สำหรับมือใหม่หลายๆ คน เมื่อเราเริ่มเขียนนิยาย เรามักจะมีปัญหาว่าทำไมถึงไม่มีคนอ่าน หรืออ่านแค่ตอนแรกๆ ตอนหลังๆ ก็หายกันไป นั่นก็เพราะเราไม่มีอะไรมา "ดึงดูดใจ" คนอ่านนั่นเอง
มาย้อนดูตัวเอง ตอนที่เราอ่านนิยาย มีเรื่องไหนบ้างที่เรารู้สึกว่าอ่านแล้วติด อ่านแล้วไม่อยากวาง จะเดินเข้าห้องน้ำก็ต้องถือนิยายติดไปด้วย สงสัยไหมว่านักเขียนเขาทำได้ยังไง วันนี้พี่น้องมีคำตอบให้ค่ะ
Conflict คืออะไร?
Climax คือ "ฉากพีคสุดของเรื่อง" ก่อนถึงตอนจบ แต่ Conflict คือ เหตุที่ทำให้เรื่องทั้งหมด เป็นตัว "ขับเคลื่อนเรื่อง" เหมือนล้อรถ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีหรอก ทำไมมันถึงต้องไม่ใช่เรื่องดี ลองนึกภาพนะ
ใช่ค่ะ ในเมื่อมันไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีปมปัญหา มีแค่จอนและหิมะของเขา แล้วเราจะอ่านเรื่องนี้ต่อไปเพื่ออะไร ใครจะอยากรู้ว่าจอนเล่นกับหิมะอย่างไรบ้าง (อาจจะยกเว้นหนังสือสำหรับเด็กฝึกอ่านที่จะไม่ค่อยมีเนื้อหาซับซ้อน เน้นการอ่านจับใจความและฝึกออกเสียงสะกดคำอย่างเดียว)
ถ้าเราอยากให้เรื่องมันน่าสนใจมากขึ้น ให้คนอยากติดตามอ่าน เราก็ต้องใส่ Conflict ลงไป เรื่องก็จะเปลี่ยนเป็น
สร้าง Conflict ได้อย่างไรบ้าง?
สำหรับมือใหม่หัดสร้างความขัดแย้ง (เอ๊ะ?) ควรสร้าง External Conflict ก่อน เพราะสร้างง่ายสุด
External Conflict (ปมขัดแย้งภายนอก)
"ฝั่งตรงข้าม" ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวร้ายหรือศัตรูเพียงอย่างเดียว ยังหมายถึง "คนในครอบครัว" "เพื่อน" "คนรัก" "เจ้าหน้าที่" "ผู้มีอิทธิพล" หรือแม้แต่ "ธรรมชาติ" "จักรกล" "พลังงานบางอย่าง" อะไรก็แล้วแต่ที่อยู่รอบตัวเอกแล้วคอยสะกัดขาตัวเอกไม่ให้วิ่งไปถึงจุดหมายได้ นั่นแหละคือ "ปมขัดแย้งภายนอก"
มาดูตัวอย่างปมขัดแย้งภายนอกหลายๆ แบบกัน
- มนุษย์ VS มนุษย์: ในเมืองของจอนมีโจรพันหน้าแฝงตัวอยู่ และคอยปล้นคนที่ออกมานอกบ้านตอนกลางคืน จอนต้องจับกุมโจรพันหน้าคนนี้ให้ได้!
- มนุษย์ VS ธรรมชาติ: จอนออกเดินทางตามหาขุมทรัพย์ที่เกาะโจรสลัด แต่สิ่งที่เขากลัวไม่ใช่มนุษย์ด้วยกัน กลับเป็นพายุขนาดยักษ์ที่กำลังจะเข้ากลืนกินเรือของเขา
- มนุษย์ VS สังคม: เมืองที่จอนอยู่นั้นแบ่งออกเป็นสองสี สีขาวคือกลุ่มคนที่เชื่อมั่นในหลักการและเหตุผล ส่วนสีน้ำเงินคือกลุ่มคนที่เชื่อมั่นในอารมณ์และความรู้สึก เมื่ออายุครบ 10 ปี จะได้เลือกว่าอยู่สีไหน จอนไม่สามารถเลือกได้ เขาต้องใช้ชีวิตในสังคมอย่างคน "ไม่มีสี"
ปมขัดแย้งภายนอกมักเกี่ยวพันกับ "ตอนจบ" ของเรื่อง ถ้าแฮร์รี่มีความขัดแย้งกับลอร์ดโวลเดอร์มอร์ท เมื่อความขัดแย้งนั้นสิ้นสุดลง หรือฝ่ายใดล้มหายไปจากสารบบ เรื่องก็จะจบทันที นั่นหมายความว่า ปมขัดแย้งภายนอกยังไงก็ต้องเคลียร์ ไม่มีการมาทิ้งปัญหาคาราคาซังเอาไว้ จะมาบอกว่าโวลเดอร์มอร์ทไม่ตาย และทุกคนยังคงอยู่อย่างหวาดระแวงต่อไปไม่ได้
Internal Conflict (ปมขัดแย้งภายใน)
ปมขัดแย้งภายในเกิดจากอะไรได้บ้าง
- ความกลัว: พล็อตที่ง่ายที่สุดคือ เขียนให้ตัวเอกกลัวอะไรสักอย่าง แล้วสร้างสถานการณ์ให้ตัวเอกต้องเผชิญหน้ากับความกลัวนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- ความเชื่อ: ให้ตัวเอกยึดมั่นในอะไรสักอย่าง แล้วใส่ฉากที่เฉลยว่าสิ่งที่เชื่อมาทั้งหมดมันไม่ใช่ ทุกอย่างที่เคยคิดว่าดีกลับเลว ทุกอย่างที่เคยคิดว่ามีอยู่จริงกลับไม่มี ลองดูซิว่าจะทำยังไงต่อไป
- ทางเลือก: สร้างสถานการณ์ที่ทำให้ตัวเอกต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง โดยที่ไม่มีทางฟันธงได้ว่าทางไหนถูก และถ้าเลือกผิด อาจพบกับผลลัพธ์ที่น่ากลัวก็ได้
ปมหลัก ปมรอง
น้องๆ อาจสงสัยว่า "พี่น้องคะ จำเป็นต้องมีปมขัดแย้งหลายๆ ปมไหม?"
สำหรับเรื่องยาวจำเป็นต้องมีหลายปมมาก เพราะกว่าเรื่องจะจบ กว่าจะคลายปมหลัก คนอ่านก็คงเบื่อก่อน ถ้าเราหยอดปมไว้ตรงนี้นิดหนึ่ง ตรงนั้นหน่อยหนึ่ง มันก็จะมีอะไรระหว่างทางให้คนอ่านลุ้นบ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องสั้น จะมีปมเดียวก็ไม่เป็นปัญหาสักเท่าไร และน่าจะช่วยให้เรื่องกระชับขึ้นมากกว่ามีหลายปมด้วย
กิจกรรม "สร้างความขัดแย้ง"
เขียนมาเป็นเหมือน "เรื่องย่อ" ไม่จำเป็นต้องใส่บทพูด บทบรรยาย เหมือนเล่าพล็อตคร่าวๆ ให้เพื่อนฟัง ภาษาไม่ต้องสละสลวยจ้ะ
พล็อตที่โดนใจพี่น้องที่สุด 8 พล็อต เอาของรางวัลไปเลย
หนังสือแนวระทึกขวัญ (อุ่ย) ของสำนักพิมพ์ Sofa Publishing ชุด Bad Fortune ทั้งหมด 8 รางวัล (เรื่องละ 2 เล่ม เอาไปอ่านกันคนละเรื่อง)
โจทย์
ตัวอย่าง
แต่แล้ววันหนึ่งเด็กที่ซื้อไอติมจากเขาก็ถูกรถชนเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา หลังจากนั้นชีวิตของป้อมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขามาขายไอติมทุกวัน เจอเรื่องแปลกๆ เสมอ เช่น ไอติมในถังมีคราบเลือดติดอยู่ บางครั้งก็ตาฝาด เห็นภาพหลอนเป็นหัวเด็กชายอยู่ในถัง บางทีก็เห็นเด็กชายในชุดเปื้อนเลือดยืนอยู่อีกฝั่งของถนน หรือแม้แต่มีคนบอกเขาว่าเห็นเด็กนั่งอยู่บนรถไอติมระหว่างที่เขาเข็นกลับ
ความตายของคนๆ หนึ่งจะเปลี่ยนชีวิตที่เรียบง่ายของหนุ่มขายไอติมไปตลอดกาล
มาฝึกสร้างความขัดแย้งกัน!
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.how-to-write-a-book-now.com/external-conflict.html
http://blog.nanowrimo.org/post/61764290942/nano-prep-creating-external-and-internal-conflict
51 ความคิดเห็น
ป้อมเป็นหนุ่มขายไอติมที่หน้าจืด และไร้ความรู้สึก ทุกๆวันตอนเช้าเขาจะเข็นรถไอติมไปที่หน้าโรงเรียน เพื่อรอให้เด็กมาซื้อแล้วรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อแม่ของป้อมที่เป็นอัมพาตอยู่เกิดทรุดตัวลงอย่างหนัก พอป้อมกลับถึงบ้าน ก็เห็นแม่ของตัวเองนอนชักอยู่บนพื้น ป้อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะพาแม่ไปส่งโรงบาล
“คุณหมอครับ คุณต้องช่วยแม่ของผมให้ได้นะครับ คุณหมอ...” ป้อมพูดไปร้องไห้ไปในขณะที่วิ่งตามเตียงนอนที่คุณหมอเข็นไปเข้าห้องicu
“ไม่ต้องห่วงนะครับ ทางเราจะช่วยคุณสุดความสามารถ คุณนั่งรออยู่ข้างนอกก่อนนะ”
“คุณแม่ครับ”
ป้อมได้แต่ร้องไห้และภาวนาให้คุณแม่ปลอดภัย พอหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเศษๆ คุณหมอก็เปิดห้องicuออกมาพร้อมพูดกับป้อมที่นั่งรออยู่ข้างนอกว่า
“ทางเรามีโอกาสที่จะช่วยคุณแม่ของคุณได้ แต่ว่า...” ป้อมเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินคุณหมอพูด เขารีบเข้าไปประชิดตัวคุณหมอแล้วจับปกคอเสื้อกาวน์สีขาวไว้แนบแน่น
“อะไรหรอครับ... ผมยอมทำทุกอย่าง จะอะไรก็ได้ คุณหมอรีบบอกผมมาเถอะ” ป้อมบีบปกคอเสื้อกาวน์ของคุณหมอแน่นขึ้นไปอีกหลังจากพูดจบ
“คือทางเราต้องรีบผ่าตัดคุณแม่ของคุณโดยด่วน แล้วจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากด้วย”
“เท่าไหร่หรอครับ?”
“...”
หลังจากที่ป้อมฟังจำนวนเงินที่คุณหมอพูดออกมา ป้อมก็เดินออกจากโรงบาลไปอย่างสลดใจ เขาเดินไปพลางครุ่นคิดอยู่ในใจว่าเราจะหาเงินจำนวนที่มากมายขนาดนี้ได้จากไหน ถึงต่อให้เราขายไอติมรถเข็นทั้งชีวิต ก็ยังได้มาไม่ถึงครึ่งหนึ่งเลย ป้อมเดินบนริมถนนไปอย่างอนาถใจ เขาไม่มีทั้งความรู้และความสามารถอย่างอื่นเลย จะมีก็แต่ร่างกายกำยำเท่านั้น ทันใดนั้นเอง เขาเดินเหยียบป้ายใบปลิวที่พัดตามแรงลมขึ้นมาจากทางทิศเหนือ ด้วยความเป็นคนดีของเขา ป้อมมักจะเก็บขยะข้างทางทิ้งลงถังอยู่เป็นประจำ เขาเลยหยิบกระดาษใบปลิวนี้ขึ้นมา เพื่อหวังจะทิ้งลงถังขยะเหมือนเคย แต่แล้วชีวิตของป้อมก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อเขาเห็นใบปลิวที่หยิบขึ้นมาเขียนไว้ว่า...
ป้อมเป็นคนขายไอติม หน้าตาจืดชืด เขาดูธรรมดามากถึงมากที่สุด ทั้งการแต่งตัว การพูดการจาของเขา แทบจะไม่แตกต่างไปจากคนขายไอติมทั่วๆไป เขามาขายไอติมที่หน้าโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้ ทุกๆวันที่มีการเรียนการสอน มีเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เขาดูไม่เหมือนคนทั่วๆไป ป้อมไม่เคยยิ้ม ไม่เคยหัวเราะ ต่อให้ลูกค้านักเรียนที่มาซื้อไอติมชวนคุยในเรื่องที่ตลกมากแค่ไหนก็ตาม นักเรียนหลายคนลงความเห็นว่า เขาออกจะแปลก และเกิดความสงสัยว่า เหตุใดคนขายไอติมจึงไม่หัวเราะ เหตุใดเขาจึงไม่มีสีหน้า ไม่แสดงออกแบบคนทั่วไป
วันนี้ป้อมก็ยังคงมาขายไอติม เขามักมาเวลาเดิม และหยุดรถตรงที่เดิม เพื่อจอดขายไอติมอย่างเดิม นักเรียนที่มาซื้อไอติมกับป้อมมักเป็นเด็กหน้าเดิมๆ ทั้งที่กระเซ้าเย้าแหย่ ทั้งที่รบเร้าให้เขาหัวเราะ หรือที่ทำเป็นไม่สนใจกับท่าทีนิ่งเฉยของป้อมก็ยังคงเป็นคนเดิมๆ ป้อมไม่เคยแสดงอาการหัวเสีย หรือเอ๊ะอะนักเรียนพาลเหล่านั้น ทุกคนรู้ว่า เขาจะทำตัวอย่างไร ทำหน้าอย่างไร เมื่อถูกนักเรียนพูดกระโชกโฮกฮากหรือข่มขู่เขา ป้อมก็ยังคงนิ่งราวกับใบหน้านั้นถูกปั้นมาอย่างดี
เมื่อถึงเวลาบ่ายสองครึ่งตรงเป๊ะ ป้อมจะเข็นรถไอติมกลับ เด็กนักเรียนทุกคนรู้ดีว่า จะไม่มีรถขายไอติมของป้อมอยู่ หลังจากเวลานี้ ดังนั้นจึงมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งหนีจากการเรียน เพื่อตามหาต้นเหตุที่ทำให้คนขายไอติมของพวกเขาไม่มีสีหน้า ในวันนี้ พวกเขาจะได้รู้แล้วว่า ทำไมคนขายไอติมจึงไม่ยิ้ม หัวเราะ หรือแสดงอาการโกรธออกมา
นักเรียนมัธยมปลายผู้ซุกซนและช่างสงสัยหกคนได้สะกดรอยตามคนขายไอติมของพวกเขามา จนกระทั่งมาถึงโรงงานไอติม พวกเด็กๆแปลกใจว่า ทำไมป้อมถึงไม่ไปขายไอติมที่อื่นต่ออีก แต่ก็แอบตามเข้าไปในโรงงานไอติมนั้น ภายในโรงงานกว้างใหญ่ แต่ไม่ค่อยสว่าง อีกทั้งป้อมคนขายไอติมก็หายตัวไปอย่างว่องไว พวกเด็กๆจึงแบ่งกันออกไปตามหาเป็นสองกลุ่ม ส้มเป็นหัวหน้านำทีมไปสำรวจทางฝั่งซ้าย และยอร์นนำทีมสำรวจฝั่งขวา พวกเขาต่างก็ประหลาดใจ เมื่อตัวแทนของอีกทีมส่งข้อความมาบอกว่า พบป้อมแล้วพร้อมๆกัน กลุ่มนักเรียนเกิดทะเลาะผิดใจกัน เพราะอีกฝ่ายต่างก็เชื่อว่า กำลังถูกหลอก ทุกคนจึงมารวมตัวกันอีก แต่ก็ตกลงเรื่องต่อไปไม่ได้ ทำให้ต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน
ก่อนจะกลับบ้านนั้น พวกเด็กๆได้เห็นป้อมกำลังพูดคุยหัวเราะอย่างเต็มที่กับชายอีกคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกัน ในตอนแรกพวกเขาต่างก็ตกใจ เพราะไม่สามารถแยกได้ว่า คนไหนคือป้อมที่ไปขายไอติมที่โรงเรียนของพวกเขากันแน่ ป้อมทางซ้ายกำลังทำท่าเล่าเรื่องอย่างออกรส ส่วนป้อมทางขวาก็ตั้งหน้าตั้งตาหัวเราะอย่างสุดกำลัง จนพวกเด็กๆรวบรวมความกล้าเข้าไปถามป้อมทั้งสอง ถึงได้เข้าใจว่า ป้อมทั้งสองคนก็คือ ป้อม คนขายไอติมที่เข็นไปขายหน้าโรงเรียนพวกเขา
"เพราะไม่อยากให้ป้อมอีกคนหนึ่งมีปัญหา ถึงได้ไม่แสดงออกอะไร"
นักเรียนช่างสงสัย จึงพากันถอนใจอย่างโล่งอก และรับปากว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร
ปล.แก้ไขจัดหน้ากระดาษใหม่
ป้อมเป็นหนุ่มขายไอติมหน้าจืด และไร้ความรู้สึกที่สุด ทุกวันเขามีหน้าที่ตักไอติมให้เด็กๆที่เข้ามาซื้อ เขาไม่เคยใส่ใจในไอติมที่ตัวเองขาย แต่ถ้ามีคนถามเขาว่าทำไมถึงเลือกที่จะประกอบอาชีพเกี่ยวกับไอติม ป้อมตอบไม่ได้ เขาเคยคิดว่าตัวเองชอบไอติม แต่เมื่อคิดอีกที มันก็เป็นเพียงเรื่องไร้สาระสำหรับเขา เขาทำงาน เขาก็ได้เงิน ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องรู้สึกรักเสียหน่อย มีเงินซื้อข้าวซื้อปลาก็เป็นพอ
วันหนึ่งพ่อของป้อมล้มป่วย ชายผู้ไม่มีความรู้สึกรีบมาหาพ่อที่โรงพยาบาลทันที เขาพบว่าค่ารักษาพยาบาลแพงกว่าที่คนขายไปติมอย่างเขาจะสู้ไหว เขาเริ่มท้อแท้ วันต่อมาเขามาขายไอติมเช่นเดิมด้วยความเศร้าหมอง เขารักพ่อ เรื่องนี้ป้อมรู้ตัวเองดี นี่คงจะเป็นความรู้สึกเดียวที่เขามีกระมัง
ทันใดนั้น นักธุรกิจเจ้าของร้านไอติมชื่อดังก็เข้ามาหาเขาแล้วชวนไปทำธุรกิจด้วยกัน นักธุรกิจต้องการคนที่รักไอติม จึงเลือกป้อมที่เป็นคนขายไอติมเป็นอันดับแรก ป้อมปฏิเสธทันที เขาบอกว่าไม่ได้ชอบไอติม นักธุรกิจบอกให้ลองคิดดูอีกครั้งเพราะค่าตอบแทนสูงมาก และจะมาใหม่เพื่อเอาคำตอบในวันถัดไป เมื่อกลับไปบ้าน ป้อมต้องคิดว่า แท้จริงแล้วเขาชอบไอติมจริงๆ หรือแค่อยากได้เงินมารักษาพ่อกันแน่ เขาตอบตัวเองว่าเพื่อรักษาพ่อเท่านั้น วันต่อมาป้อมจึงตอบตกลง
เมื่อได้มาทำงานที่บริษัทไอติม เขาได้พบกับเพื่อนมากมายที่นั่น ทุกคนชอบไอติม และยิ่งเมื่อเขาเจอกับ...ปุ้ย น้องสาวเจ้าของธุรกิจ ป้อมจะต้องแอบทำอย่างไรให้ดูกลมกลืนไปกับพวกเขา ทั้งๆที่ใจเขาเปิดรับไอติมมาตั้งนานแล้ว...
ปล.ไม่ได้เห็นความเห็นแรกก่อนนะคะ พึ่งมาอ่านตอนลงไปแล้ว
ป้อมเป็นหนุ่มขายไอติมหน้าจืดและไร้ความรู้สึก ทุกๆเช้าชายหนุ่มจะเข็นรถไอติมอย่างเอื่อยๆมาขายหน้าโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่ง เขามักสวมชุดพนักงานสีน้ำเงินเข้มที่ได้รับมาจากบริษัทไอติมมีชื่อ หน้าที่ของเขามีเพียงแค่การก้มตักไอติมใส่โคนและรับตังค์จากลูกค้า พอตกบ่ายก็เข็นรถกลับเส้นทางเดิมที่เขามาในตอนเช้า เด็กๆที่เข้ามาซื้อไอติมต่างเคยชินกับพฤติกรรมไร้สีสันของป้อม เพราะไม่ว่าจะเล่นมุกกวนๆหรือเล่าเรื่องตลกให้ฟังสีหน้าของหนุ่มขายไอติมคนนี้ก็ไม่เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ นั่นคือป้อมที่ทุกคนรู้จัก แต่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่เคยเข้ามาซื้อไอติมจากป้อมเลยกลับเห็นความแตกต่างที่ซ่อนอยู่ในดวงตาไร้แววคู่นั้นอย่างแนบเนียน
'ซัน' เด็กหนุ่มม.ปลายปีสองใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีกรมท่า และคาดเข็มขัดตามระเบียบของโรงเรียน เขากำลังเดินตามชายขายไอติมไปอย่างเงียบๆแสร้งเพียงบังเอิญใช้เส้นทางเดียวกันเท่านั้น ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันที่โรงเรียนเปิดให้เด็กมาตามงานก่อนจบการศึกษา ซันก็คงไม่มีโอกาสไขข้อข้องใจของตนอีก เขาเดินเลี้ยวตามชายขายไอติมตรงหัวมุมแรก คิดว่าชายที่เดินล้ำตนเองไปนั้นคงมุ่งไปยังโรงงานหรือบริษัทไอติมที่สังกัดอยู่ เด็กหนุ่มรักษาระยะห่างและเดินตามไปเรื่อยๆ พอถึงหัวมุมถัดมาเขาก็เลี้ยวตามชายคนนั้นไปอีก เนื่องจากโรงเรียนของซันเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่ตึกสำนักงานต่างๆ สิ่งที่คั่นระหว่างตึกพวกนั้นกับโรงเรียนจึงมีเพียงแค่ถนนสองเลนรอบๆเท่านั้น หมายความว่าชายขายไอติมกำลังเดินวนรอบโรงเรียนนั่นเอง ซันนึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ทำอะไร ยังคงเดินตามไปอย่างนั้นจนเกือบถึงประตูหลังโรงเรียน ทันใดนั้นก็มีแสงสีฟ้าวูบวาบตรงหน้าชายขายไอติมก่อนจะโอบร่างทั้งสองเพียงชั่วพริบตาเดียว
เด็กหนุ่มได้สติและตื่นขึ้นมา รู้สึกปวดตามร่างกายแต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับอาการปวดที่ศีรษะ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นมานวดบริเวนขมับแล้วมองไปรอบๆ สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย ที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของตึกสำนักงานกลับเป็นอาคารรูปร่างประหลาดน้อยใหญ่ ที่ที่เคยเป็นโรงเรียนก็กลับกลายเป็นรูปปั้นมนุษย์ขนาดมหึมาเสียดฟ้า ไม่มีวี่แววของสิ่งที่ธรรมชาติสรรค์สร้างและร้างผู้คน ซันยืนตะลึงอยู่บนถนนเส้นใหญ่ท่ามกลางตึกเหล่านั้น เด็กหนุ่มมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าสุดปลายถนนและพบว่าแสงสีฟ้าเมื่อครู่นั้นอาจมาจากสิ่งนี้ก็ได้ อาคารทรงแหลมสูงมีรูปทรงกลมขนาดใหญ่อยู่บนยอด แสงสีฟ้าวูบวาบของทรงกลมนั้นทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้ เพราะทั้งร่างกายนั้นถูกตรึงไว้ในทันที ก่อนที่ซันจะตั้งสติได้ก็ถูกพันธนาการด้วยเชือกจากด้านหลังและถูกยกขึ้นสูงด้วยพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นและไม่อาจสัมผัสได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีโอกาสให้กรีดร้องออกมา ชั่ววินาทีนั้นสติของเด็กหนุ่มก็ดับวูบไปอีกครั้ง
เสียงอึกทึกดังแทรกเสียงคลื่นวิทยุเป็นระยะ ซันลืมตาขึ้นมาด้วยความหวาดวิตก เกิดอะไรขึ้นกับเรา! เขาก้มมองตัวเองและพบว่าร่างกายยังคงถูกพันธนาการในท่านอนหงาย เครื่องมือที่คล้ายกิโยตินนั้นมีเลเซอร์สีฟ้าต่างใบมีดอยู่เหนือศีรษะ ส่งเสียงหึ่่งๆราวกับฝูงผึ้งยักษ์ เด็กหนุ่มเริ่มสติแตก เขาดิ้นรุนแรงหวังให้หลุดจากเครื่องมือพันธนาการ ทันใดนั้นเลเซอร์ต่างใบมีดก็ลดระดับรวดเร็วอย่างน่าใจหาย เขาหยุดดิ้น เหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าของเด็กหนุ่มขณะที่หายใจรุนแรง ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย! เด็กหนุ่มหอบหายใจ อึดใจต่อมาประตูห้องสีสว่างก็เปิดออก ชายขายไอติมในชุดสูทสีดำเดินมาข้างเตียงเด็กหนุ่ม ซันมองดวงตาไร้แววคู่นั้นที่จ้องลงมาที่เขา
"กรุณา ตั้งสติ..." ชายในสูทดำเอ่ยโดยไม่แสดงอารมณ์ "รักษา ชีพจร ให้คงที่... "
ซันอึ้งไปชั่วขณะ พูดอะไรน่ะ? มีเสียงเล็กๆดังมาจากตัวของชายในชุดสูททีนึง ซันมองหาต้นเสียง
"กำลังทำการ ย้ายจิต... " ว่าแล้วอดีตชายขายไอติมที่เขาเคยรู้จักก็ปลดบางอย่างที่หัวเตียงแล้วยกหัวเตียงขึ้น จากนั้นก็เข็นเด็กหนุ่มออกจากห้องไป
"จะทำอะไร ปล่อยนะ!" ซันตะคอกพลางดิ้นไปมาแต่ผู้อยู่เบื้องหลังก็ไม่ตอบสนอง เด็กหนุ่มถูกเข็นไปที่ห้องสีขาวอีกห้อง ภายในเต็มไปด้วยหุ่นยนต์ที่มีแขนหลายแขนเหมือนเครื่องจักรในโรงงาน ชายในชุดสูทเดินออกไป ทิ้งให้เขาอยู่กับเครื่องจักรเพียงลำพัง ทันทีที่ประตูปิดสนิท หุ่นยนต์ก็เริ่มทำงาน มันจัดแจงให้เตียงตั้งตรงก่อนจะเปิดสวิทซ์ข้างลำตัว เลเซอร์สีส้มปรากฏที่ด้านล่างของซันแล้วค่อยๆเคลื่อนขึ้นด้านบนอย่างช้าๆ ไม่! จะทำอะไรน่ะ! หยุดเดี่ยวนี้! หยุดเซ่!! ร่างกายของเขาชาสนิททันทีที่เลเซอร์เคลื่อนผ่าน ก่อนที่เลเซอร์จะเคลื่อนถึงปลายคางเขาก็เห็นข้อมูลปรากฏบนจอเบื้องหลังหลังเครื่องจักร นี่มันอะไรกัน!
เด็กหนุ่มมายืนอยู่หน้าโรงเรียน เช้าวันใหม่ที่ผู้คนเริ่มพลุกพล่าน เบื้องหน้าของซันคือชายขายไอติมคนเดิมที่เขาเคยเห็นอยู่ทุกวัน ต่างกันตรงที่ใบหน้านั้นกำลังยิ้มอย่างมีความสุข แววตาสดใสเป็นประกาย เด็กหนุ่มไม่ประหลาดใจ ไม่ตกใจ ไม่ตื่นเต้น ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ขณะที่แววตาว่างเปล่าของเขาจ้องมองไปยังชายขายไอติมที่ยกกระดาษแผ่นหนึ่งให้ดู เขาอยากกรีดร้องและวิ่งหนีไปให้ไกลๆจากชายเบื้องหน้า แต่ร่างกายนั้นชาและหนักอึ้ง
' โครงการแห่งอนาคต การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่! เคยรู้สึกเบื่อร่างกายของตัวเองไหม โครงการแห่งอนาคตสามารถย้ายจิตของท่านได้! เท่านี้ปัญหาหนักใจของท่านหญิงจะหายวับไป ท่ายชายที่ต้องเดินทางไกลก็หายห่วง การย้ายจิตสู่ร่างโคลนของมวลมนุษย์กำลังจะเริ่มขึ้น! เพียงติดต่อมาที่สถาบันแห่งอาคต หรือติดต่อเราที่ xxx-xxx-xxxx-x '
//พระอาญาไม่พ้นเกล้าฯ! งงและยาวมากมายค่ะ ผิดพลาดตรงไหนก็ขออภัย จำเป็นต้องโฟกัสที่ป้อมมั้ยคะ //ตายแปบ
ป้อม...ขายไอติม
เด็กๆ คุณครู บุคลากร ในโรงเรียนมัธยมแห่งนั้น รวมถึงตัวป้อมเองต่างรู้ดีว่าคำว่าป้อมนั้นไม่มีนิยามอะไรมากมายอีกแล้วนอกจากคำว่า "ขายไอติม"
แต่แล้ววันหนึ่ง นิยามคำนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป
นักเรียนหรือใครก็ตามที่มาซื้อไอติมจากเขา จู่ ๆ ก็มีอันล้มหายตายจาก บางคนถูกฆาตกรรมอย่างเลือดเย็น บางคนหายตัวไปอย่างลึกลับ บางคนก็ตายในอุบัติเหตุอันน่าสะพรึงกลัว
ล่าสุด เกิดเหตุไฟไหม้อย่างรุนแรงที่โรงเรียนมัธยมที่เขาขายไอติมอยู่
ป้อมหยุดขายไอติม และใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว เขาไม่รู้และไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกคนที่ซื้อไอติมของเขาถึงได้ประสบชะตากรรมเช่นนั้น เขาไม่รู้เลยจริงๆ
เหมือนเสียงของเขาจะดังก้องไปถึงสิ่งลึกลับ ป้อมได้รู้ความจริงว่าไม้ไอติมที่เขานำมาเสียบไอติมขายนั้นได้มาจาก...ป่าช้า
ป่าช้าแห่งนั้นมีเสียงร่ำลือมานักต่อนักว่า-นเป็นที่ยิ่ง ป้อมยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก ทำไมต้องเป็นเขา ทำไมต้องเป็นลูกค้าของเขา ทำไมต้องเป็นไอติมของเขาด้วย
และความสงสัยของเขาก็ถูกส่งไปถึงอีกครั้ง
ป้อมฝัน...
มันทำให้ป้อมรู้ว่า เขาถูกกำหนดมาให้มีหน้าที่เช่นนั้น
หน้าที่ส่งต่อไม้ไอติมไปยังผู้คน ไม้ไอติมอาถรรพ์ที่จะพรากดวงวิญญาณของผู้ที่ใช้มันให้จากไปตลอดกาล
ป้อมรู้แล้วว่า เขาไม่ใช่คนธรรมดา เขาไม่ใช่คนดี ไม่ใช่คนเลว เขาไม่ใช่มนุษย์ เทวดา หรือแม้แต่ปิศาจร้าย
เขาไม่ใช่คนขายไอติม แต่เขา...
เป็น "คนขายวิญญาณ" ให้แก่ยมทูต!
จบส์
ป้อมเป็นหนุ่มขายไอศกรีมหน้าจืด ไร้ความรู้สึก ไร้ความฝันและไร้จุดหมายปลายทางในชีวิต ตอนเด็ก ป้อมเป็นคนที่ขี้เกียจมากและโดดเรียนตลอดเวลา ทำให้สอบตกเป็นประจำจนโดนรีไทร์กลางคัน พ่อและแม่ไม่รู้จะช่วยป้อมยังไง เพราะทั้งคู่ก็เป็นเพียงข้าราชการฐานะปานกลาง จึงพาป้อมไปสมัครเป็นลูกจ้างเศรษฐีเจ้าของโรงงานไอศกรีม ป้อมจึงยึดอาชีพขายดอศกรีมตั้งแต่นั้นเป็นมา เพราะเป็นงานที่ง่ายและไม่ต้องใช้สมอง โดยเขาเลือกมาขายหน้าโรงเรียนมัธยมที่เขาเคยเรียน เพราะว่ามีความคุ้นเคย
ชีวิตน่าเบื่อของป้อมคงวนไปอย่างน่าเบื่อเช่นนั้นจนตาย ถ้าบังเอิญเขาไม่ได้รู้จักเด็กม.5คนหนึ่งที่ได้มาซื้อไอศกรีมเขา ชื่อ “หยาดฟ้า” เธอเป็นเด็กหญิงที่หน้าตาสวยมาก และยังเป็นเด็กเรียนดีของโรงเรียนด้วย และท่าทางเป็นมิตรของเธอที่ไม่รังเกียจคนขายไอศกรีม ทำให้หัวใจของป้อมเริ่มสั่นคลอนและตกหลุมรักเธอในที่สุด
แต่ป้อมก็ต้องใจสลายเมื่อได้รู้ว่าหยาดฟ้าเป็นลูกสาวสุดรักของเจ้าโรงงานไอศกรีนมที่ทำอยู่ เพราะเจ้าของโรงงานนั้นเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี และคาดหวังว่าสามีของลูกสาวเขาจะต้องมาจากตระกูลที่ร่ำรวยหรือเป็นผู้ดี และต้องจบการศึกษาสูง ปัญหานี้ทำให้ป้อมซึมและหมดความหวังในชีวิต แต่พ่อแม่ก็ให้กำลังใจ ทำให้ป้อมได้รู้แล้วว่าเขามีเป้าหมายในชีวิตและต้องสู้กับมัน
ป้อมเอาชนะความขี้เกียจโดยทำงานเก็บขยะพร้อมกับขายไอศกรีม และยังลงเรียนกศน.เพื่อให้ได้วุฒิม.ปลาย เพื่อไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย โดยระหว่างขายไอศกรีม ป้อมกับหยาดฟ้าก็แอบสนิทกันโดยไม่รู้ตัว จนวันหนึ่ง พ่อของหยาดฟ้าจับได้ จึงไล่เขาออกจากงานและสั่งห้ามไม่ให้เขายุ่งกับหยาดฟ้า ป้อมจึงท้าว่าภายใน5 ปี เขาจะเรียนจบจากมหาวิทยาลัย และทำงานในที่ดีๆ จนมีเงินเลี้ยงดูหยาดฟ้าได้ ถ้าทำสำเร็จ เขาต้องได้แต่งงานกับหยาดฟ้า แต่ถ้าไม่ได้ เขาจะเดินออกไปจากชีวิตของหยาดฟ้า เจ้าของโรงงานรับคำท้า ป้อมจึงไปหาหยาดฟ้าและสัญญาว่าเขาจะเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อให้คู่ควรกับเธอให้ได้...
ป้อมเด็กหนุ่มขายไอติมหน้าจืด ไร้ความรู้สึก และไร้สามัญสำนึกที่สุด แต่ในความจืดชืดนั้นกับมีความไม่ธรรมดาแฝงอยู่ภายใน หลังจากขายไอติมเขาจะแวะไปทำงานประจำที่ร้ายมินิมาร์ชตั้งแต่ห้าโมงถึงหัวค่ำ ด้วยความที่หน้าจืดและแลดูธรรมดานั้นทำให้ไม่เป็นที่สังเกตและจดจำของบรรดาผู้คน เขาขโมยเงินจำนวนหนึ่งจากร้านมินิมารช์มาไว้ในถังไอติมเพื่อเก็บไว้สำหรับแผนการบางอย่าง หลังจากหัวค่ำเขาจะตรงกลับบ้านเพื่อตื่นเช้าไปขายไอติมต่อ วันแล้ววันเล่าชีวิตประจำวันเขาก็หมุนเวียนไปอย่างนี้เรื่อยๆ และเขาไม่ลืมที่จะจิ๊กเงินส่วนหนึ่งเอามาไว้ในถังไอติม ด้วยความที่ธรรมดาและเป็นคนซื่อๆป้อมจึงรอดจากการถูกจับได้ตลอดมา
วันหนึ่งเจ้าของมินิมาร์ชสังเกตเห็นได้ว่าการทำงานของป้อมไม่ปกติ เขามาทำงานสายมากจนเกือบงานเลิก หัวหน้ามินิมารช์จึงจ้างลูกน้องคนหนึ่งชื่อกระป๋องให้เฝ้าสังเกตการณ์ป้อม วันหนึ่งตกค่ำป้อมมาทำงานสายอีก หลังจากเก็บร้านเขาเอาเงินจำนวนหนึ่งซุกไว้ที่อกแล้วรีบวิ่งออกไปจนไม่ทันสังเกตว่ามีรถบรรทุกวิ่งสวนเลนมาคันหนึ่งขับถอยหลังมา เขาวิ่งตามไปและพบกับร่างของชายคนหนึ่งที่เละจนมีสภาพดูไม่ได้
และวันนั้นก็เป็นวันที่แผนการของป้อมสำเร็จแล้วและไม่มีใครสามารถหยุดแผนการของป้อมได้
เช้าวันต่อมา ลูกน้องคนเดิมที่เฝ้าสังเกตการ์ณป้อมเดินผ่านหน้าโรงเรียนแห่งหนึ่ง เขารู้สึกร้อนปนกระหายและสังเกตเห็นได้ว่ามีกลุ่มเด็กจำนวนหนึ่งไปออมุงดูอะไรกันอยู่หน้าซุ้มประตูโรงเรียน
รถไอติมคันหนึ่งจอดอยู่หน้าซุ้มประตูโรงเรียน เขาจึงเดินเข้าไปหาและสั่งไอติมเพราะความกระหาย คนขายไอติมก้มลงตักไอติมใส่ถ้วยและเงยหน้าขึ้นมา ชายคนนั้นก็คือป้อมคนที่เขาเห็นว่าถูกรถบรรทุกทับตายหน้าร้าน ป้อมมีสีหน้าเรียบเฉยและดูจืดชืดไร้อารมณ์เช่นเคย เขาตักไอติมเสร็จก็หยิบขึ้นมากินเองแล้วเข็นรถจากไป กระป๋องรีบวิ่งไปที่ร้านมินิมาร์ชและบอกเจ้าของร้านเรื่องที่เขาเห็นและบอกว่าป้อมถูกรถชนหน้าร้าน เจ้าของร้านไม่คุยกับกระป๋อง เอาแต่ก้มหน้าเก็บของอย่างเดียว ประตูร้านมินิมาร์ชเปิดออกพร้อมกับมีตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามา ตำรวจคนนั้นก็คือป้อม และป้อมก็เอากุญแจมือสวมที่ข้อมือทั้งสองข้างของเจ้าของร้าน
“คุณถูกจับสองข้อหา ข้อหาแรกขับรถโดยประมาท ข้อหาที่สองคุณคงรู้ตัวดีอยู่…”
และชีวิตกระป๋องก็เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กระป๋องได้แต่วนเวียนเดินไปมาที่ร้านมินิมาร์ช ไม่สามารถกลับบ้านได้
ป้อมเป็นหนุ่มขายไอติมที่หน้าจืด และไร้ความรู้สึกที่สุด ทุกวันเขามีหน้าที่ตักไอติมให้เด็กๆ ที่เข้ามาซื้อ ตอนเช้าป้อมจะเข็นรถมาจอดหน้าโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่ง ขายเสร็จประมาณบ่ายๆ ก็กลับ ป้อมไม่ได้รักไอติม ป้อมไม่ได้รักเด็ก ป้อมไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินแต่ก็ไม่ได้รวย ชีวิตป้อมไม่มีอะไรเลย คำถามก็คือ แล้วป้องจะมาขายไอติมแบบนี้ทุกวันทำไม
ไม่มีคำตอบที่แน่นอน แต่ป้อมก็พบว่าตัวเองจำเป็นต้องมาขายทุกวันอย่างไม่มีเหตุผล อะไรบางอย่างขับเคลื่อนให้เขามาอยู่ตรงนี้ และในวันหนึ่งที่เขากำลังทำกิจวัตรอยู่ ข้อความของใครบางคนก็ถูกส่งมาทางโทรศัพท์ เนื้อความมีอยู่ว่า 'ทุกวันนายต้องมาที่นี่' 'ไม่มีเหตุผล' 'ไม่มีข้อสงสัย' มันถูกส่งมาทุกวันในเวลาเดียวกัน จนวันนึงที่ป้อมได้รับข้อความที่มีเนื้อหาต่างไปจากเดิม 'คุณไม่เคยรู้สึกบ้างหรือ ว่าทำไมคุณไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่มีความต้องการ ไม่มีแรงปราถนา ไม่มีแม้กระทั่งการแสดงออกทางใบหน้า'
มันส่งมาพร้อมกับเจลใสที่แปะป้าบบอกถึงความเป็นยาพิษระดับรุนแรง และสามารถละลายเข้ากับทุกอาหาร 'คุณถูกส่งกลับมาที่นี่เพื่อแก้แค้น เพื่อเอาชนะ'
ป้อมมองกลุ่มนักเรียนผู้ชายที่ชอบมาซื้อไอติมร้านป้อมบ่อยๆ ความจำบางอย่างถาโถมกลับมา การกลั่นแกล้ง การถูกรังแก และพยายามฆ่าตัวตาย หนักไปจนถึงขั้นเจ้าชายนิทรา
ป้อมไม่รู้สาเหตุว่าทำไมกลุ่มเพื่อนในเขาในอดีตถึงต้องมาซื้อไอติมของเขาทุกวัน อาจเป็นเพราะความรู้สึกผิดในสิ่งที่เคยทำ แต่ก่อนที่กลุ่มพวกนั้นจะมาซื้อสินค้าของป้อมอีกครั้ง
ป้อมต้องตัดสินใจว่าป้อมจะใส่เจลใสลงไปในไอติมพวกนั้นหรือเปล่า
เมื่ออาณาจักรไอติมระดับโลกของพ่อล้มละลาย ...
ลูกชายเพียงคนเดียวจึงกลายเป็นความหวังใหม่ในการกอบกู้ชื่อเสียง
จากผู้มั่งคั่งรํ่ารวย ป้อมจึงกลายเป็นเด็กหนุ่มผู้แสนจะธรรมดาที่ต้องมายืน
ขายไอติมซึ่งใครๆต่างก็พากันขนานนามว่า “ ไอติมแห่งความสุข ”
เพราะไม่ว่าจะเป็นคนป่วยร้ายแรงเพียงใด หรือ เศร้าโศกแค่ไหนก็สามารถมี
ความสุขจากการได้ลิ้มรสมัน
และก็อีกเช่นเคยที่เด็กหนุ่มสวมชุดขาวเข็นรถไอติมมาจอดที่หน้าประตู
โรงเรียน เสียงกระดิ่งจากระฆังแขวนเรียกเหล่าบรรดาลูกค้าให้พามาเสพ
ไอติมของเขากันอย่างคับคั่ง สีหน้าของแต่ละคนที่ได้ลิ้มรสมันช่างมีความ
สุขเหลือเกิน หากแต่ป้อมไม่ได้มีความสุขด้วยเลยความเบื่อหน่ายในอาชีพ
ถูกส่งผ่านมายังใบหน้าอันแสนจืดชืดราวกับไอติมรสมะพร้าว เขาไม่ลืมที่
จะเจียดไอติมก้นถังสำหรับคนจรจัดและสัตว์เร่ร่อน ซึ่งหวังว่ามันจะเป็น
ความสุขเดียวที่เขาพึงได้รับ
ตกเย็นบรรดาสิ่งมีชีวิตผู้หิวโหยเดินตามไอติมหลากหลายรสที่เรียงราย
ข้างทางเป็นกระจุกๆ ระหว่างทางป้อมสอดส่ายสายตาไปรอบๆ เพื่อมองหา
ชายชราคนเดิมที่มาขอไอติมเขาทุกวัน ทว่าบัดนี้ชายดังกล่าวได้กลาย
เป็นนางฟ้าและได้ให้พรในการล่วงรู้อนาคต แต่ต้องแลกกับการรักษา
เด็กสาวผู้หนึ่งซึ่งเป็นโรคซึมเศร้าด้วยไอติมของเขา ถ้าผิดสัญญาเขาจะ
ต้องตาบอด
ณ เวลานั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่หนุ่มน้อยรู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขที่สุด
จึงได้ตอบปากรับคำไป ในเวลาต่อมาป้อมตามหาเป้าหมายจนพบ ความน่า
สะพรึงถูกส่งมายังนัยต์ตาของเด็กหนุ่มเพียงเสี้ยวนาทีที่ได้เจอกัน
“ นางจะเป็นคนฆ่าพ่อเขาในอนาคต ”
ป้อมจะเลือก ... ?
ป้อมเป็นหนุ่มขายไอติมที่หน้าจืด และไร้ความรู้สึกที่สุด ทุกวันเขามีหน้าที่ตักไอติมให้เด็กๆ ที่เข้ามาซื้อ ตอนเช้าป้อมจะเข็นรถมาจอดหน้าโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่ง ขายเสร็จประมาณบ่ายๆ ก็กลับ ป้อมไม่ได้รักไอติม ป้อมไม่ได้รักเด็ก ป้อมไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินแต่ก็ไม่ได้รวย ชีวิตป้อมไม่มีอะไรเลย สิ่งเดียวที่เขารับช่วงต่อมาจากพ่อของเขาคือรถไอติมเก่าๆคันนี้
ในบ่ายวันธรรดาเช่นเดิมของป้อมกำลังดำเนินไปเรื่อยๆ ระหว่างที่เขากำลังเข็นรถกลับจากการขายไอติม จู่ๆมีคนใส่ชุดสีดำกลุ่มหนึ่งวิ่งกรูกันเข้ามาพร้อมกับปูพรมสีแดงสดยาวจากรถลีมูซีนมาถึงรถไอติมสนิมเขรอะ สติสุดท้ายที่เขารู้คือ ผู้หญิงผมทองในชุดเดรสสั้นสีชมพูอวดเรียวขาขาว เธอเรียกเขาว่า "ผู้ซ่อนความลับ" และเธอกำลังเหยียบอยู่บนหัวไหล่ของเขา พร้อมกับเสียงของผู้ชายบนรถลีมูซีนเอ่ยขึ้น "ในที่สุดก็หารถคันนี้เจอจนได้"
เมื่อเขาฟื้นขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ผู้หญิงชุดแดงเป็นใครทำไมถึงเรียกเขาแบบนั้น และชายบนรถนั้นเป็นใคร ทำไมถึงอยากได้รถไอติมเก่าๆคันนั้น
ป้อมเป็นหนุ่มขายไอติมที่หน้าจืด และไร้ความรู้สึกที่สุด ทุกวันเขามีหน้าที่ตักไอติมให้เด็กๆ ที่เข้ามาซื้อไอติมของเขา ซึ่งเขาก้ทำอยู่อย่างนี้ทุกวัน จนวันหนึ่งขณะที่เขากำลังเตรียมตัวจะไปขายไอติมของเขาในที่ประจำ ป้อมก็เห็นความผิดปกติกับถังใส่ไอติมของเขา เขารู้สึกแปลกๆเหมือนมีอะไรจองมองเขาอยู่ เขาจึงตัดสินใจเปิดถังไอติมออก เมื่อฝาถังไอติมถูกเปิดเขาก้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่โพล่ออกมาจากถังไอติมของเขาและพูกับเขาด้วยน้ำเสียงและท่าทางนิ่งๆว่า ‘ฉันมาเพื่อรับวิญญาณของคุณ’และผู้หญิงคนนั้นก็เดินจากไป จากนั้นเขาก้ยังคงงงและยังคงตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า ว่าผู้หญิงคนนี้มากจากไหน และโพล่ออกมาจากถังไอติมของเขาได้ยังไง เพราะถังไอติมของเขาเติมไปด้วยไอติมและขนาดของถังคงไม่ใหญ่พอให้ผู้หญิงคนหนึ่งเข้าไปซ่อนตัวได้ และคำพูดของเธอคนนั้น และหลังจากนั้น...วันต่อมา เขารู้สึกเหมือนเดิมเหมือนมีใครกำลังจ้องมองเขาขณะที่เตรียมตัวจะไปขายไอติมในที่ประจำ เมื่อเข้าเปิดฝาถังไอติมออก เขาก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อมีผู้หญิงคนเมื่อวานโพล่มาอีครั้ง และส่งยิ้มให้เขาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงใสๆว่า ‘ฉันจะปกป้องวิญญาณของคุณเองนะ’ แต่ป้อมก็ไม่สนใจและไปขายไอติมตามปกติ แต่ใครจะคิดว่าชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปเมื่อเจอกับเธอทั้งสองคน หลังจากนั้นมักมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับเขามากมาย ทั้งตอนที่เขาก้มผูกเชือกรองเท้า ก็มีคนเรียกเขาทำให้เขาหันไปหา แล้วก็มีกระถางดอกไม้จากบนหอพักแถวนั้นที่เข้าเดินผ่านตกใส่ตรงที่เขาเคยก้มกำลังจะผูกเชือกรองเท้าแต่ถูกเรียกไว้ และมีเหตุการณ์อีกหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาแต่ก็เหมือนจะมีคนมาช่วยเขาไว้และก็เหมือนจะมีคนทำให้เหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้น นี่มันอะไรกันเนี่ยหรือเขากำลังถูกหมายเอาชีวิต และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาจะเกี่ยวกับเธอทั้งสองคนนั้น และเธอทั้งสองคนนั้นคือใคร? แล้วป้อมจะมีชีวิตรอดจากเหตุการณ์ประหลาดๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาหรือไม่
ป้อมเป็นหนุ่มขายไอติมที่หน้าจืด และไร้ความรู้สึกที่สุด ทุกวันเขามีหน้าที่ตักไอติมให้เด็กๆ ที่เข้ามาซื้อ ตอนเช้าป้อมจะเข็นรถมาจอดหน้าโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่ง พอขายหมดก็กลับ ป้อมไม่ได้รักไอติม ไม่ได้รักเด็ก แต่เขารักเงินต่างหาก!
เงินคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตป้อม และเพราะเหตุนั้น เมื่อมีชายท่าทางลึกลับคนหนึ่งเสนอเงินจำนวนมหาศาลเพื่อแลกกับการทดลองอะไรนิดๆ หน่อยๆ กับร่างกายเขา ป้อมจึงไม่ลังเลเลยที่จะตกลง
แต่ใครจะคิดล่ะว่าเหตุการณ์มันจะเป็นแบบนี้! ชายแปลกหน้าคนนั้นฉีดสารอะไรบางอย่างใส่ร่างกายของเขา และยังต้องมาฉีดสารนั้นเพิ่มในทุกๆ หนึ่งเดือนเป็นเวลา 1 ปี
...ยามกลางวันป้อมก็ใช้ชีวิตเหมือนปกติ แต่เขาจะกลายร่างเป็นปีศาจร้ายออกอาละวาดในยามค่ำคืน!!
ป้อมพยายามสุดความสามารถในการควบคุมตัวเองแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เขาตัดสินใจหอบเงินมหาศาลที่ได้มาจากการเป็นหนูทดลองหลบหนีไปอยู่พื้นที่ชนบทห่างไกลจากผู้คน
แต่การหนีมากระทันหันในขณะที่ผลการทดลองยังไม่เสร็จสิ้นนั้นทำให้องค์กรของชายที่เสนอเงินให้เขาออกตามล่าตัวป้อม!!!
ป้อมเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งในสายตาคนทั่วๆไป
ไม่มีอะไรโดดเด่นหากมองจากสายตาคนภายนอก
เด็กตัวน้อยมากมายที่มาซื้อไอติมของเขามักเข้าใจผิดเมื่อมองลงไปในถังขนมหวานเย็นชื่นใจเหล่านั้นว่า สีของถังเป็นสีแดง
แต่ใครจะรู้นอกจากผู้เป็นเจ้าของว่ามันคือสีของอะไร ?
รถไอติมที่เขาใช้ดำรงชีวิตและ ‘บังหน้า’ กิจกรรมสุดโปรดหลังเลิกงานจอดนิ่งอยู่ริมสวนสาธารณะยามเย็นที่ไร้ผู้คน เขามักเลือกทำกิจกรรมนั้นในยามเย็นที่แสงจากฟากฟ้าเป็นสีส้มแสบตาและไม่มีใครออกจากบ้านมาเพ่นพ่าน
มุมที่คนส่วนมากใช้กองขยะติดกำแพงในซอกตึกร้างถูกเขาเอามือกวาดของเหม็นเน่าไปรวมกันใกล้ๆ ใต้กองขยะน่าอาเจียนเหล่านั้นมีร่างของเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ถูกตัดหัวออกไป
ป้อมลงมือชำแหละซากนั้นด้วยความพึงพอใจและชำนาญ
เขาไม่ได้รักเด็ก เขาไม่ได้รักอาชีพขายไอติม เขาไม่ได้รักในชื่อเสียงเงินทอง
เขารักในความตาย
เด็กน้อยคนนี้กรีดร้องทรมานก่อนตายอย่างที่เขาชอบและมักจะได้ยินเสมอจากเหยื่อหลายรายที่แล้วก่อนที่เส้นเสียงตรงลำคอจะถูกตัดออกไปพร้อมกับหัวเล็กๆที่ซุกอยู่ในถังไอติมของเขา
ชิ้นส่วนมนุษย์ถูกถุงดำห่อขึ้นมาจนแน่ใจว่าจะไม่มีใครเห็นเหมือนทุกครั้งก่อนที่คนขายไอติมจะเดินกลับไปยังพาหนะของเขา เปิดฝาถังไอติมและโยนถุงนั้นลงไป ชิ้นส่วนมนุษย์กระทบกันจนเลือดกระเด็นเปรอะเปื้อนข้างๆตัวถัง
และนั่นคือสาเหตุที่สีแดงเข้มคลั่กและชัดเจนขึ้นทุกครั้งที่มองลงไปในถังไอติมของป้อม
ทำไมหนูชอบแนวนี้ ~~
ป้อมเป็นหนุ่มขายไอติมธรรมดาๆ หน้าจืด ป้อมไม่มีอะไรเลยในชีวิต นอกจากรถไอติมคันเล็กที่พ่อกับแม่ของเขาทิ้งไว้ให้ก่อนถูกรถชนตายด้วยน้ำมือคนเมา และเขาเองก็คอยสาปแช่งคนที่พรากพ่อแม่ไปจากเขาอยู่ตลอด
ป้อมไม่ได้รักเด็ก ไม่ได้ชอบขายไอติม แต่ทำเพราะเป็นรายได้เดียวที่ป้อมหาเลี้ยงตัวเองได้ ทุกๆวันป้อมจะเข็นรถไอติมมาจอดหน้าโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่ง ขายเสร็จก็กลับ เป็นอย่างนี้วันแล้ววันเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งวันหนึ่งมีอะไรบางอย่างแบลกไป
บ่ายวันหนึ่งในขณะที่ป้อมเตรียมตัวจะกลับ มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซื้อไอติมของเขาไป 2 ถ้วย ทั้งๆที่เดินมาคนเดียว และเดินกลับบ้านไปคนเดียว โดยที่ถือไอติมทั้ง 2 ถ้วยอยู่ ป้อมไม่เคยสนใจ แม้ว่าเด็กหญิงคนนั้นจะทำอย่างนี้ทุกวัน
กระทั่งวันหนึ่งที่เขาเปลี่ยนเส้นทางกลับบ้านเพราะถนนไม่ดี ด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้ป้อมเข็นรถไอติมอยู่ข้างหลังเด็กคนนั้นตลอด จนกระทั่งเด็กวิ่งเข้าไปหาพ่อกับแม่ที่ยืนคอยอยู่ที่ป้ายรถเมย์
ป้อมตะลึงงัน ด้วยจำหน้าของชายหญิงคู่นั้นได้ติดตา...คนที่ขับรถชนพ่อแม่ป้อมนั่นเอง
ชายหญิงคู่นั้นไม่ได้รับไอติมจากมือเด็กน้อย แต่ยิ้มแล้วก็จูงมือเด็กคนนั้นไปทางถนนอีกเส้นที่เชื่อมไปยังทางเข้าวัดแถวนั้น ป้อมเดินตามไปโดยทิ้งรถขายไอติมไว้โดยไม่แยแส ตอนนี้เขาสนใจแค่ชายหญิงคู่นั้น
พวกนั้นพากันเดินเข้าไปที่ส่วนหนึ่งของวัด ป้อมตามไปเรื่อยๆ จนพวกนั้นหยุดเดิน และเด็กหญิงวางไอติมอันหนึ่งไว้ข้างหน้าสถูปที่มีรูปเด็กหญิงคนหนึ่ง แล้วก็เดินจากไป ส่วนป้อมเดินเข้าไปดูสถูปนั้น
เป็นรูปเด็กหญิงคนหนึ่งที่คล้ายกับคนที่เอาไอติมมาให้มาก และพอป้อมดูวันมรณะก็ต้องตกใจ เพราะเด็กหญิงคนนี้ตายวันเดียวกับพ่อและแม่ของเขา เพียงแต่ห่างกันไม่กี่ปีเท่านั้น
แล้วก็ต้องตกใจกับตัวเองอีกรอบ เมื่อนึกถึงข่าวที่เขาเคยได้ยินผ่านหูว่า มีเด็กถูกรถชนอยู่ใกล้ๆนี่เอง... และเด็กคนนั้นตายด้วยน้ำมือคนเมา อย่างที่พ่อแม่ของเขาเคยเป็น
จุดจบของใครบางคนอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง...เมื่อไอติมในร้านของ 'ป้อม' หนุ่มหน้าจืดและไร้ความรู้สึก กลับกลายเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของ 'ต้น' นักเรียนชายของโรงเรียนที่เขาขายอยู่ ดูเหมือนมันจะไม่เกี่ยวอะไรกับป้อมเลย หากศพของนักเรียนรายอื่นๆ ไม่ 'บังเอิญ' กินไอติมของเขาเป็นสิ่งสุดท้ายเหมือนกัน! แต่มันจะเป็นเรื่องบังเอิญแน่หรือ...? ก่อนที่ ผู้ต้องสงสัย จะกลายเป็น ผู้ต้องหา หนุ่มหน้าจืดจำเป็นต้องสวมบทนักสืบ เพื่อหาฆาตกรตัวจริง โดยร่วมมือกับ 'ครูพร' อาจารย์ระเบียบ 'แก๊งเด็กเวร' หัวโจกของห้องม.4/7 และ 'จอมขวัญ' ดรัมเมเยอร์สุดป๊อปปูล่า หารู้ไม่ว่า...เหตุการณ์นี้ จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนที่มีเพียงแค่คำว่า 'ขายไอติม' ไปตลอดกาล
ป้อมเป็นชายขายไอติมรถเข็นธรรมดา แสนจะธรรมดา เข็นมาเช้าเย็นเข็นกลับ เขาไม่ได้รักการขายไอติม บางครั้งเขาก็ทิ้งรถไปเฉยๆ แล้วก็มา เขาไม่ได้ชอบรอยยิ้มเด็กที่มาซื้อ บางครั้งเขาก็ทิ้งรถในระหว่างการขาย เขาอยู่อย่างนี้มานานแล้ว ผมไม่ได้ว่างขนาดมาสังเกตเขาหรอกนะ แค่คนกวาดถนนผ่านมาเท่านั้นเอง
วันหนึ่งผมได้เห็นเขาวิ่งเข้าไปในตู้โทรศัพท์อย่างรีบร้อน แต่กลับเป็นชายผ้าคลุมแดงออกมา แล้วบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
ผมเจอเพื่อนแล้ว
ป้อมเป็นเด็กหนุ่มที่น่าตาธรรมดาๆ ไม่ได้หล่อเหลาอย่างเทพบุษแต่ด้วยมาดนิ่งๆขรึมๆและดวงตาที่แสนจะเยือกเย็นของเขา ทำให้เขาเป็นที่สนใจในบรรดาสาวๆโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดังแห่งนี้ แต่ก้อไม่มีสาวคนใดพิชิตใจหนุ่มมาดนิ่งคนนี้ได้...ทุกครั้งที่มีสาวๆพยายามจะเข้ามาคุย คำตอบที่ได้เพียงแค่คำตอบสั้นๆและรอยยิ้มเท่านั้น แต่นั่นก้อเพียงพอแล้วสำหรับสาวๆ เพราะทุกคนรู้ดีว่า....ป้อมไม่ชอบสุงสิงกับใครและไม่ชอบพูดคุยกับใคร แม้ว่าทุกคนรู้ดีแต่ก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าอะไรกันที่ทำให้ชายหนุ่มคนนี้เลือกที่จะนิ่งและปฏิเสธหัวใจของหลายๆคนที่หยิบยื่นให้เขา คำตอบนั้นไม่มีใครล่วงรู้ได้เลย.....ยกเว้นเขาแต่เพียงผู้เดียว
....5 ปีก่อนหน้านี้....
บนถนนที่แสนว่างเปล่าในยามราตรี....ยังมีหญิงสาวผู้มีใบหน้าจิ้มหลิ้มน่ารักอย่างน่าทะนุถนอม
เคียงกายด้วยหนุ่มหล่อมาดเซอ และแล้วประโยคหนึ่งก้อได้หลุดมาจากปากของชายหนุ่ม
'ผมรักคุณน้ะะ....เวนิส' ^^ โคร้มมม !!!! อีกฟากหนึ่งยังมีชายหนุ่มยืนดูเหตุการณ์เมื่อครู่อย่างเจ็บปวดและเผลือไปเตะถังน้ำที่อยู่แถวนั้นด้วยความที่ต้องการระบายความคับแค้นใจ และชายหนุ่มดังกล่าวไม่ใช่ใครที่ไหน..นั่นคือ 'ป้อมม' !!! เวนิสตะโกนออกมาด้วยความตกใจในขณะที่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆเขาได้แต่รำพึงเบาๆ 'ป้อม' แต่ทั้งสองคนก็ตกใจไม่แพ้กัน. เพราะเวนิสคือหญิงสาวที่ป้อมคอยช่วยเหลือและพร้อมที่จะตายแทนกันได้เสมอเพียงเหตุผลข้อเดียวคือ เขารักเธอ และชายหนุ่มอีกคน 'คีตะ' คือคนที่ป้อมไว้ใจและเชื่อใจมาโดยตลอดเพราะเขาทั้งสองคือเพื่อนรักกัน พวกเขาทั้งสองเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก สิ่งเดียวที่ป้อมรับไม่ไดคือ คีตะรู้อยู่แก่ใจว่าป้อมรักเวนิสมากขนาดไหน ทุกครั้งที่เขารู้สึกเสียใจหรือดีใจที่เกิดจากการกระทำของเวนิส เขาก้อจะมาเล่าให้คีตะฟังเสมอ แต่แล้วเขาก้ต้องมารับรู้กับเหตุการณืที่ไม่คาดฝัน เมื่อคีตะบอกรักเวนิส แววตาของเขาฉายแววด้วยความเจ็บปวดอย่างชัดเจอน เจ็บที่ถูกคนที่เขาไว้ใจมากที่สุดหักหลัง เจ็บ..ที่เขาเหมือนคนโง่คนหนึ่งในสายตาของทั้งสองคน และอีกแสนล้านความรู้สึกไม่สามารถระบายออกมาด้วยคำพูดแต่สามารถสื่อได้ด้วยแววตา เขาเดินออกมาจากมุมที่เขากำลังยืนอยู่ และพูดกับทั้งสองว่า 'ฉันกำลังสนุกกับการดูละครอยู่เลย' TT 'แล้วหยุดเล่นทำไมล้ะ?' เขาพูดได้แค่นั้น...แค่นั้นจิงๆ ทั้งเวนิสและคีตะถึงกับใบ้กินเลยทีเดียว เพราะทั้งสองคนรู้ดีว่าป้อมคิดยังไงกับเวนิส คีตะและเวนิสสบตากับอย่างคนที่พยายามหาทางออก ทางออกที่จะไม่ทำให้ทั้งสามคนต้องเจ็บปวด 'เวนิส.....คีตะเขาก้อบอกเธอไปแล้วว่าเขารู้สึกยังไงกับเธอและเธอเองก็รู้ดีว่าฉันคิดยังไงกับเธอ' ป้อมพูดเหน็บแนมอย่างเจ็บปวด 'ฉัน....' เวนิสพยายามจะอธิบาย แต่ก้อต้องเงียบลงเมื่อป้อมพูดขึ้นมาว่า 'เธอต้องเลือกแล้วล้ะ......ระหว่างฉันกับคีตะ' ป้อมพูดประโยคนั้นออกมาอย่างยากลำบากเพราะเขารู้ดีว่าคำตอบเวนิสต้องเป็นยังไง เวนิสเงียบไป...ทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ และแล้ว......'ฉันขอไม่เลือก' เวนิสตะโกนออกมาทั้งน้ำตา พวกเขาตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง....'เธอต้องเลือกแล้วล้ะ' คีตะ พูดออกมา จนสุดท้ายเวนิสก็ยอมพูดออกมา 'ฉันก็รักนายเหมือนกัน.......คีตะ' ป้อมได้ยินประโยคนั้ เขาลืมเรื่องความเจ็บปวดไปเลยเพราะความรู้สึกที่เข้ามาแทนที่มันคือความความรู้สึกที่อึ้ง เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างหยุดหมุน หยุดกระทั่งลมหายใจของตัวเขาเอง. ทั้งที่เขาก็เตรียมใจกับคำตอบของเวนิสอยู่แล้ว แล้วเขาก็เอ๋ยออกมา 'ถ้าเธอเลือกที่จะรักคีตะฉันก็คงต้องไป' 'นายจะไปไหน เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ไม่ใช่ออ?' '555555' ป้อมหัวเราะออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง 'ฉันขอโทษ......ป้อม' เสียงที่แผ่าเบาลอดออกมาจากปากของคีตะหลังจากเงียบอยู่นาน ชายหนุ่มยิ้มรับ..'เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ใช่ไหม?' คีตะเอ๋ยออกมาอีกครั้ง ป้อมหันหลังเดินออกมาจากจุดนั้น ก่อนที่จะเอ๋ยออกมาว่า 'มันอาจจะ ใช่ แต่ทุกอย่างมันคงต้องใช้เวลา.....ขอให้พวกเธอทั้งสองมีความสุขมากๆ......ฉันแพ้แล้ว' และป้อมก็เลือกที่จะเดินจากไป จากไปอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปดีไหม....
"พี่ !!!" ป้อมสะดุ้งจากเสียงเรียกของเด็กนักเรียนที่มาซื้อไอติม ''วันนี้พี่เป็นอะไรรึเปล่า? หนูเรียกอย่ตั้งนานแล้ว" เขาก็ยิ้มออกมาแทนคำตอบ....ถึงเขาจะยิ้มยังไงแต่ในแววตาของเขาก็ยังคงเศร้าเหมือนเดิม แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านมาแล้ว 5 ปี ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าทั้งคีตะและเวนิสยังคบกันอยู่อีกรึเปล่าหรืออาจจะแต่งงานกันไปแ้ลว แต่ตัวเขายังรู้สึกเหมือนกับว่าเหตุการณ์ทุกอย่างเพ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เพราะทุกอย่างยังคงชัดเจนในหัวใจของเขาเสมอมาา
นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาปฏิเสธที่จะรักใครหลายๆคนเพียงเพราะเข็กจากความรักครั้งก่อน ทำให้ทุกวันนี้เขาได้แต่นั่งขายไอติมไปวันๆโดยไม่มีจุดหมาย......
หากเขาไม่ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งน่าตาน่ารักที่ขัดกับนิสัยแก่นๆของเธอ เธอคนนี้ได้มาสั่นประตูหัวใจที่ปิดตายมานานของผู้ชายมาดนิ่งอย่างเขา ......
เรื่องราวจะเป้นอย่างไรโปรดติดตามตอนต่อไป :D
ไม่มีใครรู้… และคงไม่มีใครที่อยากจะรู้ ว่าเบื้องหลังชีวิตของ ‘ป้อม’ คนขายไอติมธรรมดาๆ คนนี้เป็นอย่างไร หากพูดถึงใบหน้าของเขา น้อยคนนักที่จะนึกถึงหน้าตาจืดๆ ของป้อมออก เรียกได้ว่าป้อมเป็นชายหนุ่มที่ไม่มีอะไรน่าจดจำเลยแม้แต่น้อย แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับป้อมด้วยเช่นกัน เพราะจะได้ไม่มีใครรู้ว่าเขามีพ่อเป็นโจร แม่เป็นขโมย แถมยังมีพี่ชายที่ทำงานในแก๊งลักเด็กด้วยอีกคน
เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ของวันหนึ่ง ในระหว่างที่ป้อมกำลังเข็นรถขายไอติมคู่ใจกลับบ้านเหมือนอย่างเคย ชายหนุ่มต้องตกใจ เมื่ออยู่ดีๆ ก็มีชายฉกรรจ์พุ่งเข้ามาทำร้าย แย่งชิงรถเข็นของเขาไป
บาดแผลที่ป้อมได้รับนั้นเรียกได้ว่าสาหัสจนถึงชีวิต แต่ป้อมกลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ในฐานะอาวุธมนุษย์สุดแข็งแกร่ง ร่างกายเกินกว่าครึ่งของชายหนุ่มถูกดัดแปลงด้วยวิทยาการที่ล้ำหน้า สิ่งเดียวที่ป้อมถูกป้อนคำสั่งจากรัฐบาล คือการกำจัดกลุ่มคนร้าย แล้วชิงเอารถเข็นไอติมคันนั้นกลับมา ป้อมเพิ่งมารู้ว่าอดีตเครื่องมือทำมาหากินของเขา มันคืออุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่มีอำนาจควบคุมความเป็นไปของโลกได้เลยทีเดียว
แต่เรื่องราวกลับไม่ง่ายอย่างนั้น เมื่อป้อมเพิ่งมารู้ในภายหลังว่าพ่อ แม่ และพี่ชายของเขาคือหนึ่งในสมาชิกขององค์กรที่เขาต้องกำจัดทิ้งด้วย!
ถึงเวลาที่ป้อมต้องตัดสินใจ ระหว่างการกำจัดศัตรูให้สิ้นทุกชีวิต ซึ่งเป็นคำสั่งที่ไม่อาจฝ่าฝืน กับการช่วยเหลือครอบครัวที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา ป้อมจะทำอย่างไรต่อไป เมื่อในตัวเลือกไม่มีการกลับไปเป็นคนขายไอติมธรรมดาๆ ที่หน้าโรงเรียนมัธยมเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว!
วันหนึ่งระหว่างเดินทางกลับบ้าน ป้อมก็เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ไปหาหมอหมอก็บอกว่าเขาเป็นเนื้องอกในสมอง ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดนั้นสูงมาก และเพราะความหน้าจืดและเป็นคนไร้ความรู้สึก มันทำให้เขาไม่ได้มีเพื่อนที่คบค้าสมาคมเอาไว้ด้วย เขาต้องเริ่มหาเงินให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะเอาเงินมาผ่าตัดเนื้องอกในสมอง ในขณะที่เขากำลังออกจากโรงพยาบาล เนื้องอกในสมองของเขาทำให้เขามีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงเป็นระยะๆ เขาก็ได้พบกับเด็กปริศนาที่หลงทางและหาทางกลับบ้านไม่เจอ เธอขอความช่วยเหลือจากเขาโดยทำสัญญากันว่าเขาจะช่วยหาทางพาเธอกลับบ้านให้เจอ และเธอจะเป็นคนช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายเนื้องอกในสมองของเขาให้
เมื่อคุยกันและตกลงกันเสร็จก็พากันเดินทางด้วยจำนวนเงินเก็บที่ป้อมพอมีอยู่ มันทำให้ป้อมไม่ได้ไปขายไอติมต่อ ป้อมได้ออกเดินทางตามไปตามที่เด็กคนนี้บอกมันทำให้ป้อมได้ออกมาจากวงจรชีวิตเดิมที่เอาแต่ขายไอติมไปวันๆ และทำให้ป้อมได้เห็นอะไรใหม่ๆหลายๆอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จากที่ป้อมเบื่อหน่ายกับชีวิตและไร้ความความรู้สึกก็เริ่มเกิดความรู้สึกสนุกกับการผจญภัยมากขึ้นๆ ทุกๆครั้งที่อยู่กับเด็กคนนี้แรกๆเขาอาจไม่ได้รู้สึกอะไร แต่นานๆเข้าเขาก็เริ่มมีความรู้สึกมากขึ้น ทั้งรำคาญ ตลก โมโหต่างๆ เริ่มอึ้งและเถียงเด็กตลอดทาง เขาหาบ้านให้เด็กน้อยคนนั้นได้สำเร็จ และพ่อแม่ของเด็กก็จ่ายค่าตอบแทนให้เขาเป็นการผ่าตัดเนื้องอกในสมอง ป้อมได้กลับไปใช้ชีวิตคนขายไอติมเหมือนเดิม แต่เขารู้สึกไม่เหมือนเดิม ที่น่าประหลาดใจคือลูกค้าที่เขาไม่เคยคุยด้วยก็ได้ถามเขาเรื่องสารทุกข์สุขดิบตลอดเวลาที่เขาไม่อยู่ เขาเริ่มรูสึกดีใจ แต่ก็เสียใจในเวลาเดียวกันเพราะเขารู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง จากที่ปกติจะต้องฟังเด็กคนนึงพูดมากใส่ให้ฟังมันทำให้เขาเริ่มรู้สึกเบื่อ และแล้วเวลาก็ผ่านไปราวๆอาทิตย์เศษ เขาก็ได้เซอไพรจากการได้เจอเด็กคนนั้นอีกครั้ง เขาตัดสินใจเลี้ยงไอติมฟรีด้วยความรู้สึกดีใจเป็นครั้งแรก เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มตัดสินใจเลี้ยงไอติมทุกคนที่ผ่านมาโดยมีเด็กคนนั้นเป็นผู้ช่วย แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกของทุกคนที่เห็นป้อมยิ้ม
-จบ-
#ไม่ได้แต่งเพราะอยากได้ของรางวัล แต่ช่วยวิจารณ์ให้ด้วยค่ะว่าควรแก้อะไรตรงไหนไหม เพื่อจะได้เป็นประสบการณ์ไว้แต่งนิยายของตัวเองค่ะ ^-^