โหดสุด! 3 ฆาตกรโรคจิตสุดซาดิสม์ที่เป็นผู้หญิง

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com วันนี้ พี่พิซซ่า มีเรื่องราวน่าสนใจจากต่างประเทศมาฝากอีกเช่นเคย คราวนี้เป็นเรื่องราวของฆาตกรหญิงที่โรคจิตและซาดิสม์สุดๆ เป็นอันดับต้นๆ ของโลกค่ะ ไปดูความโรคจิตกันเลย


Leonarda Cianciulli นักทำสบู่แห่งอิตาลี

     ถ้าดูกันแค่จำนวนศพที่มีเพียง 3 ศพก็อาจจะทำให้รู้สึกว่าลีโอนาร์ด้าไม่น่าจะเป็นฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตซักเท่าไหร่ แต่น้องๆ ต้องมาดูเหตุผลและกรรมวิธีต่างๆ ที่เธอใช้ค่ะ รับรองว่าโรคจิตไม่แพ้นักฆ่าอื่นๆ แน่นอน


     ลีโอนาร์ด้าเกิดเมื่อปี 1894 ในประเทศอิตาลี ครอบครัวของเธอมีชื่อเสียงด้านศาสตร์มืดอยู่แล้ว ตัวเธอเองก็เป็นหมอดูเช่นกัน เธอแต่งงานในปี 1917 โดยที่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย แม่ของเธอจึงสาปแช่งครอบครัวใหม่ของเธอ นับแต่นั้นลีโอนาร์ด้าก็ตั้งท้องถึง 17 ครั้ง เธอแท้ง 3 ครั้ง และลูกเสียชีวิตตั้งแต่เด็กอีกถึง 10 คน นั่นทำให้ลีโอนาร์ด้าหวงและห่วงลูกอีก 4 คนที่เธอมีแบบสุดๆ นอกจากนี้เมื่อลีโอนาร์ด้าไปหาหมอดู หมอดูคนหนึ่งบอกกับเธอว่าลูกของเธอจะตายก่อนเธอทุกคน ส่วนหมออ่านลายมืออีกคนก็บอกว่าลายมือของเธอชี้ว่าถ้าไม่จบที่คุกก็จบที่โรงพยาบาลจิตเวชในคุก นั่นยิ่งทำให้เธอกังวลเข้าไปใหญ่

     ในปี 1939 ลูกชายคนโตของลีโอนาร์ด้าตั้งใจว่าจะไปเป็นทหารเพื่อช่วยอิตาลีรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 เธอก็ยิ่งกลัวจะสูญเสียลูกเข้าไปอีก เธอจึงคิดจะใช้มนตร์ดำในการรักษาชีวิตลูกไว้ และเธอเห็นว่าทางเดียวที่จะป้องกันไม่ให้ลูกเธอตายก็คือต้องเซ่นสังเวยชีวิตคนอื่นให้กับความตายแทน จากนั้นเธอจึงมองหาเหยื่อจากบรรดาผู้หญิงที่มาให้เธอดูดวงให้ ซึ่งผู้หญิงทั้ง 3 รายที่เธอเลือกมาก็คือ ฟอสติน่า เซ็ตตี้, ฟรานเซสก้า โซอาวี, และเวอร์จิเนีย คาโชปโป้ เธอออกอุบายให้แต่ละคนต้องเดินทางไปต่างเมืองเพื่อจะไปเจอเนื้อคู่หรือไปเจองานในฝัน และให้เขียนจดหมายบอกครอบครัวว่ากำลังมีความสุขดีอยู่ที่อีกเมืองหนึ่ง ซึ่งก่อนจะถึงเวลาเดินทางเหยื่อของเธอต้องมาหาเธอก่อน ลีโอนาร์ด้าก็ชวนดื่มไวน์ฉลองให้กับอนาคตที่ดีโดยใส่ยาไว้ในไวน์ จากนั้นเธอก็เอาขวานจามเหยื่อจนเสียชีวิต


     เหยื่อของเธอถูกสับเป็น 9 ท่อน ลีโอนาร์ด้าเอาเนื้อของเหยื่อไปต้มกับโซดาเพื่อทำเป็นสบู่ก้อน ส่วนเลือดถูกทำไปผสมทำเป็นเค้กที่ลีโอนาร์ด้าเสิร์ฟให้ลูกของเธอและเพื่อนบ้านกิน ทุกคนกินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่รู้เลยว่ามีเลือดคนผสมอยู่เยอะมาก สำหรับเหยื่อคนสุดท้ายนั้นเป็นอดีตนักร้องเสียงโซปราโน่ เธออวบอ้วนและมีผิวขาวเนียนมาก ลีโอนาร์ด้าบอกในภายหลังว่าสบู่ที่ทำจากเนื้อเวอร์จีเนียเป็นสบู่ที่มีครีมนุ่มที่สุด ส่วนเค้กที่ผสมเลือดของเธอก็หวานและนุ่มกว่าของเหยื่อคนก่อนๆ

     ดีที่พี่สาวของเวอร์จิเนียเห็นเวอร์จิเนียไปที่บ้านของลีโอนาร์ด้าก่อนหายตัวไป เธอจึงแจ้งทางการให้ไปตรวจสอบที่นี่ นั่นทำให้ลีโอนาร์ด้าถูกจับก่อนจะไปฆ่าใครได้อีก ลีโอนาร์ด้าไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ ตอนที่ถูกจับขึ้นศาล เธออ้างว่าการกระทำของเธอทำให้เกิดประโยชน์กับกองทัพในเวลาสงคราม เธอถูกจำคุก 30 ปี และถูกส่งเข้าโรงพยาบาลจิตเวชสำหรับอาชญากรอีก 3 ปีก่อนจะเสียชีวิตในปี 1970 หม้อที่เธอใช้ต้มเหยื่อยังคงจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อาชญวิทยาในกรุงโรม


Elizabeth Bathory เคาน์เตสกระหายเลือด

     ยุคศตวรรษที่ 16 ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในประเทศฮังการีมีข่าวเกี่ยวกับการหายตัวไปของเด็กสาวทั่วทั้งเมือง และไม่ว่าชาวบ้านจะพยายามสืบเรื่องยังไงก็โยงกลับไปที่คนคนเดียวเสมอ นั่นคือเคาน์เตสอลิซาเบธ บาโธรี่ เธอมาอยู่ที่เมืองนี้ตั้งแต่อายุ 11 ปีหลังหมั้นหมายกับท่านเคาต์เฟเรนซ์ นาดาสดี ท่านเคาต์คนนี้เป็นทหารฝีมือดีที่ถือเป็นวีรบุรุษคนหนึ่งของประเทศในช่วงสงครามกับพวกเติร์ก เมื่อเฟเรนซ์ไปรบ ช่วงนั้นก็มีข่าวลือดังไปทั่วเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงกับคนใช้ในปราสาทของอลิซาเบธ เธอถึงกับจ้างทีมงานมาช่วยทรมานเด็กสาวรับใช้ อันได้แก่ผู้หญิงสูงวัย 3 คน เด็กผู้ชายผู้มีร่างกายพิการ 1 คน และแม่มดสุดซาดิสม์ที่ชื่ออันนา ดาร์วูเลีย


     เป็นเรื่องธรรมดาในยุคนั้นที่พ่อแม่จะส่งลูกสาวไปเป็นคนรับใช้ในปราสาทของผู้ปกครองเมืองบริเวณนั้น ทว่าสาวๆ ที่ถูกส่งมายังปราสาทนี้ไม่เคยมีใครรอดกลับไปได้เลย อลิซาเบธและทีมทรมานมักมีวิธีใหม่ๆ มาทรมานเด็กสาวเสมอ ไม่ว่าจะจับเด็กสาวออกไปยืนกลางหิมะแล้วสาดน้ำเย็นใส่เพื่อให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งแล้วเด็กสาวจะได้หนาวตาย บางที่ก็จับเด็กสาวแก้ผ้าแล้วทาน้ำผึ้งให้ทั่วก่อนจับไปมัดไว้ข้างนอกเพื่อให้ผึ้งและแมลงมารุมกิน บางคนโดนเย็บปาก เอาเข็มแทงใต้เล็บมือ และโดนทุบตีจนตายก็มี

     เมื่อกองทัพแจ้งว่าเฟเรนซ์เสียชีวิตในสนามรบ อลิซาเบธก็ข้ามไปอีกขั้นของความบ้า อันนากลายมาเป็นคนรักคนใหม่ของเธอ อลิซาเบธเลิกออกไปข้างนอกแต่จะนอนในห้องเฉยๆ แล้วให้ทีมงานของเธอไปลักพาตัวเด็กสาวจากหมู่บ้านรอบๆ มาให้เธอกัดหน้าแบบสดๆ ก่อนจะสั่งให้คนเอาตัวเด็กสาวไปเผาทิ้ง เมื่อในหมู่บ้านไม่มีเด็กสาวเหลืออีกแล้วเธอก็เริ่มไปหลอกลูกสาวตระกูลขุนนางอื่นๆ ที่มีบรรดาศักดิ์ต่ำกว่ามา

     ในที่สุดกษัตริย์ฮังการีก็ไม่สามารถทำเป็นไม่รับรู้เรื่องนี้ได้อีกต่อไป ทรงให้ทหารมาจับตัวอลิซาเบธไปไต่สวน เมื่อทหารมาถึงปราสาทก็เจอศพมากมาย บางร่างยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ บ้างก็อยู่ในห้องต่างๆ บ้างก็ถูกเผาอยู่ในเตาผิง บ้างก็โดนฝังอยู่บริเวณรอบปราสาท จากคำให้การของชาวบ้านและคนใช้คนอื่นในปราสาทรวมถึงหลักฐานต่างๆ ก็ทำให้เอาผิดได้

     อลิซาเบธถูกตัดสินว่าฆาตกรรมไปทั้งสิ้น 80 ศพ (แม้ในไดอารี่ของเธอจะบอกว่าฆ่าถึง 650 รายก็ตาม) ทีมงานทรมานของเธอถูกแขวนคอ แต่อลิซาเบธยังได้รับสิทธิจากบรรดาศักดิ์ทำให้ไม่โดนประหาร แต่เธอต้องโดนขังไว้ในปราสาทตลอดชีวิตโดยมีการก่ออิฐทับประตูหน้าต่างทั้งหมด ว่ากันว่าเธอเสียชีวิต 4 ปีหลังจากนั้น แต่เมื่อชาวบ้านในยุคหลังประท้วงให้ย้ายศพของเธอไปฝังที่บ้านเกิดของเธอเอง เจ้าหน้าที่กลับไม่เจอร่างของเธอในปราสาทนั้นแล้ว


Katherine Knight ผู้หญิงคนแรกในออสเตรเลียที่โดนจำคุกตลอดชีวิต

     แม้แคเธอรีนจะฆ่าคนเพียงคนเดียวซึ่งก็คือคนรักคนล่าสุดของเธอ แต่มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ ไม่งั้นเธอคงไม่ได้เป็นผู้หญิงคนแรกในออสเตรเลียที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีสิทธิได้รับทัณฑ์บน

     แคเธอรีน ไนท์โตมาในครอบครัวที่ไม่ปกติ แม่ของเธอแต่งงานอยู่แล้วกับผู้ชายคนหนึ่งและมีลูกชายด้วยกัน 4 คน ต่อมาแม่ของเธอก็เป็นชู้กับเคน ไนท์ เพื่อนร่วมงานของสามี เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่มากในสังคมเล็กๆ ที่นี่ ผู้คนบังคับให้แม่ของเธอและเคนย้ายออกไปจากเมืองทันที ทั้งคู่ก็มีลูกกัน 4 คน แคเธอรีนคือ 1 ในนั้นนั่นเอง เคนผู้เป็นพ่อของแคเธอรีนเป็นคนติดเหล้าที่ชอบใช้กำลัง เขาข่มขืนแม่ของแคเธอรีนวันละเป็น 10 รอบ แต่แม่ของเธอกลับชอบมาเล่าให้ลูกๆ ฟังโดยละเอียดเกี่ยวกับการข่มขืน แคเธอรีนเองก็โดนญาติหลายคนข่มขืน แม่ของเธอเองกลับชอบบอกว่าให้ยอมๆ ไปไม่ต้องบ่น

     สมัยเรียนทุกคนบอกว่าแคเธอรีนเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรงและรังแกคนที่เด็กกว่าอยู่เสมอ แต่ถีงอย่างนั้นเธอก็เรียนดี หลังออกจากโรงเรียนเธอก็ไปเป็นช่างตัดในโรงงานเสื้อผ้า จากนั้นก็ได้ทำงานในฝันของเธอ นั่นคืองานในโรงเชือดสัตว์ เธอทำงานที่นั่นได้ดีมากจนได้เลื่อนขั้นและได้ชุดมีดหั่นเนื้อเป็นของตัวเอง เธอแขวนมีดไว้เหนือหัวเตียงเสมอ


     สามีคนแรกของเธอคือเดวิด เคลเล็ต และเธอควบคุมเขาไว้ได้อย่างดี หากเขาไปมีเรื่องอะไรที่ไหนเธอก็จะไปช่วย แถมเธอชกต่อยชนะเสมอด้วย ในคืนแต่งงานของทั้งคู่ แคเธอรีนพยายามจะรัดคอเดวิดให้ตายเมื่อเขาเหนื่อยจนหลับไปหลังมีอะไรกับเธอได้เพียง 3 รอบ ทำให้เขารู้ว่าไม่ควรทำอะไรให้ผู้หญิงคนนี้ไม่พอใจเป็นอันขาด แต่ถึงยังไงสามีภรรยาก็ต้องมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เถียงกันบ้าง เพียงแต่แคเธอรีนจะโมโหถึงขั้นเผาเสื้อผ้าเขาทิ้งและเอากระทะตีเขา เดวิดวิ่งหนีออกจากบ้านจนมาสลบหน้าประตูเพื่อนบ้าน หลังลูกคนแรกของพวกเขาคลอดเดวิดก็หนีไปอีกเมือง ส่วนแคเธอรีนก็ถูกจับหลังเข็นรถเข็นเด็กเหวี่ยงไปมาอย่างรุนแรงเหมือนจะฆ่าลูก แต่หมอบอกว่าเธอแค่เครียดหลังคลอดจึงปล่อยตัวไป สองเดือนต่อมาเธอก็เอาลูกไปวางบนรางรถไฟ ดีที่คนแถวนั้นมาช่วยเด็กไว้ทัน

     ไม่กี่วันหลังจากนั้นแคเธอรีนก็เอามีดฟันหน้าผู้หญิงคนหนึ่งและบังคับให้ขับรถพาเธอไปหาเดวิดที่ควีนส์แลนด์ เมื่อผู้หญิงคนนั้นหนีไปแจ้งตำรวจได้ แคเธอรีนก็ถูกจับ เธอถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลจิตเวช เมื่อเดวิดรู้ว่าแคเธอรีนมีปัญหาทางจิตเขาจึงเลิกกับแฟนใหม่และกลับมายังอะเบอร์ดีนเพื่อจะคอยดูแลแคเธอรีนหลังเธอถูกปล่อยตัวจากโรงพยาบาลในปี 1976

     ในปี 1986 แคเธอรีนพบรักกับผู้ชายคนใหม่ชื่อเดวิด ซอนเดอส์ เขาย้ายมาอยู่กับเธอและลูกสาวของเธออีก 2 คน (ลูกสาวจากเดวิดคนก่อน) แต่แล้วเธอก็หาเรื่องโมโหเขาได้อย่างไม่มีเหตุผลอยู่เรื่อยๆ แถมยังเชือดคอลูกหมาของเขาต่อหน้าเขาอีกด้วย หลังแคเธอรีนคลอดลูกคนที่ 3 (ลูกกับเดวิดคนนี้) เธอก็ยิ่งทำร้ายเขาหนักขึ้น เธอเอาเตารีดฟาดหน้าเขาและใช้กรรไกรแทงเขาที่ท้อง นั่นทำให้เขาต้องหนีหายไปจากชีวิตเธอให้ได้ หลายเดือนต่อมาเมื่อเขาแอบกลับมาหาลูก แคเธอรีนก็ไปแจ้งความว่าเขาจะมาทำร้ายเธอ ทำให้เขาโดนคำสั่งศาลสั่งห้ามเข้าใกล้เธอ


     ปี 1990 แคเธอรีนคบกับเพื่อนร่วมงานชื่อจอห์น ชิลลิ่งเวิร์ธ และแคเธอรีนก็มีลูกคนที่ 4 แต่คบได้ประมาณ 3 ปีแคเธอรีนก็ทิ้งเขาไปหาชู้ที่เธอลอบคบอยู่ด้วยมาตลอด ผู้ชายคนนี้คือจอห์น ไพรซ์ เขาแอบเป็นชู้กับแคเธอรีนมาหลายปีแล้ว และเป็นพ่อที่แท้จริงของลูก 3 คนหลังของแคเธอรีน จอห์นเคยแต่งงานมาก่อนเช่นกันและมีลูกมาแล้ว 3 คน ลูกคนเล็กของเขาอยู่กับอดีตภรรยา ส่วนลูกคนโต 2 คนย้ายมาอยู่กับเขาและแคเธอรีน ปี 1998 แคเธอรีนขอจอห์นแต่งงานแต่เขาปฏิเสธ นั่นทำให้เธอโมโหจนเอาเทปบันทึกภาพตอนที่จอห์นจิ๊กของจากออฟฟิศกลับบ้านส่งไปให้เจ้านายเขาดู จนทำให้เขาโดนไล่ออก เขาจึงไล่เธอออกจากบ้านเขา แต่ไม่กี่เดือนต่อมาทั้งคู่ก็กลับมาคบกันอีก

     แต่คราวนี้ทั้งคู่ทะเลาะกันบ่อยมากขึ้นและแคเธอรีนก็แทงจอห์นบ่อยขึ้นเช่นกัน วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2000 จอห์นจึงไปขอแบบฟอร์มมากรอกเพื่อขอคำสั่งศาลให้เธอห้ามเข้าใกล้เขาและลูก จอห์นยังบอกเพื่อนๆ อีกด้วยว่าถ้าวันรุ่งขึ้นเขาไม่มาทำงานก็แปลว่าเขาโดนเธอฆ่าตายไปแล้ว เพื่อนๆ จึงบอกให้เขาไม่ต้องกลับบ้าน แต่ด้วยความกลัวว่าลูกๆ จะโดนฆ่าแทนเขาจึงกลับไป แคเธอรีนบอกว่าเธอส่งเด็กๆ ไปบ้านเพื่อนหมดแล้ว เขาจึงไปอยู่บ้านเพื่อนบ้านก่อนกลับมานอนบ้านตัวเองตอน 5 ทุ่ม

     เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมงานเห็นจอห์นไม่มาทำงาน และเพื่อนบ้านเห็นรถของจอห์นจอดอยู่จึงพยายามมาดูว่าจอห์นเป็นอะไรรึเปล่า พวกเขาเจอรอยเลือดที่ประตูหน้าจึงแจ้งตำรวจทันที เมื่อตำรวจมาถึงและพังประตูเข้าไปก็พบร่างไร้วิญญาณของจอห์น เธอใช้มีดหั่นเนื้อแทงเขาหลายแผลในขณะที่เขาหลับอยู่ เมื่อเขาตื่นขึ้นมากพยายามวิ่งหนีแต่เธอก็ตามล่าเขาไปทั่วบ้าน

     จากรอยเลือดทำให้รู้ว่าจอห์นเปิดประตูหน้าบ้านสำเร็จแล้วแต่ก็โดนลากกลับเข้าไปในบ้านอีก เขาเสียชีวิตจากการเสียเลือดเนื่องจากโดนแทงถึง 37 แผลทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แต่ละแผลก็หวังผลให้โดนอวัยวะสำคัญทั้งหมด หลังจอห์นเสียชีวิตแคเธอรีนก็ถลกหนังเขาโดยใช้ตะขอเกี่ยวเนื้อเขาไว้เหนือประตูห้องนั่งเล่น จากนั้นเธอก็ตัดหัวเขาและหั่นร่างเป็นหลายๆ ส่วนเพื่อนำไปทำอาหารหลายชนิด แล้วเธอก็ตั้งโต๊ะอาหารเป็น 2 ชุด โดยแปะชื่อลูก 2 คนของเขาเอาไว้ข้างแต่ละชุดอาหาร ศีรษะของจอห์นอยู่ในหม้อต้มผักซึ่งหม้อยังอุ่นอยู่

     เห็นแบบนี้แล้วก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมศาลต้องระบุในเอกสารผู้หญิงคนนี้เลยว่า "ห้ามปล่อยตัวเด็ดขาด" โชคดีมากจริงๆ ค่ะที่ลูกๆ ของจอห์นไม่ต้องมาเห็นภาพอะไรแบบนี้


     เห็นแต่ละคดีแล้วก็รู้สึกหดหู่มากเลยนะคะ ทำไมคนเราต้องทำอะไรแบบนี้กันด้วย แม้ผู้หญิงที่เป็นฆาตกรโรคจิตจะมีไม่เยอะ แต่แต่ละคนก็จิตสุดยอดกันจริงๆ ค่ะ ใครอยากเล่าอะไรเพิ่มเติมหรือมีคดีน่าสนใจอื่นๆ ก็แบ่งปันกันได้ที่กล่องคอมเมนต์ด้านล่างนะคะ 

ข้อมูล
www.the-line-up.com/leonarda-cianciulli-soap-maker-of-correggio/
www.the-line-up.com/blood-countess/
www.nydailynews.com/news/justice-story/aussie-woman-removed-beau-skin-article-1.1476480
www.trutv.com/library/crime/notorious_murders/women/katherine_knight/4.html
พี่พิซซ่า
พี่พิซซ่า - Columnist คอลัมนิสต์ฝ่ายเรียนต่อนอก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Rainbow Dash Mlp Member 8 ก.ย. 59 11:08 น. 6
หนูเคยรู้มาว่า อลิซาเบธ บาโธรี่ ทรมารหญิงสาวแล้วนำเลือดของสาวบริสุทธิ์มาอาบตนเองเพื่อรักษาความงาม แต่พอมาอ่านบทความนี่แล้ว...สยองแล้วค่ะ ปล.อันสุดท้ายนี่ไม่ค่อยจิตกับลูกมากเท่าไร แต่กับสามีนี่ไม่รอด
2
PiZZaPeaCH Member 8 ก.ย. 59 11:34 น. 6-1
เท่าที่พี่ค้นคว้ามาเหมือนยังไม่เจอหลักฐานจังๆ ที่ชี้ว่าเขานำเลือดมาอาบ (หรือบางตำนานก็บอกว่าเอามาดื่ม) นะคะ ตอนนี้หลักฐานเท่าที่มีสรุปได้แค่ว่าเป็นคำบอกเล่าของชาวบ้านกับคนใช้บางคนในปราสาทเท่านั้น ก็เลยยังไม่อยากสรุปว่าเขาเอามาอาบ (หรือดื่ม) จริงค่ะ (แต่ถึงทำจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยเนอะ ถ้าจะจิตขนาดนี้ การอาบเลือดเป็นเรื่องเด็กๆ ไปเลยแหละ)
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด

8 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Rainbow Dash Mlp Member 8 ก.ย. 59 11:08 น. 6
หนูเคยรู้มาว่า อลิซาเบธ บาโธรี่ ทรมารหญิงสาวแล้วนำเลือดของสาวบริสุทธิ์มาอาบตนเองเพื่อรักษาความงาม แต่พอมาอ่านบทความนี่แล้ว...สยองแล้วค่ะ ปล.อันสุดท้ายนี่ไม่ค่อยจิตกับลูกมากเท่าไร แต่กับสามีนี่ไม่รอด
2
PiZZaPeaCH Member 8 ก.ย. 59 11:34 น. 6-1
เท่าที่พี่ค้นคว้ามาเหมือนยังไม่เจอหลักฐานจังๆ ที่ชี้ว่าเขานำเลือดมาอาบ (หรือบางตำนานก็บอกว่าเอามาดื่ม) นะคะ ตอนนี้หลักฐานเท่าที่มีสรุปได้แค่ว่าเป็นคำบอกเล่าของชาวบ้านกับคนใช้บางคนในปราสาทเท่านั้น ก็เลยยังไม่อยากสรุปว่าเขาเอามาอาบ (หรือดื่ม) จริงค่ะ (แต่ถึงทำจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยเนอะ ถ้าจะจิตขนาดนี้ การอาบเลือดเป็นเรื่องเด็กๆ ไปเลยแหละ)
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด