สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com วันนี้ พี่พิซซ่า มีข่าวที่กำลังดังอยู่ในอเมริกาตอนนี้มาฝากค่ะ เป็นเรื่องราวของลูกสาวที่ฆ่าแม่ตัวเองหลังโดนบังคับให้ป่วยมาทั้งชีวิต แม้คดีนี้จะเกิดเมื่อปีที่แล้ว แต่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเพิ่งมีการตัดสินคดีนี้ไปค่ะ ลองไปดูกันว่าเพราะอะไรที่ทำให้ลูกตัดสินใจฆ่าแม่ได้ ทั้งที่ทุกคนมองว่าแม่ลูกคู่นี้รักกันสุดๆ ไปเลย
ยังไม่รู้แน่ชัดว่าฟันของยิปซีผุเพราะการไม่ดูแล การให้ยาแรงๆ หลายอย่างผสมกัน หรือเพราะขาดสารอาหาร
Photo: https://www.youtube.com/watch?v=8i4JoQfvveA
เรื่องราวของเด็กที่เป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคน
ช่วง 10 กว่าปีที่แล้ว ชาวอเมริกันหลายคนได้รู้จักเรื่องราวของ ยิปซี โรส บลังชาร์ด (Gypsy Rose Blancharde) สาวน้อยที่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เธอเกิดมาพร้อมความผิดปกติทางพันธุกรรม เป็นลูคีเมีย มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นโรคลมชัก เป็นหอบหืดขั้นรุนแรง มักหยุดหายใจขณะหลับ การมองเห็นและการได้ยินที่บกพร่อง ผมร่วงศีรษะล้าน ฟันหลอ แถมยังต้องให้อาหารปั่นพิเศษผ่านท่อ แต่เธอก็ดูสดใสอยู่เสมอ เพราะอยู่กับคุณแม่ที่เลี้ยงดูใส่ใจเป็นอย่างดี ดีดี้ บลังชาร์ด (Dee Dee Blancharde) คือคุณแม่ตัวอย่างที่ทุกคนชื่นชม เธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทุ่มเทให้ลูกเกินร้อย ด้วยความที่ยิปซีเดินไม่ได้ เวลาไปไหนมาไหนดีดี้จึงต้องเข็นรถเข็นพาลูกออกจากบ้าน พร้อมพกถังออกซิเจนติดตัวไปด้วยเสมอ เพราะไม่รู้ว่ายิปซีผู้บอบบางที่อายุ 19 แต่สมองยังเป็นเด็ก 7 ขวบจะเกิดอาการเมื่อใด
เนื่องจากไม่ค่อยมีเงินเท่าไหร่ และคนเป็นแม่ไม่สามารถทำงานนอกบ้านได้เพราะต้องดูแลลูกสาวตลอดเวลา ทำให้สองแม่ลูกได้รับความช่วยเหลือจากทุกคนรอบข้าง ไม่ว่าจะย้ายบ้านย้ายเมืองกี่ครั้งก็ไม่เคยมีปัญหาในการหาเพื่อนใหม่เลย ดีดี้เป็นผู้หญิงร่างใหญ่ที่มีน้ำใจ และมักเสนอตัวช่วยเหลือเพื่อนบ้านเสมอ แม้แต่ตอนที่เจอพายุเฮอร์ริเคนคาทริน่าที่ทำลายบ้านของสองแม่ลูกไปหมดจนไม่เหลืออะไร ก็มีองค์กรการกุศลเข้ามาให้ความช่วยเหลือมากมาย องค์กร Habitat for Humanity สร้างบ้านใหม่ให้พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับยิปซีอย่างทางลาดทั่วและรอบบ้านเพื่อให้เข็นรถเข็นสะดวก อ่างจากุซซี่รุ่นพิเศษที่ช่วยนวดกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังมีองค์กรมาช่วยพายิปซีไปเที่ยว Disney World ฟรีด้วย เรียกได้ว่าเรื่องราวของสองแม่ลูกนี้เป็นที่สนใจของทุกสื่อ มีแต่คนสงสารและพร้อมให้ความช่วยเหลือ
ขณะอยู่บ้านหลังล่าสุดที่องค์กรการกุศลสร้างให้ ดีดี้สนิทกับครอบครัวพิเนการ์ที่อยู่บ้านตรงข้ามมาก ดีดี้เคยเล่าอดีตของเธอให้เอมี่ พิเนการ์ (Amy Pinegar) ฟังว่าจริงๆ แล้วเธอมาจากรัฐหลุยเซียน่า และอยู่ในครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะพ่อแท้ๆ ของดีดี้เองที่เคยเอาบุหรี่จี้ยิปซี เธอจึงพาลูกหนีมาเพื่อความปลอดภัย ส่วนพ่อบังเกิดเกล้าของยิปซีนั้นเป็นคนติดเหล้าและยา หยาบคายอารมณ์ร้อน และมักล้อเลียนความพิการของลูกสาวตัวเอง นอกจากนี้พ่อของยิปซีก็ไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดูอะไรเลยด้วย แม้แต่ตอนที่ดีดี้และยิปซีต้องสูญเสียทุกอย่างให้กับเฮอร์ริเคนคาทริน่าก็ตาม
สเตตัสที่เปลี่ยนเรื่องราว
ดีดี้และยิปซีมีเพจในเฟซบุ๊กร่วมกันในชื่อ Dee Gyp Blancharde เป็นเพจที่คอยอัปเดตความเป็นไปของสองแม่ลูกให้เพื่อนๆ และสังคมที่สนใจติดตามความเป็นอยู่ของบ้านนี้ ปกติดีดี้มักเป็นคนเล่นเพจนี้ แต่เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2015 อยู่ๆ สเตตัสในเพจก็ขึ้นว่า "That Bitch is dead!" (อิแพศยานั่นตายแล้ว) ผู้ติดตามในเพจต่างเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะดีดี้ไม่เคยพูดจาหยาบคายกับใครเลย บางคนคิดว่าเพจอาจโดนแฮ็ก บ้างก็ว่าดีดี้อาจพูดถึงหนังที่กำลังดูอยู่รึเปล่า แต่บางคนก็เริ่มกังวลว่าอาจเกิดเหตุการณ์ไม่ดีกับสองแม่ลูก และเริ่มถามว่าใครรู้เบอร์หรือที่อยู่ของครอบครัวนี้บ้างจะได้ไปดูที่บ้านให้ชัวร์
ไม่นานนักเพจ Dee Gyp Blancharde ก็มาคอมเมนต์ต่อว่า "I fucken SLASHED THAT FAT PIG AND RAPED HER SWEET INNOCENT DAUGHTER…HER SCREAM WAS SOOOO FUCKEN LOUD LOL." (กรูเชือดอิหมูอ้วนไปแล้ว และข่มขืนลูกสาวสุดอินโนเซนต์ของมันด้วย เสียงกรีดร้องของมันโคตรดังเลย)
ไม่นานนักเพจ Dee Gyp Blancharde ก็มาคอมเมนต์ต่อว่า "I fucken SLASHED THAT FAT PIG AND RAPED HER SWEET INNOCENT DAUGHTER…HER SCREAM WAS SOOOO FUCKEN LOUD LOL." (กรูเชือดอิหมูอ้วนไปแล้ว และข่มขืนลูกสาวสุดอินโนเซนต์ของมันด้วย เสียงกรีดร้องของมันโคตรดังเลย)
คิม บลังชาร์ด (Kim Blanchard) ผู้อาศัยอยู่ไม่ไกลมากนัก เป็นคนแรกที่โทรเข้ามือถือดีดี้ (แม้จะมีนามสกุลคล้ายกันแต่คิมไม่ได้เป็นญาติอะไรกับดีดี้ )หลังจากพยายามหลายครั้งแต่ไม่มีคนรับสาย เดวิดสามีของคิมก็บอกว่าขับรถไปดูกันเลยดีกว่าว่าทุกอย่างปกติรึเปล่า เมื่อไปถึงหน้าบ้านดีดี้ ทั้งคู่ก็เห็นว่ามีเพื่อนบ้านหลายคนมายืนออกันด้วยความเป็นห่วงแล้ว บ้านทั้งหลังติดฟิล์มมืดจึงยากที่จะเห็นสภาพข้างใน หลายคนพยายามเคาะประตูและหน้าต่างเพื่อเรียกคนในบ้านแต่ไม่มีเสียงตอบรับ รถของดีดี้ยังจอดอยู่หน้าบ้านแสดงว่าไม่ได้ออกไปไหน เมื่อตำรวจมาถึงก็ไม่สามารถเข้าบ้านได้เช่นกันเพราะต้องรอหมายศาลก่อน แต่เดวิดก็แอบปีนเข้าบ้านทางหน้าต่างเพื่อดูสภาพภายใน เดวิดบอกทุกคนว่าข้างในไฟไม่ได้เปิด แต่เปิดแอร์ไว้สุด ไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือการขโมย แต่รถเข็นของยิปซียังอยู่ในบ้านครบทุกคัน
เมื่อหมายศาลมาถึง ตำรวจเข้าไปตรวจภายในบ้านและเจอศพของดีดี้อยู่ในห้องน้ำ ดีดี้ถูกแทงและเสียชีวิตมาหลายวันแล้ว แต่ไม่มีร่องรอยของลูกสาวหรือยิปซีเลย ทุกคนเป็นห่วงมากว่ายิปซีจะถูกคนร้ายพาไปไหน และเธอต้องลำบากแค่ไหนเมื่อไม่มีรถเข็น วันรุ่งขึ้นคิมก็สร้างบัญชี GoFundMe (เว็บสำหรับระดมทุน) เพื่อให้ทุกคนร่วมกันบริจาคช่วยงานศพของดีดี้ และเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยกันตามหาตัวยิปซี ส่วนตำรวจก็เริ่มสืบสวนคดีนี้
ดีดี้บอกทุกคนว่ายิปซีไม่มีผมเพราะมะเร็ง และต้องใส่วิกอยู่เสมอ แถมเธอยังเด็กเลยอยากเป็นเจ้าหญิง
Photo: https://www.facebook.com/deegyp.blancharde?fref=nf
ความลับของยิปซี
เอลี วู้ดแมนซี (Aleah Woodmansee) เป็นลูกสาวของเอมี่ พิเนการ์ (ครอบครัวที่อยู่บ้านตรงข้ามของสองแม่ลูก) เธอถือเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของยิปซี เอลีอายุมากกว่ายิปซีเล็กน้อยเธอจึงรู้สึกเหมือนเป็นพี่สาวให้ยิปซี และยิปซีก็ชอบคุยกับเอลีเอามากๆ เช่นกัน แต่นานๆ ทีทั้งคู่จะได้คุยกันเป็นส่วนตัวเพราะดีดี้มักมานั่งข้างยิปซีเสมอ เอลีบอกตำรวจว่ายิปซีมีเฟซบุ๊กส่วนตัวอีกอันที่แอบใช้โดยไม่ให้แม่รู้ภายใต้ชื่อ Emma Rose ช่วงปี 2014 ยิปซีใช้เฟซบุ๊กนี้ส่งมาคุยกับเอลีว่าเธอกำลังคบกับผู้ชายคนหนึ่งในโลกออนไลน์ แต่เธอไม่ได้บอกแม่เพราะรู้ว่าแม่ต้องขัดขวางแน่ๆ
ผู้ชายคนนั้นชื่อนิโคลัส โกดีจอห์น (Nicholas Godejohn) เขาอายุ 24 ส่วนตอนนั้นยิปซีอายุ 18 ปี ทั้งคู่คุยกันออนไลน์มา 2 ปีกว่า และนิโคลัสก็ไม่สนว่ายิปซีต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลาด้วย ทั้งคู่เป็นคาทอลิกเหมือนกัน และวางแผนจะแต่งงานและมีลูกด้วยกัน เมื่อตำรวจตรวจสอบเฟซบุ๊กของยิปซีก็พบว่าเธอวางแผนเป็นฉากๆ เลยว่าจะให้แม่เจอกับนิโคลัสที่ไหนยังไง
แต่นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ยิปซีคุยเรื่องผู้ชายให้เอลีฟัง เอลีบอกตำรวจว่า ยิปซีพยายามคุยกับผู้ชายทางออนไลน์มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ซึ่งตอนนั้นเอลีก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน เพราะดีดี้เคยบอกเธอว่า ยิปซีมีสมองเท่าเด็ก 7 ขวบ ทว่าหลังยิปซีคุยเรื่องนิโคลัสให้เอลีฟัง ดีดี้ก็จับได้ว่ายิปซีแอบคุยกับเอลีลับๆ จึงมาต่อว่าว่าเอลีเป็นคนทำให้ลูกสาวของเธอกลายเป็นเด็กไม่ดี และขัดขวางไม่ให้ทั้งคู่ได้พูดคุยกันอีก เอลีจึงไม่ได้คุยกับยิปซีหลังจากนั้น
วันที่ 15 มิถุนายน 2015 ตำรวจบุกเข้าจับกุมนิโคลัส โกดีจอห์นที่บ้านของเขา นิโคลัสยอมให้จับแต่โดยดี และยิปซีก็อยู่ที่บ้านเขาอย่างปลอดภัย สร้างความโล่งใจแก่ทุกคนมาก แต่ปรากฏว่ายิปซีเดินได้ และกำลังเดินออกมาจากบ้านนิโคลัส!
ผู้ชายคนนั้นชื่อนิโคลัส โกดีจอห์น (Nicholas Godejohn) เขาอายุ 24 ส่วนตอนนั้นยิปซีอายุ 18 ปี ทั้งคู่คุยกันออนไลน์มา 2 ปีกว่า และนิโคลัสก็ไม่สนว่ายิปซีต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลาด้วย ทั้งคู่เป็นคาทอลิกเหมือนกัน และวางแผนจะแต่งงานและมีลูกด้วยกัน เมื่อตำรวจตรวจสอบเฟซบุ๊กของยิปซีก็พบว่าเธอวางแผนเป็นฉากๆ เลยว่าจะให้แม่เจอกับนิโคลัสที่ไหนยังไง
แต่นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ยิปซีคุยเรื่องผู้ชายให้เอลีฟัง เอลีบอกตำรวจว่า ยิปซีพยายามคุยกับผู้ชายทางออนไลน์มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ซึ่งตอนนั้นเอลีก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน เพราะดีดี้เคยบอกเธอว่า ยิปซีมีสมองเท่าเด็ก 7 ขวบ ทว่าหลังยิปซีคุยเรื่องนิโคลัสให้เอลีฟัง ดีดี้ก็จับได้ว่ายิปซีแอบคุยกับเอลีลับๆ จึงมาต่อว่าว่าเอลีเป็นคนทำให้ลูกสาวของเธอกลายเป็นเด็กไม่ดี และขัดขวางไม่ให้ทั้งคู่ได้พูดคุยกันอีก เอลีจึงไม่ได้คุยกับยิปซีหลังจากนั้น
วันที่ 15 มิถุนายน 2015 ตำรวจบุกเข้าจับกุมนิโคลัส โกดีจอห์นที่บ้านของเขา นิโคลัสยอมให้จับแต่โดยดี และยิปซีก็อยู่ที่บ้านเขาอย่างปลอดภัย สร้างความโล่งใจแก่ทุกคนมาก แต่ปรากฏว่ายิปซีเดินได้ และกำลังเดินออกมาจากบ้านนิโคลัส!
จากการแถลงข่าวของนายอำเภอในวันรุ่งขึ้น ทุกคนจึงได้ทราบว่ายิปซีไม่จำเป็นต้องนั่งรถเข็นเลย เพราะเธอเดินได้แบบปกติมาตลอดชีวิต ไม่มีความผิดปกติในกล้ามเนื้อ ไม่ได้อ่อนแรง ไม่จำเป็นต้องกินยาหรือต้องพกถังออกซิเจนติดตัว ไม่ได้เป็นมะเร็งและเธอไม่ได้ผมร่วงด้วย แต่เธอโดนโกนผมอยู่เสมอ นอกจากนี้เธอยังพูดได้ตามปกติ แถมใช้คำศัพท์และรูปประโยคที่ยากเกินระดับเด็ก 7 ขวบด้วย
เธอบอกกับตำรวจว่าตัวเธอในแบบที่ทุกคนรู้จักคือตัวตนที่แม่เธอบอกให้เธอทำ...
ทุกคนที่เป็นห่วงเธอรู้สึกโล่งใจที่เธอปลอดภัย แต่แล้วก็เริ่มรู้สึกเสียใจกับเรื่องราวที่ผ่านมา บ้างก็รู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าเหลือเกินที่ถูกหลอกมาหลายปี
เธอบอกกับตำรวจว่าตัวเธอในแบบที่ทุกคนรู้จักคือตัวตนที่แม่เธอบอกให้เธอทำ...
ทุกคนที่เป็นห่วงเธอรู้สึกโล่งใจที่เธอปลอดภัย แต่แล้วก็เริ่มรู้สึกเสียใจกับเรื่องราวที่ผ่านมา บ้างก็รู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าเหลือเกินที่ถูกหลอกมาหลายปี
ดีดี้กับยิปซีให้สัมภาษณ์กับสื่อในบ้านที่องค์กรการกุศลสร้างให้
Photo: https://www.youtube.com/watch?v=8i4JoQfvveA
เมื่อความลับเปิดเผย
ผู้เป็นแม่ หรือ ดีดี้ มีชื่อจริงตามกฎหมายว่าคลอดีน บลังชาร์ด (Clauddine Blanchard) เธอมีชื่อปลอมหลายชื่อที่เป็นการสะกดชื่อนามสกุลจริงให้ดูต่างไปจากเดิม ตอนที่เธอย้ายมาอยู่รัฐมิสซูรี่ เธอใช้ชื่อว่า Clauddinnea Blancharde เธอเกิดที่รัฐหลุยเซียน่า มีพี่น้อง 5 คน แม่ของเธอเสียชีวิตในปี 1997 ส่วนพ่อยังมีชีวิตอยู่
ส่วนพ่อจริงๆ ของยิปซีมีชื่อว่าร็อด บลังชาร์ด (Rod Blanchard) เขาเป็นผู้ชายนิสัยทื่อๆ แต่ไม่ใช่คนอารมณ์ร้าย เขารู้จักกับดีดี้ครั้งแรกตอนเขาอยู่ไฮสคูล ตอนนั้นเขาอายุ 17 ส่วนเธออายุ 24 ปี ทั้งคู่คบกันประมาณ 4-6 เดือน เมื่อรู้ว่าเธอตั้งท้อง เขาก็แต่งงานกับเธอเพื่อรับผิดชอบ แต่หลังแต่งงานกันไปก็รู้ว่าไม่ได้รักดีดี้เขาจึงขอเลิก แต่เขายังมาดูแลลูกอยู่เรื่อยๆ
ยิปซีเกิดวันที่ 27 กรกฎาคม 1991 ร็อดบอกว่ายิปซีเกิดมาแข็งแรงปกติดี (จากปีเกิดแล้ว แสดงว่าดีดี้โกหกเรื่องอายุยิปซีอยู่เสมอ) แต่พอยิปซีอายุได้ 3 เดือน ดีดี้ก็บอกเขาว่ายิปซีเป็นโรคหยุดหายใจเวลานอน จึงพาไปส่งโรงพยาบาล แต่ไม่ว่าหมอจะตรวจกี่คนกี่รอบก็ไม่เจอความผิดปกติอะไรในการนอน แต่ดีดี้ก็ยังยืนยันว่ายิปซีไม่แข็งแรง และมีโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมมากมาย ถ้าหมอที่โรงพยาบาลนี้บอกว่าไม่เป็นอะไร ดีดี้ก็จะพาลูกไปโรงพยาบาลอื่น ให้หมอตรวจโรคอื่นต่ออีก ดีดี้เคยทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาลอยู่ระยะหนึ่งทำให้เธอมีความรู้เกี่ยวกับโรค วิธีรักษาและยา ไม่ว่าใครจะแย้งอะไรมาเธอก็หาคำตอบมาใส่ได้เรื่อยๆ เพื่อให้มีโรคมารองรับยิปซีเสมอ
ส่วนพ่อจริงๆ ของยิปซีมีชื่อว่าร็อด บลังชาร์ด (Rod Blanchard) เขาเป็นผู้ชายนิสัยทื่อๆ แต่ไม่ใช่คนอารมณ์ร้าย เขารู้จักกับดีดี้ครั้งแรกตอนเขาอยู่ไฮสคูล ตอนนั้นเขาอายุ 17 ส่วนเธออายุ 24 ปี ทั้งคู่คบกันประมาณ 4-6 เดือน เมื่อรู้ว่าเธอตั้งท้อง เขาก็แต่งงานกับเธอเพื่อรับผิดชอบ แต่หลังแต่งงานกันไปก็รู้ว่าไม่ได้รักดีดี้เขาจึงขอเลิก แต่เขายังมาดูแลลูกอยู่เรื่อยๆ
ยิปซีเกิดวันที่ 27 กรกฎาคม 1991 ร็อดบอกว่ายิปซีเกิดมาแข็งแรงปกติดี (จากปีเกิดแล้ว แสดงว่าดีดี้โกหกเรื่องอายุยิปซีอยู่เสมอ) แต่พอยิปซีอายุได้ 3 เดือน ดีดี้ก็บอกเขาว่ายิปซีเป็นโรคหยุดหายใจเวลานอน จึงพาไปส่งโรงพยาบาล แต่ไม่ว่าหมอจะตรวจกี่คนกี่รอบก็ไม่เจอความผิดปกติอะไรในการนอน แต่ดีดี้ก็ยังยืนยันว่ายิปซีไม่แข็งแรง และมีโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมมากมาย ถ้าหมอที่โรงพยาบาลนี้บอกว่าไม่เป็นอะไร ดีดี้ก็จะพาลูกไปโรงพยาบาลอื่น ให้หมอตรวจโรคอื่นต่ออีก ดีดี้เคยทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาลอยู่ระยะหนึ่งทำให้เธอมีความรู้เกี่ยวกับโรค วิธีรักษาและยา ไม่ว่าใครจะแย้งอะไรมาเธอก็หาคำตอบมาใส่ได้เรื่อยๆ เพื่อให้มีโรคมารองรับยิปซีเสมอ
แม้หลังจากนั้น ร็อดจะแต่งงานใหม่และมีลูกชายอีก 2 คน แต่ร็อดก็ไม่เคยทิ้งยิปซี ร็อดและคริสตี้ผู้เป็นภรรยาใหม่มักชวนดีดี้และยิปซีไปเที่ยวด้วยกันเสมอ และทุกครั้งที่ไปเที่ยวกันทั้ง 2 บ้าน ยิปซีก็มีความสุขที่ได้เล่นกับพ่อและน้องๆ เสมอ คริสตี้เองก็รักและเอ็นดูยิปซีมากๆ ทั้ง 2 บ้านไปเที่ยวกันเรื่อยๆ จนถึงปี 2004
ปี 2005 หลังพายุเฮอร์ริเคนคาทริน่าถล่มเมืองที่พวกเธออยู่ ทั้งคู่ก็มาขอความช่วยเหลือที่ศูนย์พักพิงพร้อมภาพอพาร์ทเมนต์เก่า ดีดี้บอกพวกหมอว่าบันทึกทางการแพทย์ของยิปซีถูกทำลายไปกับน้ำท่วมหมดแล้ว บันทึกหลังจากนั้นจึงเกิดขึ้นจากคำบอกเล่าของดีดี้
เรื่องราวของสองแม่ลูกสู้ชีวิตกลายเป็นเรื่องดังแม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันใดๆ ก็ตาม องค์กรหนึ่งถึงกับส่งเฮลิคอปเตอร์มารับทั้งคู่ไปอยู่รัฐมิสซูรี่ให้ ในภายหลังดีดี้ยังได้ดูแลกองทุนสำหรับยิปซี ได้นั่งเครื่องบินฟรีบ่อยๆ โดยองค์กรนักบินอาสาสมัคร ได้พักในบ้านพักสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
ร็อดส่งเงินค่าเลี้ยงดูยิปซีให้ดีดี้ 1,200 ดอลลาร์ (ประมาณ 40,000 บาท) ทุกเดือน ดีดี้ก็จะโทรเล่าให้ร็อดฟังว่าในช่วงนั้นๆ ยิปซีเป็นยังไงบ้าง แต่ในเวลาเดียวกันนั้น ดีดี้กลับบอกเพื่อนใหม่และหมอในรัฐมิสซูรี่ว่าพ่อของยิปซีเป็นคนติดยาที่ทิ้งลูกสาวตัวเองไป ร็อดกับคริสตี้พยายามจะไปเยี่ยมยิปซีที่บ้านเสมอ แต่ดีดี้มักอ้างเหตุจำเป็นที่ทำให้พวกเขามาไม่ได้ซักที แต่ร็อดก็ยังส่งของขวัญตามโอกาสต่างๆ ให้ยิปซีเสมอ หรือแม้แต่ของที่ดีดี้เป็นคนขอเองเช่นชุดทีวีและเครื่องเสียง หรือเครื่อง Wii แม้ยิปซีจะอายุเกิน 18 ปีแล้ว ร็อดก็ยังส่งของให้เรื่อยๆ ไม่มีหยุด ร็อดและคริสตี้ไม่เคยเห็นข่าวหรือสารคดีเกี่ยวกับสิ่งที่ดีดี้ให้สัมภาษณ์เพราะเป็นสื่อภายในรัฐมิสซูรี่ เขาอยู่อีกรัฐจึงไม่ทราบเลยว่าดีดี้กับยิปซีได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรการกุศลมากมาย แถมยังมีเรื่องดราม่าอีกว่ายิปซีโดนพ่อที่ไม่ได้ความทิ้งไป
เรื่องราวของสองแม่ลูกสู้ชีวิตกลายเป็นเรื่องดังแม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันใดๆ ก็ตาม องค์กรหนึ่งถึงกับส่งเฮลิคอปเตอร์มารับทั้งคู่ไปอยู่รัฐมิสซูรี่ให้ ในภายหลังดีดี้ยังได้ดูแลกองทุนสำหรับยิปซี ได้นั่งเครื่องบินฟรีบ่อยๆ โดยองค์กรนักบินอาสาสมัคร ได้พักในบ้านพักสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
ร็อดส่งเงินค่าเลี้ยงดูยิปซีให้ดีดี้ 1,200 ดอลลาร์ (ประมาณ 40,000 บาท) ทุกเดือน ดีดี้ก็จะโทรเล่าให้ร็อดฟังว่าในช่วงนั้นๆ ยิปซีเป็นยังไงบ้าง แต่ในเวลาเดียวกันนั้น ดีดี้กลับบอกเพื่อนใหม่และหมอในรัฐมิสซูรี่ว่าพ่อของยิปซีเป็นคนติดยาที่ทิ้งลูกสาวตัวเองไป ร็อดกับคริสตี้พยายามจะไปเยี่ยมยิปซีที่บ้านเสมอ แต่ดีดี้มักอ้างเหตุจำเป็นที่ทำให้พวกเขามาไม่ได้ซักที แต่ร็อดก็ยังส่งของขวัญตามโอกาสต่างๆ ให้ยิปซีเสมอ หรือแม้แต่ของที่ดีดี้เป็นคนขอเองเช่นชุดทีวีและเครื่องเสียง หรือเครื่อง Wii แม้ยิปซีจะอายุเกิน 18 ปีแล้ว ร็อดก็ยังส่งของให้เรื่อยๆ ไม่มีหยุด ร็อดและคริสตี้ไม่เคยเห็นข่าวหรือสารคดีเกี่ยวกับสิ่งที่ดีดี้ให้สัมภาษณ์เพราะเป็นสื่อภายในรัฐมิสซูรี่ เขาอยู่อีกรัฐจึงไม่ทราบเลยว่าดีดี้กับยิปซีได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรการกุศลมากมาย แถมยังมีเรื่องดราม่าอีกว่ายิปซีโดนพ่อที่ไม่ได้ความทิ้งไป
การดำเนินคดีกับยิปซีและชีวิตหลังจากนั้น
ในตอนแรกทั้งยิปซีและนิโคลัสถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมระดับ 1 มีหลักฐานจากการคุยกันออนไลน์ของทั้งคู่ว่ายิปซีอยากให้แม่ของตัวเองตายตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2014 เป็นต้นมา นอกจากนี้ทั้งคู่ยังมีจินตนาการแนว BDSM (คล้ายๆ ในหนัง 50 shades) และถ่ายภาพในคอสตูมส่งแลกกันไปมาจนถึงจุดหนึ่งที่เส้นแบ่งระหว่างจินตนาการและความเป็นจริงค่อยๆ เลือนไป
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2016 ที่ผ่านมานี้ ยิปซีถูกตัดสินข้อหาฆาตกรรมระดับ 2 เธอต้องโทษจำคุกอย่างน้อย 10 ปี โดยมีสิทธิขอทัณฑ์บนได้หลังอายุ 33 ปี ส่วนนิโคลัสยังคงโดนตั้งข้อหาฆาตกรรมระดับ 1 อยู่ แต่คดีของเขาจะถูกพิจารณาในเดือนพฤศจิกายนนี้
ทนายของยิปซีบอกว่ายิปซีมีสุขภาพที่ดีขึ้นหลังได้จำคุกไปแล้วประมาณ 1 ปี คนส่วนมากเข้าคุกแล้วจะน้ำหนักลด แต่ยิปซีน้ำหนักขึ้นถึง 6 กิโลกว่า นอกจากนี้เธอยังรู้สึกมีอิสระมากกว่าที่เคยเป็นมาทั้งชีวิต ตั้งแต่เข้าคุกเธอไม่เคยป่วยเลย และไม่ต้องกินยาอะไรก็ตามที่กินมาทั้งชีวิตด้วย ผมเธอยาวและผิวพรรณสดใสขึ้นเยอะ
ขณะอยู่ในคุก ยิปซีใช้คอมพิวเตอร์ในคุกสืบค้นเรื่องโรค Munchausen เพราะมีการพูดถึงโรคนี้หลายต่อหลายครั้งในช่วงพิจารณาคดี ผู้ที่มีอาการ Munchausen syndrome หรือ factitious disorder นี้ จะบอกว่าตัวเองมีอาการป่วยเพื่อเรียกร้องความเห็นใจหรือความสงสาร ถ้าตัวเองทำเองก็เป็น Munchausen syndrome หรือ factitious disorder เฉยๆ แต่อย่างกรณีของยิปซีคือแม่ของเธอเป็นแต่ทำผ่านตัวเธอจึงเรียกว่า Munchausen syndrome by proxy หรือ factitious disorder by proxy ถือว่าเป็นความเจ็บป่วยทางจิตชนิดหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าที่ผ่านมานั้นดีดี้เป็นโรคนี้ หรือดีดี้แค่อยากต้มตุ๋นทุกคน เพราะดีดี้ไม่มีบันทึกหรือทิ้งหลักฐานอะไรที่จะสรุปได้ว่าเป็นอย่างไหนกันแน่
แม้จะเป็นเรื่องน่าตกใจที่หมอหลายๆ ท่านในหลายโรงพยาบาลไม่สามารถจับผิดดีดี้ได้มาเป็นเวลาหลายปี แต่ก็ต้องมองอีกมุมด้วยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้เป็นไปทั้ง 2 ทาง หมอจะรักษาได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับสิ่งที่คนไข้บอก เหมือนกับเวลาที่ไปหาหมอแล้วหมอจะถามก่อนว่า "เป็นอะไรมาคะ" แม้หมอบางท่านที่ตรวจยิปซีจะสงสัยว่าทำไมตรวจแล้วไม่เจออะไร แต่การกระทำของดีดี้ก็ทำให้หมอเชื่อใจ และหมอยังกังวลเองด้วยว่าอาจจะทำอะไรผิดพลาดหรือเครื่องตรวจผิดจนทำให้ผลออกมาผิด แถมตัวดีดี้เองก็มีความรู้ด้านการรักษามาบ้างอยู่แล้ว ทำให้ไม่ว่าหมอจะจับสังเกตจุดไหนได้ เธอก็สามารถหาอะไรมาแย้งได้เสมอ จึงเป็นเรื่องยากที่หมอจะจับได้ว่าดีดี้กำลังโกหกอยู่
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2016 ที่ผ่านมานี้ ยิปซีถูกตัดสินข้อหาฆาตกรรมระดับ 2 เธอต้องโทษจำคุกอย่างน้อย 10 ปี โดยมีสิทธิขอทัณฑ์บนได้หลังอายุ 33 ปี ส่วนนิโคลัสยังคงโดนตั้งข้อหาฆาตกรรมระดับ 1 อยู่ แต่คดีของเขาจะถูกพิจารณาในเดือนพฤศจิกายนนี้
ทนายของยิปซีบอกว่ายิปซีมีสุขภาพที่ดีขึ้นหลังได้จำคุกไปแล้วประมาณ 1 ปี คนส่วนมากเข้าคุกแล้วจะน้ำหนักลด แต่ยิปซีน้ำหนักขึ้นถึง 6 กิโลกว่า นอกจากนี้เธอยังรู้สึกมีอิสระมากกว่าที่เคยเป็นมาทั้งชีวิต ตั้งแต่เข้าคุกเธอไม่เคยป่วยเลย และไม่ต้องกินยาอะไรก็ตามที่กินมาทั้งชีวิตด้วย ผมเธอยาวและผิวพรรณสดใสขึ้นเยอะ
ขณะอยู่ในคุก ยิปซีใช้คอมพิวเตอร์ในคุกสืบค้นเรื่องโรค Munchausen เพราะมีการพูดถึงโรคนี้หลายต่อหลายครั้งในช่วงพิจารณาคดี ผู้ที่มีอาการ Munchausen syndrome หรือ factitious disorder นี้ จะบอกว่าตัวเองมีอาการป่วยเพื่อเรียกร้องความเห็นใจหรือความสงสาร ถ้าตัวเองทำเองก็เป็น Munchausen syndrome หรือ factitious disorder เฉยๆ แต่อย่างกรณีของยิปซีคือแม่ของเธอเป็นแต่ทำผ่านตัวเธอจึงเรียกว่า Munchausen syndrome by proxy หรือ factitious disorder by proxy ถือว่าเป็นความเจ็บป่วยทางจิตชนิดหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าที่ผ่านมานั้นดีดี้เป็นโรคนี้ หรือดีดี้แค่อยากต้มตุ๋นทุกคน เพราะดีดี้ไม่มีบันทึกหรือทิ้งหลักฐานอะไรที่จะสรุปได้ว่าเป็นอย่างไหนกันแน่
แม้จะเป็นเรื่องน่าตกใจที่หมอหลายๆ ท่านในหลายโรงพยาบาลไม่สามารถจับผิดดีดี้ได้มาเป็นเวลาหลายปี แต่ก็ต้องมองอีกมุมด้วยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้เป็นไปทั้ง 2 ทาง หมอจะรักษาได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับสิ่งที่คนไข้บอก เหมือนกับเวลาที่ไปหาหมอแล้วหมอจะถามก่อนว่า "เป็นอะไรมาคะ" แม้หมอบางท่านที่ตรวจยิปซีจะสงสัยว่าทำไมตรวจแล้วไม่เจออะไร แต่การกระทำของดีดี้ก็ทำให้หมอเชื่อใจ และหมอยังกังวลเองด้วยว่าอาจจะทำอะไรผิดพลาดหรือเครื่องตรวจผิดจนทำให้ผลออกมาผิด แถมตัวดีดี้เองก็มีความรู้ด้านการรักษามาบ้างอยู่แล้ว ทำให้ไม่ว่าหมอจะจับสังเกตจุดไหนได้ เธอก็สามารถหาอะไรมาแย้งได้เสมอ จึงเป็นเรื่องยากที่หมอจะจับได้ว่าดีดี้กำลังโกหกอยู่
เป็นอีกเรื่องที่น่าตกใจมากเลยนะคะ แค่ให้คิดว่าโดนแม่สั่งให้ป่วยมาทั้งชีวิต แล้วต้องกินแต่อาหารปั่นโดยให้อาหารผ่านท่อก็รู้สึกเศร้าแทนยิปซีแล้วค่ะ แม้การฆ่าแม่จะไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง แต่จะให้เราคิดแทนยิปซีก็ไม่ได้เพราะเราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบเขา ขอให้คดีนี้เป็นคดีน่าเศร้าคดีสุดท้ายละกันนะคะ
24 ความคิดเห็น
พ่อแม่รังแกฉัน
อ่านจบแล้วได้แต่บอกคำเดียวว่า OMG ......
มันเป็นอะไรที่พลิกจริงๆ
พูดไม่ออกค่ะ
จริงๆ ก็แอบสงสารนางนะ แต่ก็สงสารแม่ด้วย สงสารทุกคน
เป็นเรื่องที่หักมุมมาก -O-
น่าสงสารมากเลย แต่เราก็เข้าใจนะ ต้องโดนแม่บังคับให้มาเล่นละครทั้งชีวิตคงรู้สึกแย่มากอ่ะ
นึกว่าอ่านนิยาย
ถ้าเป็นแบบนี้อยู่คุกยังจะดีกว่าอยู่บ้าน เห็นลูกเป็นอะไรกันแน่เนี่ย
ถ้าดีดี้ไม่ป่วยทางจิตก็คงเป็นมิจฉาชีพที่น่ากลัวมาก และเหยื่อคนแรกของดีดี้ก็คือยิปซี น่าสงสารนะ
คำถามคือ ถ้ายิปซีไม่ทำ จะมีใครช่วยยิปซีออกมาจากตรงนั้นไหม เวลา 18 ปีมันไม่น้อยเลยนะ เราเชื่อว่ายิปซีคงหาทางออกอย่างสุดๆแล้ว อย่างแรกอาจจะแค่อยากหนีไปถึงได้คุยกับคนในโลกออนไลน์โดยหวังว่าจะมีใครมาพาหนี แต่มันบานปลายไปถึงฆ่าแม่ทิ้งได้นี่ก็คงจะทนจนสุดๆ แล้วเหมือนกัน
เป็นการโกหกที่ยาวนานมากจริงๆน่ากลัวอ่ะ