ขอแนะนำให้รู้จักกับอาจารย์ผู้สอนกันก่อนนะคะ                                                                                                                                          

     ภาษาฮินดี ถือเป็นภาษาราชการของอินเดีย โดยประชากรอินเดียมีทั้งหมด 1,200 ล้านคน และประชากรจำนวนมากถึง 45% พูดภาษาฮินดีเป็นภาษาแม่ นอกจากนี้ ในหลายๆ ประเทศนั้นมีชุมชนอินเดียอยู่มากมาย รวมถึงชุมชนอินเดียในไทยก็ใช้ภาษาฮินดีในการสื่อสาร เมื่อลองสำรวจดูแล้วจะพบว่า ผู้ที่พูดภาษาฮินดีมีราวถึง 400 ล้านคนจากทั่วโลก เรียกว่าสูสีกับหลายๆ ภาษาอย่างสเปนเลยค่ะ

     

     อาจารย์กิตติพงศ์อธิบายว่า คนไทยได้เปรียบมากเพราะเรามีพื้นฐานจากภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นรากอารยธรรมไทยมาตั้งแต่สมัยก่อน แต่เรามักมีภาพบดบังตาว่า คนอินเดียเหม็น สกปรกหรือจน แต่ถ้าเราลองมองไปในสาขาต่างๆ เช่น เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และ สังคมศาสตร์  จะเห็นได้ว่า อินเดียมีความก้าวหน้าทางวิทยาการ ซึ่งดูได้จากการส่งยานอวกาศ รวมทั้งบุคคลสำคัญของอินเดียที่ได้รางวัลโนเบิลมาก็มีแทบจะทุกสาขา 

    อาจารย์ยังกล่าวเสริมอีกว่า จริงๆ แล้ว ประชากรถึง 300 ล้านคนของชาวอินเดียถือเป็น ประชากรที่ค่อนข้างมีฐานะและมีกำลังซื้อสูง นอกจากนี้ ยังมีประชากรอีก 60 ล้านคน ที่เป็นเศรษฐีระดับมหาเศรษฐี จากตัวเลขตรงนี้ทำให้เห็นภาพเลยค่ะว่าเราสามารถทำธุรกิจกับอินเดียได้สบายๆ เลย                                                                                                                                     

     อาจารย์อธิบายว่า ฮินดี คือ ภาษา และ ฮินดู คือ ศาสนา เพราะฉะนั้น คนที่พูดภาษาฮินดี อาจนับถือศาสนาอะไรก็ได้หรือไม่นับถือเลยก็ได้ ส่วน คนที่นับถือศาสนาฮินดู จะพูดภาษาไหนก็ได้                                                                                                                                 

     เมื่อมุสลิมเข้ามาในอินเดีย ได้นำภาษาอาหรับกับเปอร์เซียเข้ามา ซึ่งในตอนนั้นเอง ภาษาฮินดีก็เริ่มก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1000 และใช้ในการสื่อสารอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ฮินดีได้รับมรดกศัพท์จากภาษาสันสกฤตและภาษาปรากฤตมาเป็นจำนวนมาก แต่ตัวภาษาฮินดีมีโครงสร้างไวยากรณ์ง่ายขึ้น และยังมีศัพท์ใหม่ๆ รวมไปถึงภาษาแสลงเกิดขึ้นตลอด                

                                                                     

     น้องๆ เคยสงสัยกันมั้ยคะว่า ประเทศอินเดียมีกี่ภาษา? จริงๆ แล้วภาษาในอินเดียนั้นมีมากกว่า 400 ภาษาเลยค่ะ เพราะฉะนั้น เวลาใครบอกว่าพูดภาษาอินเดียได้ ต้องถามเขาต่อเลยนะคะว่าภาษาไหน เพราะภาษาในอินเดียมีเยอะมากจริงๆ 

     อาจารย์กิตติพงศ์ยังเสริมอีกด้วยค่ะว่า จริงๆ แล้ว คำว่า “อินเดีย” มาจากคำของฝรั่ง โดยมีที่มาจาก “แม่น้ำสินธุ” ซึ่งชาวอาหรับกับเปอร์เซียบางคนนั้นออกเสียงตัว ส ไม่ได้ ทำให้เพี้ยนเป็นตัว ฮ กลายเป็นคำว่า ฮินดู ต่อมาเหลือแค่  “ฮิน” จนกลายมาเป็น “อินเดีย” ในที่สุด นอกจากนี้คนอินเดีย จะไม่เรียกตัวเองว่าอินเดีย แต่จะเรียกตัวเองว่า “ภารตะ” สืบเนื่องมาจากตำนานที่เชื่อว่าคนอินเดียสืบเชื้อสายมาจากจักรพรรดิองค์แรกที่ชื่อว่า ภรต                                                                                                                                   

     สำหรับน้องๆ คนไหนที่สนใจการเรียนการสอนภาษาเอเชียใต้ ในจุฬาฯ สามารถติดตามได้ที่บทความนี้เลย  7 เรื่องน่ารู้ "สาขาภาษาบาลี-สันสกฤต" อักษรฯ จุฬาฯ ที่หลายคนอาจเข้าใจผิด!                                                                                                                                               

     ในส่วนของภาษาฮินดี มีวิชารองรับที่น่าสนใจมากมาย ภาษาฮินดีเพื่อธุรกิจ ภาษาฮินดีเพื่อวิชาชีพ เช่น การแปลภาพยนตร์ หรือแปลหนังสือ รวมทั้งภาษาฮินดีในสื่อ เป็นต้น                                                                                                                                    

     อาจารย์กิตติพงศ์ฝากมาถึงน้องๆ ว่า เวลาที่เรามองดูอินเดีย เราต้องมองด้วยความความหลากหลาย มองในหลายมุมมอง เพราะอินเดียมีความหลากหลายมากๆ ไม่ใช่แค่สิ่งที่เราเห็นหรือได้ยินมา เราควรเรียนเพื่อมีปัญญา เพราะเมื่อมีปัญญาเราก็จะสามารถหาเงินและหางานได้                                                                                                                                                 

     หลังจากที่ฟังอาจารย์กิตติพงศ์เล่าแล้ว พี่บอกได้เลยค่ะว่า ภาษาฮินดีมีความสำคัญไม่แพ้กับภาษาอื่นๆ เลย แถมยังมีความสำคัญกับคนไทยมากๆ ดังนั้น น้องๆ คนไหนที่กำลังสนใจเรียนภาษาที่ 3 ขอแนะนำว่าภาษาฮินดีเป็นอีกภาษาหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ เลยค่ะ ทั้งนี้ ขอขอบคุณพี่พิซซ่า และ ขอขอบคุณอาจารย์กิตติพงศ์ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ในการสัมภาษณ์ครั้งนี้