หากนิยายเปรียบเสมือนอาหารอย่างหนึ่ง อารมณ์ขันก็ถือเป็นเครื่องปรุงที่เพิ่มรสกลมกล่อมให้แก่นิยายทุกเรื่องทุกแนว แม้ว่าเราจะเขียนนิยายแนวซีเรียสจริงจังก็ตาม แต่เราต้องไม่ลืมว่าที่คนเราอ่านนิยายก็เพื่อผ่อนคลาย ถ้าทั้งเรื่องมีแต่ฉากซีเรียสอย่างเดียว ฆ่าๆๆๆ ฟันๆๆๆ เครียดๆๆๆ คนอ่านคงเพลียตายเลย อย่างน้อยก็น่าจะมีบางช่วงให้ผู้อ่านได้ผ่อนคลายกันบ้างเนอะ อารมณ์ดีเข้าไว้ "พี่แบงค์คะ สอนหนูคิดมุกตลกหน่อยค่ะ เขาบอกว่านิยายที่หนูเขียนมันขาดมุกตลกให้ชวนอ่านน่ะค่ะ ทำไงดี หนูเขียนไม่ได้เลย" "หนูเขียนไม่ได้ ก็ให้แมวเขียนแทนสิครับ" "อย่ามาตลกได้มั้ยคะ! หนูซีเรียสนะ ช่วยจริงจังกับหนูหน่อย" "เอ่อ...พี่ผิดไปแล้วครับ" ไม่แปลกใจเลยที่น้องคนนั้นทำไมถึงเขียนนิยายไม่ตลก ก็เพราะมองทุกปัญหาเป็นเรื่องซีเรียส ขำไม่ออกนั่นเอง แน่นอนครับ ถ้าตัวเราไม่ได้เป็นคนที่อารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ แล้วจะไปคิดเรื่องตลกออกได้อย่างไร ยิ้มๆ เข้าไว้ครับ ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้ผูก ซีเรียสมากระวังท้องผูกนะ มองต่างมุม และล้อเล่นกับมัน ลองนึกภาพชีวิตประจำวันดูสิว่า ในแต่ละวันเราต้องเจออะไรบ้าง เช่น ทุกวันเราต้องโหนรถเมล์ไปโรงเรียน ทั้งเมื่อย อึดอัด และร้อนมากๆ เราก็ลองคิดเล่นๆ ขึ้นมาว่า "แหม ดีนะ กรุงเทพมีห้องซาวน่าเคลื่อนที่" หรือเห็นคนเดินข้ามถนนใต้สะพานลอย แทนที่จะคิดด่าในใจว่าคนที่เดินข้ามไร้สามัญสำนึก ก็ลองคิดในอีกมุมหนึ่งซึ่งตรงกันข้ามทำนองว่า เขาคงจะรีบมากจนเสียเวลาข้ามไม่ได้ ถ้าคิดในเชิงล้อเล่นก็ประมาณว่า "อ๋อ จริงๆ แล้วท่านผู้ว่ากทม. เขาสร้างสะพานลอยขึ้นมาเพื่อบังแดดให้คนข้ามถนนต่างหาก ฝึกมองสิ่งรอบๆตัว และนึกล้อเล่นกับมันไปเรื่อยๆ จะช่วยให้น้องๆ มีอารมณ์ขันกันมากขึ้น (แต่อย่าไปล้อชื่อพ่อชื่อแม่เพื่อนเข้าล่ะ โดนต่อยตาเขียว พี่แบงค์ไม่รู้ด้วยนะ) เล่นมุกในสิ่งที่หลายคนเข้าใจ อาจจะเป็นเรื่องตลกก็ได้ที่ไม่มีใครแบ่งประเภทมุกตลก (เพราะเชื่อว่าคงไม่มีใครเขียนบทความสอนเล่าเรื่องตลกที่ไหนมาก่อนแน่) งั้นพี่แบ่งให้เลยละกัน มุกตลกที่พวกเราพอจะรู้จัก สามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้ - ตลกตามกระแส เอาเรื่องของคนมีชื่อเสียงในสมัยนั้นมาล้อเลียน ซึ่งจะขำได้ในช่วงระยะหนึ่ง เช่น ในช่วงหนึ่ง คนนิยมจิ้นสมจิต-สมใจเป็นคู่วาย แบบว่าจับเป็นคู่สามีภรรยากันแล้วใครๆก็กรี๊ดกร๊าด ฮาก๊ากแน่ๆ แต่อีกหลายปีผ่านไป กระแสความนิยมก็คงจางลง ใครที่ยังเล่นมุกคู่นี้อยู่โคตรเชยเลย เป็นต้น - ตลกเฉพาะกลุ่ม เล่าในหมู่เพื่อนฝูงแล้วขำ ซึ่งส่วนมากจะเป็นมุกที่แซวความเฉิ่มโก๊ะโง่รังแคของเพื่อนฝูง ซึ่งมีแต่เพื่อนในกลุ่มหรือในโรงเรียนเท่านั้นที่เข้าใจและขำ แต่คนนอกซึ่งไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย ฟังไปก็ไม่ขำ - ตลกร่วมสมัย ผ่านไปหลายสิบปีก็ยังทำให้คนรุ่นหลังรู้สึกขำๆ ได้ เช่น พี่โน้ส อุดม แต้พานิช กับมุกเรื่องคุณนายทองสุข ซึ่งพี่แกก็เล่ามาตั้งแต่พวกน้องๆ ยังแบเบาะจนโตเข้ามัธยมกันแล้ว จนป่านนี้คนก็ยังขำเรื่องของคุณนายทางสุขที่พี่โน้สเล่าอยู่ดี มุกตลกที่เหมาะจะนำไปลงในนิยายของน้อง ควรจะเป็นตลกร่วมสมัย เพราะเมื่อเวลาผ่านไป มุกที่ใส่ลงไปจะไม่รู้สึกฝืดเฝือ คนรุ่นหลังๆ ที่มาอ่านจะไม่รู้สึกว่า "อะไรว้า เล่นมุกได้บรมเฉิ่มจริงๆ" ลองคิดดูนะครับว่าอีกสิบปีผ่านไป คนจะยัง get คำว่าอาร์ตตัวแม่ ลำปางหนาวมาก สุโค่ย ฝันดีสุกี้รอบเตียง ชิมิๆ จุ๊บุๆ บะบะโอ้บะ กันอยู่หรือเปล่า พี่แบงค์เองก็เชื่อว่าคงไม่มีใครขำกับมุกตลกที่ต้องใส่เชิงอรรถเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจหรอกนะ เพราะโดยความรู้สึกส่วนตัว มุกที่ไม่ขำ ต่อให้อธิบายยังไงก็คงแค่ "อ๋อๆ เข้าใจแล้วจ้า ให้ช่วยฮากี่ทีดีจ๊ะ" มากกว่า ไม่เล่นมุกตลกที่ใครๆเขาเล่นกันไปแล้ว จริงอยู่ที่มุกตลก ถ้าคนเล่าเก่งๆ ไม่ว่าใครจะเล่าไปแล้ว ยังไงมันก็ยังตลกวันยังค่ำ แต่อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าหากเราเล่นมุกซ้ำกับที่ชาวบ้านเขาเล่นกันทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น มุกพี่โน้ส มุกน้าหม่ำ มุกเป็นต่อ แพลงกิ้ง พับเพียบ ฯลฯ หรือแม้แต่มุกสามัญประจำพล็อต เช่น ตื่นสาย วิ่งออกจากบ้านพร้อมคาบขนมปังปิ้ง วิ่งไปชนกับชายหนุ่มรูปหล่อที่ย้ายมาเรียนที่เดียวกัน และนั่งโต๊ะใกล้กันอีก มันดูน่าเบื่อชิมิๆ พี่แบงค์อยากให้น้องๆ นักเขียนลองคิดมุกที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองขึ้นมา มันจะช่วยให้งานของน้องดูมีเอกลักษณ์เฉพาะ อ่านแล้วรู้เลยว่า ถ้าเล่นมุกนี้ ต้องไม่ใช่ของใครอื่นแน่ นอกจากนิยายที่น้องเขียน เหมือนอย่างมุกนายกิมหงวน ของ ป.อินทรปาลิต เป็นตัวละครที่รวยมาก รวยชนิดที่เรียกว่ากล้าหยิบเงินมาฉีกเล่นเพื่อเย้ยอีกฝ่ายได้แบบไม่สะทกสะท้าน (เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี แต่มันก็ถือเป็นมุกตลกอย่างหนึ่งของคนในยุค 2510) รู้จังหวะ กาละเทศะ อย่างที่พี่แบงค์ได้บอกไว้ตอนต้น มุกตลกก็คือเครื่องปรุงเพิ่มรสชาติ แต่เครื่องปรุงต้องใส่ในปริมาณพอเหมาะ ถ้าใส่มากเกินไปก็จะกลายเป็นไร้แก่นสาร (เว้นเสียแต่ว่าอยากทำนิยายที่เน้นตลกอย่างเดียว) ใส่ไม่ถูกประเภท หรือเล่นไม่ถูกกาละเทศะของเรื่อง เช่น เล่นมุกคำผวน ตลกหยาบคาย พาดพิงถึงท่านผู้นั้น ถึงจะตลกสำหรับคนส่วนหนึ่ง แต่ต้องอย่าลืมว่าคนอ่านอีกส่วนอาจจะไม่รู้สึกขำด้วย ซึ่งส่งผลให้คุณค่าของนิยายนั้นผิดเพี้ยนไป ไม่ต่างจากเอาพริกน้ำปลาไปเหยาะใส่อาหารฝรั่งเศส การใส่มุกตลก ต้องใส่ให้ถูกจังหวะ ใช่ว่านึกจะใส่ก็ใส่ ทำนองว่าเน้นตลกบริโภคเข้าว่า ถ้าน้องตั้งใจเขียนนิยายตลกอย่างที่ว่า มันก็โอเคนะ แต่สำหรับเรื่องที่ไม่ได้เน้นขายตลก ก็ควรจะควบคุมพล็อตไม่ให้มีแต่มุกตลกมากจนเกินไป แม้ว่าเราจะมีมุกเก็บไว้เป็นกระบุงก็ตาม (กั๊กไว้ใช้ตอนอื่นหรือเรื่องอื่นบ้างก็ดีนะ) |
แสดงความคิดเห็น
ถูกเลือกโดยทีมงาน
ยอดถูกใจสูงสุด
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการที่จะลบความเห็นนี้ใช่หรือไม่ ?
43 ความคิดเห็น
เห็นด้วยมากๆเลยค่ะ ! ขอบคุณมากๆที่แนะนำค่ะ ^ ^
มุขนี้ไม่มีวันแป๊ก(ฮา)
บางทีก็ต้องหาประสบการณ์
เฟซบุ๊คช่วยได้เยอะเถอะนะจุดนี้
เขียนใกล้เคียงกันแต่ต่างกันมากมาย (กาก กับ ก๊าก T_T)
ขอบคุณที่แนะนำนะคะ ส่วนมากเราว่ามุกมันจะมาตามอารมณ์นะ
ถ้าเขียนตอนอารมณ์มันไป จะเขียนได้ไม่หยุดเลย มุกตามมาเพียบ!!
ตลกมุก หอยมุก
ฮามากตรงนี้ ฮ่าๆๆๆ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ ^ ^
ดังนั้นเรื่องมุก เรื่องฮา ไม่มีปัญหา แต่ด้วยที่ว่าตลกเกินไปนั่นเอง เขียนฉากซึ้งไม่รอดซักฉาก
ปัญหาใหม่ เขียนฉากซึ้งยังไง ให้ร้องไห้ได้ 7 วันไม่เลิก ..
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 18 กรกฎาคม 2554 / 20:15
เอ๊ะ!! หรือเพื่อนของผมมันตลก... ไม่สิ แต่เพื่อนของผมมันคิ้วชนกันตลอดเวลานี้นา
แถมเรื่องที่คุยกันก็ไม่ตลกด้วย ออกจะซีเรียส!!
เอ๊!! คุยเรื่องอะำไรกันนะหรอ... ก็เรื่องมนุษย์ต่างดาวบุกโลกนะสิ(เห็นมะออกจะซีเรียส)