6 ก้าวสู่การเป็นนักเขียนหน้าใส ตอนที่ 6 ส่งต้นฉบับ

การเตรียมต้นฉบับเพื่อส่งสำนักพิมพ์

ในที่สุดโครงการนักเขียนหน้าใสปีที่ 6 ของสำนักพิมพ์แจ่มใสร่วมกับเว็บไซต์ Dek-D.com ก็มาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว น้องๆ 5 คนที่เข้ารอบมาได้จนถึงตอนนี้ จะมี 3 คนที่ได้เป็นนักเขียนหน้าใสคนใหม่ และกลายเป็นแรงบันดาลใจใหม่ให้กับน้องๆ รุ่นต่อไป แต่ว่าคนที่ไม่ผ่านเข้ารอบ ก็อย่าเพิ่งเสียใจไป

การที่งานของเราไม่ได้รับเลือกไม่ได้หมายความว่างานของเราไม่ดีนะคะ แต่มันอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น เรื่องย่อยังไม่โดน สำนวนภาษาอาจยังสู้คนที่เข้ารอบไม่ได้ แนวนิยายที่เขียนมาอาจไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของสำนักพิมพ์ ฯลฯ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ก็อย่าตัดใจท้อถอย ให้เขียนผลงานต่อจนจบเพื่อส่งสำนักพิมพ์ที่เราหมายปองโดยตรง

สำหรับสัปดาห์สุดท้ายนี้ เราก็มีบทความแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมต้นฉบับเพื่อส่งสำนักพิมพ์โดยพี่น้อง และคำแนะนำจากพี่เอม บรรณาธิการของสำนักพิมพ์แจ่มใสว่าจะทำอย่างไร ต้นฉบับถึงจะได้ตีพิมพ์ค่ะ


ต้นฉบับต้องอยู่ในรูปไฟล์ .doc (บางสำนักพิมพ์อาจรับ .pdf แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องส่งไฟล์ .doc ให้สำนักพิมพ์ไปใช้ในการจัดหน้าอยู่ดีค่ะ)

บางคนเซพงานเป็นไฟล์ .docx เพราะใช้ Word 2007 แต่บางครั้งคอมพิวเตอร์ของบก. อาจจะยังเป็น Word 2003 อยู่ และอาจทำให้บก. หงุดหงิดกับการต้องหาวิธีแปลงไฟล์ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้บก. หน่อย เซพเป็นไฟล์ .doc ปลอดภัยสุดค่ะ

ตัวอักษรควรเป็น cordia new 14-16 pt ขอบหน้ากระดาษใช้การตั้งค่ามาตรฐานที่ตัวโปรแกรมจัดมาให้ คือ 2.54 ซม. หรือ 1 นิ้ว ระยะห่างระหว่างบรรทัดให้ตั้งค่าเป็น single space เพื่อไม่ให้ระยะห่างระหว่างบรรทัดมากเกินไป

ปกติแล้วบก. จะไม่ถึงขนาดมานั่งวัดว่าตั้งค่าหน้ากระดาษมาถูกต้องหรือเปล่า แต่การจัดหน้ากระดาษที่เรียบร้อยสะอาดตา ไม่ใช้ตัวอักษรใหญ่เกินไป หรือเว้นระยะห่างระหว่างบรรทัดมากเกินไป ก็ช่วยเพิ่มคะแนนความโสภาได้เหมือนกันนะ

ความยาวต้นฉบับแต่ละสำนักพิมพ์จะไม่เท่ากัน มาตรฐานจะอยู่ที่ 100-120 หน้า บางสำนักพิมพ์อาจกำหนดไว้ที่ 120-150 หน้า

เมื่อเราแต่งนิยายจบแล้ว เราส่งต้นฉบับได้ 2 ทางคือ ทางอีเมล์ (นิยมสุด) และทางไปรษณีย์

ถ้าส่งทางอีเมล์ สิ่งที่เราต้องส่งมี

ต้นฉบับ (ที่จัดหน้าเรียบร้อย ตรวจทานเรียบร้อย เขียนจบเรียบร้อย)

ประวัติส่วนตัว (ชื่อ-นามสกุล นามปากกา อายุ วันเกิด ผลงาน ความชอบ อยากแนะนำตัวอะไรใส่ลงไปเลย)

เรื่องย่อของนิยายที่เราส่ง (อันนี้สำคัญมาก เพราะบก. ไม่มีเวลามานั่งอ่านงานที่ส่งเข้าไปตั้งแต่ต้นจนจบ เขาจะคัดจากเรื่องย่อก่อนว่าวางพล็อตได้โดนใจไหม ขายได้หรือเปล่า ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของสำนักพิมพ์หรือเปล่า ถ้าน่าสนใจ สำนวนในการเล่าเรื่องดี ไม่มีสะกดผิดๆ ถูก บก. ก็จะเริ่มอ่านต้นฉบับของเราเพื่อดูว่าแต่งจริง เราทำได้ดีแค่ไหน)

ถ้าส่งทางไปรษณีย์ สิ่งที่เราต้องส่งก็จะมีเหมือนกับส่งอีเมล์ แต่เราต้องปริ๊นท์ออกมาเป็นกระดาษ และ write ไฟล์ทั้งหมดใส่ซีดีส่งไปให้เขาด้วย

การส่งต้นฉบับด้วยตัวเองนั้นไม่แนะนำ เนื่องจากไม่ต่างอะไรกับการส่งทางไปรษณีย์ และบก. ก็อาจไม่มีเวลามาพบกับเรา สุดท้ายก็ได้แค่ไปยื่นต้นฉบับ ยืนชมออฟฟิศสำนักพิมพ์สุดที่รักแล้วก็นั่งรถกลับ ไม่คุ้มค่ารถจริงๆ

ปกติแล้วสำนักพิมพ์ดังๆ ที่มีคนส่งงานเยอะๆ จะใช้เวลาพิจารณางานประมาณ 2-3 เดือน หากว่างานเราดีจริง ลงในเว็บมีคนอ่านเยอะ เป็นการการันตียอดขาย เขาก็จะรีบตอบกลับเพื่อชิงตัวเราไว้อยู่แล้ว แต่ถ้าสำนักพิมพ์เล็กหน่อยอาจใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน

บางสำนักพิมพ์อาจตอบกลับพร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับงานที่เราเขียน แต่อย่าคาดหวังว่าเขาจะต้องตอบกลับตลอด เพราะบางครั้งงานของเราอาจตกหล่น บรรณาธิการอาจไม่ว่างมาเขียนคำวิจารณ์ให้ทุกงาน เตรียมใจไว้เลยว่าเราอาจส่งงานไปแล้วก็หายวับ ไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา

ถ้างานเราไม่ได้รับเลือก หรือครบกำหนดแล้วสำนักพิมพ์ยังไม่ติดต่อกลับ ให้ส่งอีเมล์ไปสอบถามอีกครั้ง หรือถ้าตัดใจแล้วจะเปลี่ยนสำนักพิมพ์ ก็ส่งอีเมล์ไปแจ้งว่าขอถอนต้นฉบับคืน แล้วเตรียมส่งที่ใหม่ เพื่อรออีก 3 เดือนต่อเลย

แต่ก่อนนั้นเป็นธรรมเนียมที่นักเขียนจะต้องส่งผลงานให้สำนักพิมพ์เพียงครั้งละ 1 ที่เท่านั้น นั่นคือส่งแบบหว่านแหไม่ได้ แต่พี่คิดว่าทำแบบนี้เราเสียเปรียบสำนักพิมพ์ เพราะสำนักพิมพ์หลายแห่งอาจไม่มีเวลามาตรวจต้นฉบับได้หมด แถมต้องรอตั้ง 3 เดือน ทำให้เราเสียเวลาและเสียโอกาส ดังนั้นตอนส่งต้นฉบับให้เราชี้แจงกับสำนักพิมพ์เลยว่าจะส่งต้นฉบับให้ที่อื่นพิจารณาด้วย เพื่อบอกเขาล่วงหน้าก่อนว่าเราก็มีตัวเลือกนะ ถ้าเขาไม่สะดวกใจ ไม่เห็นด้วย ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วว่าจะยอมรอ 3 เดือนกับสำนักพิมพ์เดียว หรือยอมถอนตัวจากสำนักพิมพ์นี้แล้วไปหาที่ใหม่ที่ผ่อนปรนกว่า

นิยายมีหลายภาค ต้องแต่งให้จบทุกภาคแล้วส่งสำนักพิมพ์ไหม?

เราจะเห็นว่านิยายแฟนตาซีที่ลงในเว็บไซต์ Dek-D.com มีหลายภาค หลายเล่มจบ และผู้เขียนเองก็ไม่ได้แต่งจนจบครบ 12 เล่ม 18 ภาคแล้วถึงส่งสำนักพิมพ์ แต่เพราะงานของเขาดัง มีคนอ่านเยอะ สำนักพิมพ์เลยมาจีบตั้งแต่ยังเขียนไม่จบภาคแรก ถ้าเรามั่นใจว่างานเราดีจริง มีคนอ่าน ก็ไม่จำเป็นต้องเขียนจนจบ เสนอสำนักพิมพ์ได้เลย

 

แต่ถ้าเราเป็นนักเขียนโนเนม ไม่ค่อยมีคนอ่านผลงาน แล้วคิดอยากแต่งนิยายหลายภาคจบ ต้องทำใจยอมรับนิดหนึ่งว่าสำนักพิมพ์คงไม่กล้าเสี่ยงลงทุนกับงานของเรา อาจจะต้องเปลี่ยนไปเขียนงานแบบเล่มเดียวจบ หรือ 3 เล่มจบ แล้วต้องเขียนให้จบทุกภาคด้วย เพื่อให้สำนักพิมพ์พิจารณางานเขียนของเรารวมๆ ได้

ค่าลิขสิทธิ์แบบไหนถึงจะดี สำนักพิมพ์ให้เท่านี้ดีหรือเปล่า?

เรื่องค่าลิขสิทธิ์จะแบ่งเป็น 2 แบบคือแบบให้เป็นเปอร์เซ็นต์ ตามยอดพิมพ์ หรือยอดขาย กับแบบเหมาจ่าย ตามแต่ว่าสำนักพิมพ์จะตกลงกับผู้เขียน มักจะเป็นนักเขียนหน้าใหม่ที่เจอให้ค่าลิขสิทธิ์แบบเหมาจ่าย เพราะงานไม่รู้จะขายได้หรือเปล่า สำนักพิมพ์ก็ไม่อยากเสี่ยงเสียเงินเยอะ แต่เราเองก็อย่าดูถูกงานของเราเกินไปนัก

 

แนะนำให้อ่านสัญญาดีๆ ถ้าเราคิดว่าเรารับได้ มองว่าเป็นโอกาสเปิดตัว วันข้างหน้าเราอาจต่อรองเพิ่มราคา ก็โอเค แต่สิ่งที่พี่ไม่แนะนำเด็ดขาดคือสัญญาแบบ “ซื้อขาด” เพราะนั่นหมายความว่าสำนักพิมพ์จะเป็นเจ้าของผลงานเราทันที และเขาอยากจะปู้ยี่ปู้ยำ พิมพ์ซ้ำ ดัดแปลงผลงานเรายังไงก็ได้ แนะนำให้อ่านสัญญาให้ครบถ้วน ระวังเรื่องการซื้อขาดและการนำผลงานไปดัดแปลงโดยที่เราไม่ได้ประโยชน์อะไร

 

อีกอย่างที่ต้องเช็คให้รอบคอบคือวันจ่ายค่าต้นฉบับ ถามให้แน่ใจ อ่านในสัญญาให้ดีว่าจ่ายวันไหนกันแน่ บางที่จ่ายหลังวางแผง 45 วัน บางที่ต้องรอร้านหนังสือตัดยอด 3 เดือนถึงจะจ่ายให้ได้ บางที่อาจจ่ายให้ทันทีที่เข้าโรงพิมพ์ หรืออาจแบ่งจ่ายเป็นงวด เช็คให้ดี!

สำนักพิมพ์เล็ก หรือสำนักพิมพ์ใหญ่ แบบไหนดีกว่ากัน

อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวด้วย เวลาเราเลือกสำนักพิมพ์ เราดูความประณีตในการทำงาน เช็คว่าสำนักพิมพ์นี้ตรวจงานละเอียดไหม พิสูจน์อักษรดีหรือเปล่า ปกสวยไหม ถูกใจเราหรือเปล่า เพราะชื่อเสียงของสำนักพิมพ์มีผลกับงานของเราเหมือนกัน เวลามีคนว่า เขาก็ว่างานเราด้วย
 

สำนักพิมพ์ใหญ่ก็มีข้อดีตรงที่ฐานนักอ่านเขาเยอะ เวลามีหนังสือออกใหม่มันก็ผ่านตาคนอ่านเยอะไปด้วย และมั่นใจว่าได้ค่าต้นฉบับชัวร์ ไม่โกงแน่ๆ บางครั้งอาจได้ไปเดินสายออกงานนั่นนี่ เพราะเขาจะจัดงานโปรโมทใหญ่ๆ ได้ แต่ข้อเสียคือเป้าในการผลิตของสำนักพิมพ์ใหญ่สูง แต่ละปีมีหนังสือออกมาหลายสิบเล่ม บางครั้งงานออกมาไม่ดี เพราะเร่งผลิต บางครั้งเราต้องแชร์ส่วนแบ่งการตลาดกับนักเขียนคนอื่นๆ ที่ออกมาพร้อมๆ กันด้วย

 

ในขณะที่สำนักพิมพ์เล็ก ข้อดีคืออัตราการผลิตแต่ละปีไม่สูง มีเวลาพิถีพิถันกับแต่ละงาน และต้องโปรโมทแต่ละเล่มให้ได้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ขาดทุน แต่ข้อเสียก็คือฐานนักอ่านไม่เยอะ ต้องใช้เวลากว่าเราจะเป็นที่รู้จัก อาจไม่ค่อยได้โปรโมทในงานใหญ่ๆ ในงานหนังสืออาจจะไม่มีขึ้นป้ายหราประชาสัมพันธ์ เผลอๆ ไม่มีบูธของตัวเอง ต้องฝากขาย และที่สำคัญบางครั้งสำนักพิมพ์เปิดใหม่อาจมีปัญหาทางการเงิน ถ้าคุยกันรู้เรื่องก็ดีไป แต่ถ้าปิดสำนักพิมพ์หนีเมื่อไรก็ตัวใครตัวมัน

 

ดังนั้นจะเลือกสำนักพิมพ์แบบไหนก็ขึ้นอยู่กับความชอบของเราและความสามารถของเราด้วยว่าเลือกได้หรือเปล่า ถ้าหากว่างานของเรามันไม่ mass จริงๆ หาสำนักพิมพ์ลงไม่ได้ ก็พิมพ์ขายเองเลย เพราะยังไงช่องทาง social network เดี๋ยวนี้กำลังมาแรง โรงพิมพ์เล็กๆ ที่รับ print on demand ก็ถูกลงแล้วด้วย

มาดูคำแนะนำจากพี่เอม บรรณาธิการสำนักพิมพ์แจ่มใส ผู้เป็นส่วนหนึ่งในการคัดเลือกผลงานของน้องๆ ที่ส่งเข้ามาวันละหลายร้อยเรื่อง ว่ามีคำแนะนำอะไรบ้างสำหรับน้องๆ ที่อยากเป็นนักเขียน และกำลังเตรียมส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์อยู่

 

สำหรับสำนักพิมพ์แจ่มใส เกณฑ์หลักๆ ในการพิจารณาต้นฉบับแต่ละเรื่องนั้นจะดูที่พล็อตแปลกใหม่และมีความคิดสร้างสรรค์ค่ะ และส่วนที่สำคัญรองลงมาจะเป็นเรื่องของภาษาที่ใช้ในการบรรยายว่าเขียนได้เป็นธรรมชาติมากน้อยแค่ไหน สามารถสื่อสารและถ่ายทอดอารมณ์หรือความรู้สึกของตัวละครออกมาถึงคนอ่านได้ดีพอมั้ย ซึ่งตรงจุดนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญกับนิยายมากๆ นะคะ เพราะการที่เราจะทำให้คนอ่านรู้สึกสนุก อินไปกับเรื่องถึงกับทำให้คนอ่านหัวเราะออกมาได้ หรือน้ำตาซึมไปตอนที่อ่านเรื่องของเราได้เนี่ยเป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยาก และเป็นปัญหาที่พบเยอะมากในนักเขียนมือใหม่ค่ะ

 

แนะนำว่าในส่วนนี้สามารถฝึกฝนได้ด้วยการอ่านเยอะๆ และเขียนให้เยอะกว่าค่ะ เราอ่านเพื่อเก็บเกี่ยวความรู้รวมไปถึงประสบการณ์จากนักเขียนรุ่นพี่ และเขียนให้เยอะเพื่อฝึกฝนทักษะ พัฒนาฝีมือของตนเอง หากส่งมาแล้วเรื่องที่หนึ่งยังไม่ผ่าน เรื่องที่สองก็ยังไม่ผ่าน ก็ห้ามหยุดเขียนเรื่องที่สาม สี่ ห้า หก เด็ดขาดเลยนะคะ เพราะเมื่อไหร่ที่เราหยุด เท่ากับเราได้เสียเวลาและโอกาสที่จะได้พัฒนาตนเองไปแล้วค่ะ ^^

เป็นยังไงกันบ้างคะ คนที่ไม่ผ่านเข้ารอบนักเขียนหน้าใสเริ่มมีกำลังใจ อยากจะกลับไปเขียนงานใหม่ให้จบเร็วๆ จะได้ส่งสำนักพิมพ์โดยตรงเลยใช่ไหมคะ แต่ก่อนจะไปก็อย่าลืมเข้าไปช่วยโหวต และให้กำลังใจเพื่อนๆ ที่กำลังแข่งขันกันอยู่ในโค้งสุดท้าย มาช่วยกันลุ้นว่าใครจะได้เป็นนักเขียนหน้าใสคนใหม่ของสำนักพิมพ์แจ่มใสกันนะคะ

 
 
นักเขียนหน้าใส
นักเขียนหน้าใส - Columnist นักเขียนหน้าใส

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
hameii Member 14 ต.ค. 56 15:25 น. 4

เยี่ยมเเน่นมากค่ะ มีประโยชน์จริงๆ

โดยเฉพาะเรื่องการเลือก สนพ เนี่ยข้อมูลหายากมาก

ขอบคุณมากค่ะ

สู้ตายยยยย เย้

0
กำลังโหลด

22 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
hameii Member 14 ต.ค. 56 15:25 น. 4

เยี่ยมเเน่นมากค่ะ มีประโยชน์จริงๆ

โดยเฉพาะเรื่องการเลือก สนพ เนี่ยข้อมูลหายากมาก

ขอบคุณมากค่ะ

สู้ตายยยยย เย้

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Hippie'' Member 17 ต.ค. 56 14:13 น. 11

เป๊ะมากกก ตอนเราส่งต้นฉบับ สนพ.แจ่มใส ไม่ผ่าน ก็โดนแนะนำเรื่องการเขียนบรรยาย การสื่ออารมณ์ด้วย

แต่ไม่ท้อนะ จะรอส่งเรื่องต่อไป โกรธ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากเว็บไซต์ Dek-D.com ขอสงวนสิทธิ์ในการงด โพสต์ข้อความซื้อ/ขาย/แลกเปลี่ยน/โฆษณา สินค้าทุกชนิดในเว็บบอร์ด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ใช้งานท่านอื่น

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากเว็บไซต์ Dek-D.com ขอสงวนสิทธิ์ในการงด โพสต์ข้อความซื้อ/ขาย/แลกเปลี่ยน/โฆษณา สินค้าทุกชนิดในเว็บบอร์ด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ใช้งานท่านอื่น

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากเว็บไซต์ Dek-D.com ขอสงวนสิทธิ์ในการงด โพสต์ข้อความซื้อ/ขาย/แลกเปลี่ยน/โฆษณา สินค้าทุกชนิดในเว็บบอร์ด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ใช้งานท่านอื่น

กำลังโหลด
นักเขียนไร้นาม 20 ต.ค. 56 22:29 น. 17
หนูพึ่งรู้นะเนี้ย O.O ว่าการ 'ซื้อขาด' ต้นฉบับ สามารถทำให้สำนักพิมพ์ดัดแปลงเปลี่ยนรูปโฉมนู้นนี่นั่นกับนิยายของเราได้! O_O น่ากลัวจริงๆ ค่ะ T_T หนูจะจำเอาไว้ ขอบคุณสำหรับความรู้เกร็ดเล็กๆ น้อยนะค่ะ :) หนูจะฝึกฝนตัวเองด้วยการอ่านเยอะๆ เเละเขียนเยอะๆ เหมือนที่พี่แอมบอก ^_^ เเละหนูก็จะพยายามต่อไป สักวันหนูจะเป็นนักเขียนในเเจ่มใสให้ได้เลย วู้ๆๆๆ :D
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด