบบเราสี่คน ซึ่งทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้แบบเนทีฟมาก  (คือถึงเราจะจบเอกอังกฤษมา แต่สกิลการพูดเราไม่ดีค่ะ เล่นเอากลัวไปเลย) คอร์สนี้มีเรียนแค่สองวันต่อสัปดาห์ค่ะ ดูชิลล์ใช่มั้ย... เปล่าเลยค่ะ หฤโหดมาก คือการบ้านกับหนังสือที่ต้องอ่านนอกเวลาเยอะมากกกกก 


       แรกๆ ปรับตัวไม่ได้เลยค่ะ ไม่ชินกับการอ่านหนังสือเยอะมากมายขนาดนั้น แถมเวลาทำการบ้านเราใช้เวลาทำอย่างน้อยสามชั่วโมง ในขณะที่เพื่อนคนอื่นแบบชั่วโมงเดียวเสร็จ น้ำตาจะไหลค่ะ เหนื่อยมากๆ ช่วงแรก หลังๆ ก็เริ่มจับทางได้ค่ะ ว่าจะต้องอ่านแบบไหนให้ประหยัดเวลา 55555 เพื่อนในห้องก็ช่วยเราเยอะเหมือนกัน ช่วงท้ายของเทอมแรกจะมี observation คือการลงไปดูคลาสที่มีการเรียนการสอน ได้เห็นตั้งแต่สอนให้เขียน ABC สอนศัพท์ในชีวิตประจำวันต่างๆ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีค่ะ เพราะว่าตอนที่เรียนในคลาสเราก็ยังไม่เห็นภาพว่า สุดท้ายแล้วทฤษฎีทั้งหลายที่เราเรียนไป จะไปประยุกต์ใช้กับคลาสเรียนของจริงได้อย่างไร แถมยังได้พูดคุย ได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ที่ทำงานด้านนี้โดยตรง 


      ไฮไลท์คือ เดือนสุดท้ายของเทอมสอง ต้องลงสอนจริงค่ะ เราก็จะมี mentor ก็คืออาจารย์ที่สอนประจำศูนย์ คอยแนะนำและกำหนดหัวข้อที่จะใช้สอน เพื่อทำแผนการสอน เราโชคดีมากๆ ได้เมนเทอร์ดี แบบอะไรก็ได้ คิดแบบไหนอย่างทำอะไรก็ปล่อยฟรีเลยค่ะ เค้าเคารพในการตัดสินใจของเรา ตอนนั้นแบบตื่นเต้นๆ มากๆ ค่ะ ส่วนหนึ่งคือกังวลเรื่องการพูดด้วย กลัวว่าจะพูดผิดและอธิบายไม่รู้เรื่อง 55555 แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านมาด้วยดีค่ะ 

     และสิ่งที่ทำให้ประทับใจมากที่สุด ก็คือวันสุดท้ายของการฝึกสอน นักเรียน(ผู้ใหญ่)ในห้อง เดินมาหาแล้วพูดกับเราว่า  You are a good teacher. เล่นเอาน้ำตาคลอเลยค่ะ มันดีใจแบบบอกไม่ถูก อารมณ์ประมาณว่าที่นั่งเขียนแผนการสอนมา มันได้ผล เค้าเรียนรู้เรื่อง เค้าเข้าใจในสิ่งที่เราอยากจะสอน แล้วก็ผ่านคอร์สค่ะ 


      ไฮไลท์ที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยของชีวิตคอลเลจที่นี่คือ การที่ได้เป็นนักกีฬาให้กับทางคอลเลจค่ะ ส่วนตัวเราเป็นนักกีฬาแบดมินตัน พอรู้ว่าที่คอลเลจนี้มีให้ Tryout ก็เลยไปค่ะ แล้วก็ติดเป็นส่วนนึงของทีม ที่ฮัมเบอร์จะเรียกว่า Humber Hawks ค่ะ ในแต่ละเดือนก็จะมีแมทช์แข่งอย่างน้อยเดือนละครั้ง ก็คือไปตามคอลเลจต่างๆ ถือว่าได้เที่ยวไปในตัวด้วย  ได้ไปนอกเมือง เห็นบรรยากาศใหม่ๆ ได้ใช้เวลากับทีม สนุกมากจริงๆค่ะ 

       สุดท้ายเราได้เป็นตัวแทนของจังหวัดออนตาริโอ เพื่อไปแข่ง College National Championships ที่เกาะนาไนโม จังหวัดบริติช โคลัมเบีย สนุกดีค่ะ เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่จะไม่ลืมเลย ชอบสุดตรงที่รอบชิงชนะเลิศ ทางผู้จัดจะให้ทีมที่มาแข่งจากแต่ละจังหวัดคิดทีมเชียร์ค่ะ ทีมเรา ดัดแปลงเพลง Hotline Bling เป็นเพลงเชียร์ของทีม แล้วเราก็ต้องมีท่าทางประกอบตอนเราโชว์ด้วย คิดกันหนึ่งคืนก่อนวันชิง เราจำทั้งเนื้อเพลงและท่าเต้นไม่ได้ค่ะ มันยาวมาก วันจริงก็ดำน้ำเอา 55555 

     
     พอจบซีซั่นทางคอลเลจก็จะมีจัดงานเลี้ยงนักกีฬา จากผลงานต่างๆที่เราไปแข่งมา ทำให้เราได้รางวัล Female Freshman Athlete of the Year ตกใจค่ะตอนแรก 55555 คือแบบไม่คิดว่าเค้าจะเปิดโอกาสให้เด็กต่างชาติแบบเรามากขนาดนี้ แล้วยิ่งบอกว่าเรามาจากประเทศไทย ทำให้เรายิ่งภูมิใจไปใหญ่ อย่างน้อยเราก็ได้ทำให้คนที่นี่รู้จักประเทศไทย 
 
      ที่ประทับใจที่สุดของการมาอยู่ในครั้งนี้ก็คือเพื่อนในทีมค่ะ คือรู้สึกโชคดีมากๆ ที่ตัดสินใจไปคัดตัว เพื่อนในทีมแบบคอยช่วยเหลือกัน แล้วพวกเราสนิทกันเร็วมากๆ ค่ะ มีไปกินข้าวกันหลังซ้อมตลอด อย่างที่บอกเรามีเรียนจริงๆ แค่สองวัน แต่เราไปคอลเลจทุกวันค่ะ เพราะเวลาใครไม่มีเรียนก็จะมานั่งรวมกลุ่มกันทำงาน (จริงๆ คือคุยซะมากกว่า ฮ่าฮ่า) ที่ห้องอ่านหนังสือ  เพื่อนในทีมสนใจประเทศไทยกับภาษาไทยมากค่ะ แบบให้สอนภาษาไทย ฝึกเขียนตัวอักษรภาษาไทย อยากลองทานอาหารไทย เราได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนในทีมกับโค้ชเยอะมากๆ มีทั้งแบบพาไปเที่ยว ช่วยพรูฟงานให้ แนะนำนั่นนี่ แบบทุกอย่างจริงๆ ค่ะ ถ้าไม่ได้มาอยู่ในทีม ชีวิตเราวันๆ คงได้แต่อยู่ที่ห้องสมุด และคงจะน่าเบื่อมากๆ เลย 


      โตรอนโต้ก็เป็นอีกเมืองนึงที่น่าสนใจนะคะ ปลอดภัยพอสมควร แต่อาหารการกินบ้านเราชนะขาดค่ะ  พูดแล้วก็คิดถึงอาหารไทย ส่วนใหญ่เราอยู่แถบชานเมือง ก็จะแบบเรื่อยๆ เดินทางง่ายเพราะรถไม่ค่อยติด อากาศก็อย่างที่เค้าล่ำลือกันค่ะ หนาววววว ที่นี่ลมแรงมากๆ ค่ะ เพื่อนบอกว่าเราโชคดีหน่อยที่ปีที่ผ่านมาหนาวแบบติดลบยี่สิบกว่าแค่สองสามวัน (โชคดีตรงไหน 5555) ไม่เจอพายุหิมะรุนแรงอะไร
ขอฝากคำแนะนำค่ะว่า ถ้าหากที่ที่เพื่อนๆ เรียนอยู่นั้นหรือกำลังจะไปเรียนมีชมรมหรือกิจกรรมอะไรก็แล้ว ถ้าสนใจและเข้าร่วมได้ ไปเลยค่ะ เพื่อนๆ จะได้อะไรจากมันเยอะมากจริงๆ อย่างน้อยได้มีคอนเน็คชั่นเพิ่มขึ้น ได้ฝึกภาษาอังกฤษ ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของคนท้องที่ 

      หากถามว่าเราได้อะไรจากการมาอยู่ต่างประเทศครั้งนี้ บอกได้เลยว่ามันสอนอะไรเราหลายๆอย่างเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต คิดวางแผนทุกอย่างต้องรอบคอบ บริหารเวลาให้เป็น เรียนรู้วัฒนธรรมที่ต่างออกไป อุปสรรคหรือความลำบากที่ต้องเจอมันสอนเราให้โตขึ้นจริงๆ ค่ะ ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะคะ


   
     อ่านแล้วรู้สึกได้เลยว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราผ่านช่วงเวลานั้นไปได้อย่างไม่ยากก็คือ เพื่อน ได้เพื่อนดีนี่เป็นศรีแก่ตัวจริงๆ เลยเนาะ ขอบคุณน้องบูมมากๆ ที่มาเล่าเรื่องสนุกๆ ให้ได้อ่านกันจ้า^^ ส่วนใครอยากแบ่งปันประสบการณ์เด็กนอกให้คนอื่นได้อ่านแบบนี้บ้าง เขียนส่งมาได้ที่ pay@dek-d.com แล้วเจอกันจ้า
                
พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

3 ความคิดเห็น

บูม 22 มิ.ย. 59 06:44 น. 1-1
ช่องทางการไป หมายถึงยังไงหรอคะ? ขอขยายความ กลัวตอบไม่ตรงคำถาม เรื่องค่าใช้จ่าย ค่าคอสประมาณสี่แสนห้าค่ะ เราคิดเรท 30 บาทต่อ 1 ดอลนะ ค่ากินอยู่เราใช้ประมาณ 1000-1300 ดอล หลักๆแล้วที่ต้องจ่ายก็มีค่าบ้าน 500-600 ดอล แล้วแต่ที่ แล้วก็ค่าบัตรรถ 112 ดอลต่อเดือน แล้วก็ค่าโทรศัพท์ของเราใช้ 45 ดอลต่อเดือน อันลิมิต ก็จะมีจิปาถะอะไรเรื่อยเปื่อยอีกอ่ะค่ะ
0
กำลังโหลด
นันทนา 22 มิ.ย. 59 23:09 น. 2
น่าไปเรียนมากๆเลยค่ะ อยากเป็นครูสอนภาษาอังกฤษมากๆ จะเก็บกระทู้นี้ไว้เป็นแรงบันดาลใจ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด