ในตอนนั้น น้องปราปต์เป็นนักเขียนหน้าใส (หัวใจว้าวุ่น...?) เจ้าของผลงาน สาวป่วนก๊วนรด. และรักต้องปล้ำ (ฟังชื่อก็รู้ว่าสนุกสนานฮาๆ) แต่ ในวันนี้ หนุ่มน้อยคนนั้นกลับมาในฐานะนักเขียนเจ้าของรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดปี 2557 หัวข้อประเภทนวนิยาย
ก่อนอื่นมาเล่น Visual Novel เกมรูปแบบใหม่ของเด็กดีที่จะพาเราเข้าไปสู่โลกของนิยายเรื่อง "กาหลมหรทึก" กันดีกว่า
สวัสดี ทักทายสมาชิกเว็บเด็กดีกันก่อน
สวัสดีครับ ปราปต์ครับ
เราเคยสัมภาษณ์กันมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน นึกออกไหม ความทรงจำในตอนนั้นคืออะไร
สารภาพความจริงว่าจำได้แค่สองอย่าง คือความรู้สึกดีใจมากตอนพี่มาสัมภาษณ์ แล้วก็ความรู้สึกกลัวมากหลังจากสัมภาษณ์เสร็จ กลัวว่าพี่เอาลงหน้าเว็บแล้วจะไม่มีใครเข้ามาโพสเลยเพราะตัวเองไม่ได้โด่งดังหรือมีแฟนคลับมากมายเหมือนนักเขียนคนอื่นๆ ในเด็กดีตอนนั้นน่ะครับ หลังจากพี่เอาลงแล้วต้องเหนื่อยเรียกแขกให้ช่วยไปโพสที่หน้านั้นวันละหลายรอบ
อันที่จริงตอนนี้ก็ยังกลัวนะ กำลังวางแผนว่าหลังจากพี่เอาบทสัมภาษณ์นี้ลงเว็บ ผมคงลดแลกแจกแถมเพื่อโกยคนในเฟซให้มาช่วยกันป้องกันอาการหน้าแหกที่นี่ 555
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เว็บเด็กดีในสายตาปราปต์ เปลี่ยนแปลงไปมากไหมอย่างไร เพราะจะว่าไป ปราปต์คือสมาชิกเด็กดีรุ่นแรกเริ่มเลยนะ ต้องเห็นพัฒนาการของเว็บอยู่แล้ว
ม่ายจริงงงง! (รีบค้าน) ผมเป็นรุ่นสาม-สี่-ห้า เป็นอย่างน้อยนะคร้าบบบ รุ่นแรกเริ่มน่าจะพวกพี่อติน ดร. ป๊อปอะไรงี้รึเปล่า 555 (อติน : &^&)$_#(#^#$$&_$_)
เคยไปเปิดประวัติเห็นว่ารุ่นแรกๆ ยังโพสนิยายแบบเว็บบอร์ดหน้ารวมอยู่เลย (อารมณ์เหมือนถนนนักเขียนในพันทิป) แต่ตอนที่ผมเข้ามามีหน้ารวมนิยายเป็นเรื่องๆ แล้วนะครับ ช่วงนั้นสังคมเด็กดียังไม่กว้าง url ยังเป็น /entertain อยู่เลย ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็น /writer จนปัจจุบัน
นิยายเรื่องแรกที่ผมลงคือเกาะนาคา เป็นนิยายขนาดสั้นแนวระทึกขวัญหักมุม (ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ลบนะครับ) คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ว่าผมเขียนเรื่องระทึกขวัญก่อนที่จะมาเขียนเรื่องตลกซะอีก สงสัยมีหัวทางโหดเลือดสาดมาตั้งแต่ต้น เพิ่งมาค้นพบความจริงเอาเมื่อสิบปีให้หลัง 555
สังคมเด็กดีตอนนั้นเป็นสังคมของเพื่อนจริงๆ ครับ คนในนี้ส่วนมากรู้จักกัน มาลงเรื่องเพราะอยากให้คนอ่าน และแล้วก็กลายเป็นเพื่อนกัน เพื่อนจากเด็กดีหลายๆ คนยังคงเป็นเพื่อนสนิทของผมจนทุกวันนี้
ความผูกพันและความรู้สึกที่เรามีต่อเว็บเว็บนี้ สร้างสังคม สร้างเพื่อน สร้างตัวตนของเรา... อย่างไร
คือผมเป็นเด็กไม่ชอบออกจากบ้านไปไหนครับพี่ โลกแคบๆ ก็มีเด็กดีนี่แหละ ที่ทำให้เกิดสังคมใหม่ในชีวิต โดยเฉพาะสังคมที่ผมอยู่ในชีวิตจริงนี่ เขาไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือหรืออ่านนิยายกัน เวลาคุยก็จะไม่มีใครรู้เรื่อง แถมเขายังมองว่าเราประหลาดอีกตะหาก เลยเป็นสาเหตุหนึ่งที่สนิทกับเพื่อนในเด็กดีมากกว่า เพราะว่าสนใจเรื่องเดียวกัน คุยกันถูกคอ ความผูกพันก็จะเริ่มมาจากตรงนั้น ยิ่งลงเรื่องแล้วมีคนอ่าน มีช่วงที่ต้องเข้ามาอัพทุกวัน กดรีเฟรชกันแทบจะทุกห้านาทีอะไรอย่างนี้ ให้ลองเทียบกับอาการติดเฟซบุ๊คของคนสมัยนี้น่ะครับ ผมเองช่วงลงแดงมากๆ ก็ติดเด็กดีถึงขั้นนั้นเลย
ทุกวันนี้ที่ตัวเองค่อนข้างประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้วก็กลับรู้สึกภูมิใจมากนะครับ ถึงแต่ไหนแต่ไรมาตัวเองจะเป็นแค่ติ่งเล็กๆ ไม่ค่อยมีใครรู้จักในเด็กดีก็เหอะ คือผมโลกสวยด้วยมั้ง เลยหวังว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนเราตอนเด็กๆ ที่มองรุ่นพี่ที่เติบโตไปจากที่นี่อย่างชื่นชมน่ะ เห็นว่าเขาเป็นไอดอลให้เรามีความหวังในการรักษาและเดินตามความฝันของตัวเองต่อไป (เราจะไม่บอกว่าถึงเราจะไม่ค่อยได้อ่านงานของเขาก็ตาม 555)
ต้องขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้หมายถึงอยากให้ใครมายกผมเป็นฮีโร่หรือไอดอลนะครับ แต่มองในแง่การเป็นน้ำมันต่อตะเกียงความฝันของเขามากกว่า เวลาเราเห็นว่าใครทำได้ ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราฝันไว้ มันทำให้เรามีกำลังใจน่ะ
ผมคงรู้สึกดีมากๆ ถ้าหากได้รู้ว่าการเดินทางของตัวเองหรืองานของตัวเองช่วยสร้างแรงบันดาลใจต่อไปให้กับน้องๆ คนอื่นๆ ได้ ทำให้เขารักและสนใจที่จะทำในสิ่งดีๆ ได้เติบโตมาเป็นคนดีๆ ที่สร้างสรรค์สิ่งดีๆ นี่คือเป้าหมายและความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิตของผมนะครับ
เห็นปราปต์เอากาหลมหรทึก นิยายรางวัลมาลงในเว็บด้วย ^ ^
การเอากาหลกลับมาลงที่นี่ มันเหมือนกับได้กลับบ้านเกิดน่ะครับ ลองนึกถึงเด็กบ้านนอกที่ไปต่อสู้ในเมืองกรุงจนประสบความสำเร็จแล้วรู้สึกว่าได้เวลากลับบ้าน มันเป็นแบบนั้นเลย ถึงแม้กลับเอามาแปะแล้วกาหลมหรทึก จะยังกลายเป็นกาหลเงียบสงัดเหมือนเรื่องที่ผ่านๆ มาก็ตาม 555 ก็ยังรู้สึกดีที่ได้เอามาแปะนะครับ รู้สึกเหมือนได้ทำภารกิจสุดท้ายของกาหลจบแล้ว
เวิ่นซะยาว ตกลงว่าตอบตรงคำถามมั้ยครับเนี่ย ^^” บอกตามตรงว่าหลังจากได้รางวัลมาก็ได้ไปสัมภาษณ์หลายที่ แต่ไม่มีที่ไหนที่พูดแล้วรู้สึกเวิ่นเว้อขนาดนี้เลย 555 นี่ล่ะมั้งคือความผูกพัน มันเหมือนเราสามารถเอาตัวตนมาตีแผ่ได้โดยไม่ต้องรู้สึกหวาดกลัวหรือเกรงใจอะไรน่ะครับ (พี่อตินอาจจะกำลังคิดว่า เกรงใจตูมั่งก็ดี...)
มาพูดถึงตัวปราปต์เองดีกว่า ที่หายไปเป็นยังไง เปลี่ยนไปมากไหม
เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายมากขึ้นครับ 555 อันนี้พูดความจริง สังเกตได้ว่าสมัยก่อนเขียนเรื่องตลก เดี๋ยวนี้เขียนเรื่องฆ่ากันตายแล้วไง สิบปีที่ผ่านมาของผมมันเป็นประสบการณ์ที่คนส่วนใหญ่ไม่น่าจะอยากเจอนะครับ
ลองคิดดูว่าผมซึ่งอยากเป็นนักเขียนมากที่สุด ไม่เคยคิดเลยว่าอยากทำอะไรอื่นนอกจากเขียนหนังสือไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แต่พอออกผลงานได้ไม่นานก็ต้องเงียบหายไป พอรู้สึกอยากเขียนอะไรที่เติบโต มีสาระ และได้พัฒนาตัวเองมากขึ้น แต่ก็กลับไม่มีใครอยากพิมพ์งานให้เรา น้อยใจว่าทำไมเราซึ่งนั่งทำงานแทบตาย วันหยุดไม่เคยได้ออกไปไหนเลย กลับไม่ได้พิมพ์งานสักที หมดศรัทธาไปทุกอย่าง ไม่อยากฝันแล้ว ไม่อยากทำอะไรแล้ว
ยังถือว่าดีที่ตัวเองพอจะมีหัวคิด คือเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ไหนๆ มันไม่ได้พิมพ์ก็ลองเขียนอะไรที่เราอยากจะเขียนจริงๆ ไปเลย ก็เลยได้ทดลองแนวต่างๆ ทั้งไพรัชนิยาย สืบสวน (ยังเป็นแบบเด็กๆ) หรือลิเกฝรั่ง มันกลายเป็นการระดมสรรพาวุธมาไว้ในคลังจนได้เอามาใช้อย่างถูกทางถูกเวลาในที่สุด
คนส่วนใหญ่จะคิดว่าความสำเร็จของผมคือการได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดนะครับ แต่เอาจริงๆ สำหรับตัวเองแล้วความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือวันที่เขียนกาหลมหรทึกจบลงได้ภายในเวลาแค่สามเดือนต่างหาก เพราะเป็นแนวที่ไม่เคยคิดฝันเลยว่าตัวเองจะเขียนได้ นอกจากมีตำรวจเป็นคนนำเรื่องแล้วยังเป็นนิยายย้อนยุคอีก
คือถ้ากลับไปถามปราปต์ในช่วงที่เขียนรักต้องปล้ำ ว่าคิดว่าตัวเองจะสามารถเขียนเรื่องแบบกาหลได้มั้ย ไอ้ปราปต์ในตอนนั้นคงหัวเราะแล้วหาว่าคนถามบ้าอ่ะ แต่นี่ปรากฏว่าเราเขียนได้เว้ยเฮ้ย เขียนได้ค่อนข้างดีอย่างที่อยากจะให้มันเป็นอีกตะหาก ความรู้สึกเหนื่อยเหมือนวิญญาณจะหลุดระหว่างสามเดือนนี่มันหมดไปเลย ความสงสัยในตัวเองที่มีมาก่อนหน้านั้นก็พลอยหมดไปด้วย คือเราได้เติมเต็มตัวเอง เป็นการยอมรับและเห็นคุณค่าของตัวเองแบบที่ไม่ต้องให้ใครมาการันตีเลย
นี่คือชัยชนะที่ล้ำค่าที่สุดที่ได้จากกาหลมหรทึกครับ
ที่มาที่ไปของหนังสือเล่มนี้ กาหลมหรทึก เกิดขึ้นได้อย่างไร
เกิดจากไอเดียเกี่ยวกับการละเล่นของกวีโบราณประเภทหนึ่งครับ ผมได้ฟังจากวิทยุระหว่างเดินทางไปต่างจังหวัด ตอนฟังก็รู้สึกว่าเอ้อ...ของไทยนี่มีอะไรดีๆ แบบนี้ด้วยแฮะ น่าจะเอามาทำเรื่องลึกลับแบบแดน บราวน์ได้เลย แต่ก็เป็นแค่ไอเดียซึ่งเก็บไว้นานมาก เพราะอย่างที่บอกว่าไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเขียนได้ และถ้ายังคิดว่าตัวเองจะเขียนให้ดีไม่ได้ก็ไม่ควรจะเขียน เสียดายอ่ะถ้าจะไปทำให้พล๊อตดีๆ มันพังลง
นานหลายปีต่อมาจนถึงจุดที่บอกว่าจิตตกสุดๆ แล้วน่ะครับ เขียนเรื่องที่ตัวเองอยากเขียนก็แล้ว ตลาดอยากอ่านก็แล้ว สุดท้ายก็ไม่เห็นจะสำเร็จจริงๆ ซักที เริ่มรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วเว้ย คนอื่นๆ เพื่อนที่ทำงานเขามีกิจการของตัวเองบ้างอะไรบ้างแล้ว แต่เรายังไปไม่ถึงไหนเลย นั่งเขียนหนังสือก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ตอนนั้นเริ่มรู้สึกแล้วว่าเราโชคร้ายที่อยากเขียนหนังสือ ความรักในสิ่งนี้ของเราเหมือนสาปเราให้เป็นคนไม่ก้าวหน้า เพราะเราเชื่อว่าเราเก่งนะ ถ้าเราไม่มาติดแหง็กอยู่ตรงนี้ เราจะมีหน้าที่การงาน หรืองานอดิเรกอะไรที่ไปไกลกว่าคนอื่นๆ ซะอีก แต่เราทำอะไรไม่ได้เลย เพราะต้องคอยเผื่อเวลามาเขียนหนังสือตลอด
ตอนนั้นก็เลยคิดว่า เอาน่า ไหนๆ จะเลิกเขียนแล้วก็ลองส่งประกวดดูซักตั้ง ให้เวลาตัวเองส่งเรื่องไปประกวดทั่วราชอาณาจักรซักปีนึงเป็นไง ถ้ามันไม่ได้อะไรเลยแสดงว่าควรสำเหนียกแล้วว่างานของตัวเองมันห่วยจริงๆ เราไม่ใช่ตัวจริง และควรหอบกระเป๋าออกจากบ้านเอเอฟได้แล้ว เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า อย่าได้ดันทุรังอยู่ต่อไปเลย
ตอนนั้นได้ข่าวรับผลงานเข้าร่วมประกวดโครงการนายอินทร์อะวอร์ดพอดี เหลือเวลาอีกประมาณสามเดือน แล้วปีนี้มันเป็นแนวสืบสวนพอดีด้วย ซึ่งเรามีไอเดียอันเก่าที่คิดว่ามันโคตรเจ๋งอยู่ในกรุอยู่แล้ว ก็เลยลองเอามาปัดฝุ่น คิดนู่นเติมนี่ หาข้อมูลไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายมาเป็นกาหลมหรทึกครับ
ทุกวันนี้มองกลับไปเลยรู้สึกว่าอดีตอันเจ็บปวดนี่มันเป็นความท้าทายของพระเจ้า เป็นเหมือนพรที่ทดสอบและให้โอกาสเราสะสมเลเวลนะ 555 ถ้าไม่มีช่วงเวลานั้น ถ้าได้พิมพ์งานต่อมาเรื่อยๆ ป่านนี้ก็คงยังเขียนเรื่องอะไรก็ไม่รู้อยู่ต่อไป จะไม่มีวันได้ทำงานแบบที่เราอยากทำจริงๆ และจะไม่มีกาหลมหรทึกอย่างแน่นอน
ตอนเลือกคาแร็กเตอร์ตัวละครและเขียนถึงสถานการณ์ต่างๆ ในเรื่อง ทำการบ้านอย่างไร เพราะว่าเนื้อหาค่อนข้างละเอียดยิบ เป็นเรื่องที่ย้อนไปคนละยุค ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
อาศัยอ่านงานที่เราชอบหรือใกล้เคียงกับเรื่องที่เราเขียนอยู่ครับ อย่างตอนเขียนนี่เปิดจิตกาธานของคุณสรจักร เปิดงานซิดนีย์ เชลดอน เปิดคินดะอิจิ แล้วก็ไปซื้อประชาธิปไตยบนเส้นขนานมาอ่านทั้งที่ปกติไม่อ่านงานของคุณวินทร์เลย (เพราะเคยอ่านสิ่งที่มีชีวิตที่เรียกว่าคนแล้วไม่รู้เรื่อง)
ตอนแรกนี่เกร็งไปหมดเพราะคลำทางไม่ถูกว่าเราควรจะอะไรยังไง ควรจะใส่ปริศนาตรงไหน แล้วเรื่องสมัยโบราณคืออะไรยังไงบ้าง ยิ่งเป็นคนไม่แม่นประวัติศาสตร์อยู่แล้วยิ่งไปกันใหญ่ แต่พอสู้ไปซักตอนสองตอนแล้วก็เริ่มไหลขึ้น เริ่มจับทางได้ว่าควรจะทำยังไง
ถ้าให้อธิบายก็อธิบายไม่ถูกนะครับ แต่มันเหมือนเราเริ่มสนุกและวางภาระลง จากนั้นก็ทำให้วิ่งเร็วขึ้นได้อย่างที่ใจอยาก กลายเป็นสนุกกับการวิ่งไปเลย เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าทำการบ้านยังไงก็คงไม่มีอะไรที่เป็นเคล็ดลับสำคัญนอกจากการหาความรู้มาตุนไว้ครับ อ่านมากๆ ให้มันตกผลึก ไปเดินซึมซับในสถานที่จริงบ้าง
อ้อ มีอีกอย่างที่ฟ้าประธานมาก คือตอนนั้นมีละครอีสาที่คุณนุ่น วรนุช แสดงพอดี แล้วมันเป็นเหตุการณ์ในช่วงเดียวกันกับเรื่องที่เราเขียนด้วย ส่วนนี้ก็ช่วยให้เราจินตนาการเห็นภาพความเป็นอยู่และฉากในสมัยนั้นได้ชัดเจนขึ้นครับ
ทั้งหมดนี้ ทำภายในสามเดือน...?
สามเดือนครับ ไอเดียมีแค่รูปแบบกวีอันนั้น แล้วสามเดือนที่ว่าก็จับทุกอย่างมายำและสร้างใหม่หมดจนจบเป็นต้นฉบับประมาณ 120 หน้าเอสี่
รางวัลนายอินทร์อะวอร์ด...? ความรู้สึกที่มีต่อรางวัลนี้ ก่อนได้ - - หลังได้ แตกต่างกันอย่างไร
เอาจริงๆ ผมเป็นคนไม่ชอบอ่านงานรางวัลเพราะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อและอ่านไม่รู้เรื่อง (ถึงทุกวันนี้ก็ยังค่อนข้างคิดแบบนั้นอยู่) งานรางวัลนายอินทร์ฯ ยิ่งไม่เคยผ่านตาเลย แต่นับว่าเป็นเรื่องดีนะครับ เพราะถ้าผ่านตามาก่อนแล้วรู้สึกว่ามันดีมาก ผมอาจจะไม่กล้าส่งก็ได้ ด้วยความที่ไม่รู้อะไร ก่อนส่งก็เลยคิดแค่ว่ามันเป็นโครงการๆ หนึ่ง ที่น่าจะเป็นตัวตัดสินได้ว่างานเรามีค่าขนาดที่เราภูมิใจมั้ย และถ้างานเรามีค่าจริง มันก็น่าจะช่วยให้เรามีโอกาสเป็นที่รู้จักนะ ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านี้เลย
กระทั่งได้แล้วถึงเพิ่งมารู้ว่ามันยิ่งใหญ่มากกว่านั้นตั้งเยอะ หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครได้รางวัลนี้ ผู้เข้ารอบร่วมกับผมเองก็เป็นมืออาชีพที่สอยรางวัลกันมาแล้วยาวเป็นหางว่าว และคนได้รับรางวัลยอดเยี่ยมก็จะได้เข้ารับพระราชทานโล่จากพระเทพฯ ด้วย (นี่เป็นอีกคำตอบที่ถ้าที่อื่นถามจะไม่กล้าพูดความจริงซึ่งน่าอายมากๆ ตรงไปตรงมาอย่างนี้นะครับ 555 แล้วสรุปว่าตอบแบบนี้พี่ที่โครงการเขาจะมายึดรางวัลจากผมคืนไปมั้ยอ่ะครับ เอิ๊ก!)
แผนการในอนาคต หลังได้รางวัล คิดว่ากดดันมากขึ้นไหม เพราะเล่มต่อไป คนน่าจะคาดหวัง...?
ตอนแรกคิดว่าไม่กดดัน แต่ตอนนี้เริ่มกดดันละครับ 555 เริ่มรู้สึกเหมือนคนเขียนหนังสือไม่เป็น เพราะตั้งรับกับเสียงของคนอ่านไม่ทัน ทั้งด้านดีและด้านร้าย แต่ก็พยายามมองในแง่ดีว่ามันเป็นพรอีกประการที่มาทดสอบเรา ทำให้เราต้องพัฒนาตัวเองขึ้นไปให้ได้อีกขั้น และเราจะได้รู้สึกภาคภูมิใจในงานของตัวเองแบบเดียวกับเวลาที่เปิดกาหล
แนะนำน้องๆ เรื่องการเขียนหน่อย
เป็นตัวของตัวเองและอย่าหยุดยั้งครับ คำว่าอย่าหยุดนี่หมายรวมถึงการเรียนรู้ด้วย ความผิดพลาดมันจะเป็นเพชรหรือเป็นกรวดในมือเราก็ขึ้นอยู่กับเราจะเอามันไปทำอะไรต่อ
สำหรับผมแล้วไม่มีคำแนะนำไหนที่ดีไปกว่าการเรียนรู้ด้วยตัวของตัวเอง เพราะเราจะรู้เองว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเราครับ ความผิดพลาดมันเรียกร้องกำลังใจ และความถึกในตัวเรา อาจจะต้องผ่านการเจ็บปวดบ้างและสำเร็จช้าหน่อย แต่ยืนยันว่าปึ้กนะ อิอิ
อยากขอบคุณอะไรใครบ้าง เปิดโอกาสให้ 55
พี่อาจต้องใช้คลังข้อมูลใหญ่เท่าเฟซบุ๊คเลยนะครับเพื่อรองรับจำนวนคนที่ผมอยากขอบคุณ 555 คนส่วนใหญ่ที่อยากขอบคุณผมได้เอ่ยถึงไปแล้วในหนังสือ งั้นตรงนี้ขอพูดถึงคนที่ยังไม่ได้ขอบคุณละกันนะครับ
แน่นอน ขอบคุณเว็บเด็กดีที่เป็นเหมือนศาลให้สิงสถิตมาแต่ไหนแต่ไรนะครับ 555 ขอบคุณทีมงานทุกคน ขอบคุณพี่โน้ต พี่อติน พี่ๆ เพื่อนๆ ถึงตอนนี้น่าจะเริ่มมีน้องๆ แล้วล่ะ ขอบคุณทีมงานทุกคนที่ผมรู้จักและไม่รู้จัก ขอบคุณเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊ค พี่ชมพู่ พี่พุด และพี่ๆ เพื่อนๆ ท่านอื่นๆ ที่ช่วยอุดหนุนแล้วยังอุตส่าห์สละเวลามารีวิว และสนับสนุนหนังสือของผมกันอย่างต่อเนื่องนะครับ เราไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยมีอะไรให้กันมาก่อนเลย แต่ทุกคนมีน้ำใจที่บริสุทธิ์จริงๆ นี่เป็นอีกสิ่งที่ดีงามมากๆ ซึ่งได้จากการเขียนหนังสือเล่มนี้ครับ
ขอบคุณพี่นาคินทร์ พี่หวาน พี่ปุ๋ย พี่ฝน พี่อาทิตย์ พี่วิว พี่แก้ม คุณตุ๊กติ๊ก และใครต่อมิใครที่นับไม่ถ้วนเอ่ยชื่อไม่หมดในอมรินทร์ ทุกคนดีกับผมมากๆ ช่วยเหลือและให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นจริงๆ ครับ เป็นความประทับใจที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย เอาแค่นี้ก่อนละกัน ถ้ามีสัมภาษณ์คราวหน้าค่อยมาขอบคุณกันต่อนะ 555
บอกลา ฝากมายไอดี และแฟนเพจในเฟซด้วยนะ
บอกลา? ไม่บอก เพราะยังวนเวียนอยู่แถวนี้แหละ 555 มายไอดีเข้าไปก็ไม่มีอะไร งั้นขอฝากหน้านิยายไว้แทนละกันนะครับ ผมเคยบอกเสมอว่าเป้าหมายที่อยากให้อ่านเรื่องนี้มากที่สุด คือเด็กๆ และวัยรุ่น เพราะเขาจะได้มีโอกาสซึมซับความน่าประทับใจของศิลปะไทย และเขาอาจได้แรงบันดาลใจในการสืบสานภารกิจนี้ต่อไปจากผม ถ้าใครสนใจและยังกลัวเสียดายตังค์ 55
ลองเข้าไปอ่านตัวอย่างได้ก่อนนะครับ ที่นี่
กาหล มหรทึก@dek-d
แล้วจะพูดคุยกันที่บอร์ดนิยายหรือในเฟซบุ๊ค ‘ปราปต์’ ก็ได้ครับ
ขอบคุณครับ
จบกันไปแล้วกับบทสัมภาษณ์ที่เต็มไปด้วยเนื้อหาและอารมณ์... เข้าใจกันหรือยังล่ะว่าทำไมน้องปราปต์ถึงก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ก็เพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยยอมแพ้นั่นเอง แม้ว่าอาจจะมีช่วงท้อแท้หรือไม่สบายใจบ้าง แต่เขาก็ฟันฝ่าและลุกขึ้นมาจนได้ พี่ตินอยากฝากถึงน้องๆ ที่อยากเป็นนักเขียนทุกคน ทางสายนี้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย ต้องอดทนและต้องต่อสู้ มีอะไรหลายๆ อย่างมากมาย ถ้าใครรักอยากเป็นนักเขียน... ขอให้ดูปราปต์เป็นตัวอย่างนะ ^ ^ ไม่แน่ สักวันอาจจะได้เป็นเหมือนน้องเขา แล้วมาคุยกับพี่ตินตรงนี้ก็ได้
จนกว่าจะถึงวันนั้น พี่ตินรอทุกคนอยู่นะ ^ ^
เฉพาะชาวเด็กดี!
ใครที่เข้าไปเล่น Visual Novel แล้ว ในนั้นจะมีฉากนึงที่เราได้เห็น
1 ในรอยสักปริศนาซึ่งเป็นเบาะแสสำคัญของคดีฆาตกรรมนี้
คำถาม
"รอยสักนั้นเป็นคำว่าอะไร และอยู่ตำแหน่งใดของร่างกายผู้ตาย"
ผู้ตอบถูกลุ้นรับหนังสือ 'กาหล มหรทึก' จำนวน 5 รางวัล
หมดเขตร่วมสนุก 23 ตุลาคม เวลาเที่ยงคืน
ประกาศผลผู้โชคดี 24 ตุลาคม
*กิจกรรมนี้ต้องล็อกอินตอบเพื่อยืนยันตัวตน ใครที่ยังไม่ได้สมัครสมาชิกเด็กดี คลิกที่นี่เลย*
อ่านบทสัมภาษณ์ปราปต์เมื่อ 8 ปีก่อนได้ที่นี่ (ยังหาเจออยู่)
28 ความคิดเห็น
รอยสักนั้นเป็นคำว่าเจ้า และสักอยู่ใกล้ๆกับข้อมือเป็นแนวนอนค่ะ
รอยสักเป็นคำว่า 'เจ้า' สักไว้บนหลังข้อมือข้างขวาค่ะ
อ่านแล้วค่า
ได้แรงบันดาลใจเยอะเลย
ขอบคุณคุณตินค่ะ / ขอบคุณคุณปราปต์ด้วยค่ะ
ยินดีด้วยกับความสำเร็จคุณปราปต์
เคยอ่านตั้งแต่เรื่อง"รักต้องปล้ำ"(บ่งบอกอายุ )
รายสักคำว่า 'แพะ' หลังข้อมือขวาครับ
รอยสักสักว่า'เจ้า' อยู่ที่ข้อมือด้านขวาค่ะ
เราจะไปได้ถึงครึงหนึ่งของเขามั้ยน้าาาา
หลังจากที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์แล้ว มันทำให้เรามีกำลังใจขึ้นเยอะเลย ขอยกให้พี่ปราปต์เป็นไอดอลเลย ตอนนี้เราก็พยายามฝึกเขียนอยู่ ถึงแม้นิยายที่เราแต่งคนจะไม่ค่อยเข้ามาอ่านก็เถอะ... ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป
อ่านแล้วรู้สึกอยากเขียนเลยค่ะ
ขอตอบคำถามนะคะ
รอยสักเป็นคำว่าเจ้าอยู่บนหลังข้อมือขวาของผู้ตายค่ะ
รอยสักคำว่า"เจ้า"อยู่ตรงหลังข้อมือข้างขวาค่ะ
เหย้า ตรงหน้าผาก
แพะ ตรงหลังข้อมือข้างซ้าย
ทิ้ง ตรงใต้ตาตุ่มข้างขวา
พงส์ ตรงใต้ตาตุ่มข้างซ้าย
บอกก่อนเลยว่าใช้"การเดา"ล้วนๆค่ะ ไม่แน่ใจเลยสักข้อ แต่ไปเล่นเกมของพี่มาแล้วสนุกมาก
อยากได้หนังสือ(ฟรี)จริง ฮ่าๆ แต่ถ้าไม่ถูกไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวค่อยหาซื้อเอา เป็นนิยายที่อ่านคำโปรยแล้วมีเสน่ห์มาก ภาษาก็สวย เขียนลื่นด้วย ชอบมากค่ะ ^^
ยินดีด้วยค่ะ ^^
รอยสักอยู่บริเวณข้อมือด้านขวาของผู้ตายซึ่งรอยสัก สักเป็นคำว่า เจ้า
รอยสักคำว่า เจ้า สักบนหลังข้อมือขวาค่ะ
เป็นรอยสักคำว่า 'เจ้า' อยู่บนหลังข้อมือข้างขวาค่ะ
ถ้าน้องปราปต์มาทันยุค /entertain ก็นับเป็นรุ่นแรกแล้วครับ (ฮา)
รอยสักบนข้อมือ คำว่า "เจ้า"
น่าติดตาม ย้อนยุคแอบสยองงแน่ๆ
เสียงดนตรีตอนเล่นเกมหลอนไปนะ (พิมพ์ดีด กับดนตรีไทย)
รอยสัก คำว่า เจ้า อยู่บนหลังมือขวาค่ะ
เรามีหนังสือเรื่องรักต้องปล้ำด้วยล่ะค่ะ ไม่แปลกใจเลยที่ชนะ ^^