เขียนฉากรบ "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง เขียนร้อยครั้ง" [ตอนจบ]

        กลับมาเจอกันอีกแล้ว บทความนี้เป็นภาคต่อของบทความก่อนนะคะ ใครยังไม่ได้อ่าน คลิกที่นี่ เพื่อกลับไปอ่านก่อนเลย
        ส่วนคนที่อ่านแล้ว เราคงพร้อมออกรบกันแล้วใช่ไหมคะ? ต่างคนต่างมีข้อมูลของตัวเอง มีฉากสงครามของตัวเองกันแล้วนะ มา! จับคีย์บอร์ดของใครของมันเลย (หรือจะจับปากกา ดินสอ ไม่ว่ากัน)
        จะเริ่มเขียนฉากรบนั้นก่อนอื่นต้องเข้าใจธรรมชาติของฉากนี้ก่อน สงคราม ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามันยิ่งใหญ่ ทหารสองกลุ่มมาสู้กันไม่เรียกว่าสงคราม แต่ทหารทั้งเมืองออกมาสู้กันต่างหากคือของจริง เนื่องจากมันเป็นฉากที่ต้องใช้พื้นที่กว้าง ตัวละครเยอะ และมีหลายการกระทำในหนึ่งฉาก ทำให้ต้องระมัดระวังกว่าการเขียนฉากคนยืนคุยกันธรรมดา
 

ร่างแผนที่สมรภูมิเพื่อให้เห็นภาพ

        ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีฝีมือด้านการวาดรูป แต่อย่างน้อยเราต้องมีภาพในหัวนะว่าสมรภูมินี้มีภูมิประเทศแบบไหน เนินอยู่ตรงไหน มีภูเขาบ้างไหม แม่น้ำล่ะ ไม่ต้องวาดเป็นกิจลักษณะ เขียนเป็นตัวหนังสือแทนก็ได้ หรือถ้าใครสู้กันกลางอวกาศ ก็เอาให้ชัวร์ว่ารอบๆ นั้นไม่มีดาวเคราะห์น้อย อุกกาบาตอะไรลอยอยู่เลย เป็นที่โล่งจริงๆ
 

 

เลือกมุมมอง

        มุมมองที่ดีที่สุดสำหรับการบรรยายฉากรบคือมุมมองบุคคลที่ 3 (เป็นแบบพระเจ้าก็ดี แต่ไม่มีก็ได้) แต่ถ้าเราเลือกมุมมองสำหรับเรื่องทั้งเรื่องของเรามาแล้วก็คงไม่แคล้วต้องใช้ต่อไป ที่ให้เลือกมุมมองบุคคลที่ 3 เพราะ
  • มุมมองบุคคลที่ 1 (ฉัน, ผม) เป็นมุมมองที่จำกัดมาก คนอ่านรู้เท่ากับตัวละคร เห็นเท่ากับตัวละคร ถ้าตัวละครอยู่กลางสมรภูมิจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นรอบๆ บ้าง
  • มุมมองบุคคลที่ 3 ถึงตัวละครจะมองข้างหน้าอยู่ แต่เรามีสิทธิบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหลังตัวละครได้ บรรยายถึงเหตุการณ์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวละครได้
  • ถ้าเล่าแบบมุมมองพระเจ้า เราสามารถพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนอกสมรภูมิได้เลยด้วยซ้ำ
     

 
        ถ้าเป็นไปได้ เลือกมุมมองบุคคลที่ 3 แต่ถ้านิยายของเราเหมาะกับมุมมองบุคคลที่ 1 จริงๆ ก็ต้องหาวิธีแก้ขัดกันไป
 

บรรยายภาพรวมของสงคราม

        ไม่ว่าเราจะเริ่มฉากรบนี้จากจุดไหน เริ่มตั้งแต่ตอนกรีฑาทัพ ตอนวางแผนรบกันในเต๊นท์ หรือเปิดมาก็ฟันกันเลย แต่ทุกคนจะเจอจุดหนึ่งที่บีบให้เราต้องบรรยายภาพรวมของสงคราม ณ ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร วุ่นวายแค่ไหน
        การบรรยายเราจะไม่บรรยายแบบกระโดดไปมา ต้องหาจุดเริ่มต้นสักจุด แล้วบรรยายไล่ไปเรื่อยๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อให้คนอ่านค่อยๆ ต่อจิ๊กซอว์ขึ้นในหัว จุดนี้แผนที่ช่วยเราได้ ถ้าเรามีแหล่งข้อมูลอ้างอิง เวลาเรากลับมาบรรยายอีกครั้งจะได้ไม่มีข้อมูลตรงไหนผิดไป
 
         สองทัพตั้งประจันหน้ากลางที่ราบโล่ง สภาพอากาศวันนี้ช่างเอื้อประโยชน์ต่อการเสียเลือดเนื้อ ท้องฟ้าปลอดโปร่งปราศจากก้อนเมฆ ส่งแสงทอดยาวลงมาอาบไล้ผืนหญ้าสีน้ำตาลอ่อน ทัพของเจ้าชายอิงกัลหันหลังให้กับผาสูงชันซึ่งทอดตัวต่อมาจากเขาสองด้าน เว้นที่ไว้ไม่บรรจบกันราวห้าสิบหลาทำให้เกิดเป็นช่องแคบเหมาะแก่การถอยร่นทัพหากเสียเปรียบ กองธนูสองกองซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้บนผา พร้อมยิงเมื่อได้รับคำสั่ง
        ฝั่งตรงข้ามคือทัพของโซลาส ตาเดียว หัวหน้ากลุ่มกบฎ อดีตทหารรับจ้างของกษัตริย์องค์ก่อน ด้วยวิวาทและสังหารนายกองคนหนึ่งของกองทัพจึงหลบหนี และลงเอยด้วยความโกรธแค้นที่ถูกตามล่า ตอบโต้ด้วยการรวมกลุ่มกับเหล่านักโทษหลบหนีและผู้ถูกเนรเทศจนกลายเป็นกองทัพที่มีกำลังเข้มแข็งมาจนถึงวันนี้
 

ซูมกล้องเพื่อเน้นตัวละครของเรา

        เราพูดถึงฉากรบเป็นภาพรวมคร่าวๆ เพื่อให้คนอ่านรู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น เห็นความยิ่งใหญ่น่ากลัวของสงครามนี้ เมื่อเราบรรยายพอแล้วค่อยซูมเข้าไปหาตัวละครของเราเพื่อบอกตำแหน่งว่าเขาอยู่ตรงจุดไหนในฉาก แล้วเริ่มเข้าเรื่อง ฉากนี้ต้องการสื่ออะไร ใส่ไปให้หมด
       
        เจ้าชายอิงกัลประจำอยู่บนหลังม้าสีดำสนิทในชุดเกราะประจำตัวที่มีรอยบุบบริเวณไหล่ซ้ายและหน้าท้องด้านขวา รอยนี้เกิดจากการรบครั้งก่อน เขาไม่มีเวลาให้ช่างซ่อมเกราะของตนเองเพราะต้องนำทัพต่อ และไม่ยอมใส่ชุดเกราะตัวอื่นที่นายกองเตรียมมาให้ ที่คาดอยู่ข้างซ้ายคือฝักดาบประจำตัว เป็นดาบเล่มใหญ่ที่ถูกตีขึ้นใหม่ตามคำสั่งของเขา ใช้เวลาฝึกกับมันสามปีจึงจะตวัดดาบเล่มนี้ได้โดยไม่อุทธรณ์ต่อน้ำหนักของมัน
         เขาสะบัดตะแกรงปิดหน้าขึ้น ควบม้าหันกลับมามองผู้ติดตามทั้งหมด
        "เราจะรอให้พวกนั้นเข้ามาก่อน" เจ้าชายหนุ่มหันไปสั่งเพโตร นายกองที่อยู่ใกล้ที่สุด "พลธนูข้างบนพร้อมแล้วใช่ไหม"
         เพโตรพยักหน้า "เพียงท่านให้สัญญาณ"
         เจ้าชายอิงกัลสูดลมหายใจ แล้วตะโกนเรียกขวัญกำลังใจทหาร เมื่อทัพของเขาส่งเสียงร้องด้วยความฮึกเหิม อีกฝ่ายก็ส่งเสียงโห่ร้องตามมาติดๆ โซลาสนำทัพของตัวเองพุ่งตรงเข้ามา พลทหารที่ประจำอยู่หน้าสุดเตรียมตั้งรับด้วยโล่และหอกในมือยื่นออกไปรอรับการโจมตี เจ้าชายหนุ่มค่อยๆ ดึงม้าถอยกลับมาเข้ามาแทรกอยู่ระหว่างกอง แล้วยกมือขวาขึ้น
         เมื่อหน้าทัพฝ่ายตรงข้ามเข้ามาในระยะที่พอเหมาะ เจ้าชายก็สะบัดแขนลงทันควัน เป็นสัญญาณให้พลธนูที่ประจำอยู่บนผาทั้งสองด้านและพลธนูแถวหลังปล่อยฝูงธนูชุดแรกออกไป
         "โซลาสไม่ได้อยู่แถวหน้า!" เพโตรตะโกนบอกแม่ทัพของตน "มันถอยไปก่อนจะถึงระยะธนู มันรู้!"
         เจ้าชายยิ้ม ตะโกนตอบ "ถ้ามันตายเพราะลูกธนูแค่นี้ เราคงไม่ต้องมาตั้งทัพที่นี่แต่แรกหรอก ท่านนายกอง" เขาดึงตะแกรงปิดหมวกเหล็กของตนตามเดิม แล้วชักดาบ ใช้โกลนกระแทกสีข้างม้าเป็นสัญญาณให้มันเริ่มเคลื่อนไหว
          "โซลาสไม่ใช่คนที่ข้ากลัวเลย" ประโยคสุดท้ายเขาพูดกับตนเอง
          ไม่เลย...ที่น่ากลัวกว่าคืออีกคนต่างหาก อีกคนที่เขายังมองไม่เห็น
 

อย่าให้แต่ข้อมูล ใส่อารมณ์ด้วย

        บางทีเรามัวแต่บรรยายว่าตัวละครฟันดาบยังไง หลบธนูที่พุ่งมาจากด้านบนยังไง จนลืมพูดถึงสิ่งที่อยู่ในหัวตัวละคร เหนื่อยไหม ร้อนไหม กลัวตายไหม เจ็บไหม ตัวละครของเราเห็นภาพสงครามตรงหน้าแล้วรู้สึกยังไง
 
        นับตั้งแต่กษัตริย์เดรค ผู้ทรหด ประกาศตั้งราชอาณาจักรและขยายอำนาจออกไปยังเมืองรอบๆ จนมีแผ่นดินเป็นปึกแผ่นได้ขนาดนี้ อาณาจักรเธออสก็ไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ทัพใด และจะไม่มีวันปราชัยในสงคราม
        อิงกัล เจ้าชายผู้สืบทอดราชบัลลังก์คนปัจจุบันก็ตั้งใจไว้เช่นนั้น แต่เขาไม่เคยลืมการตัดสินใจของเขาในสมรภูมิครั้งก่อน
        ไม่เคยลืมสายตาคู่นั้นที่มองมายังเขาด้วยความผิดหวัง
        เจ้าไม่ควรผิดหวังในตัวข้า...เจ้ารู้ว่าข้าต้องทำ...เจ้ารู้
        ตอนนี้รอบตัวเจ้าชายอิงกัลมีเพียงความวุ่นวาย มันไม่ใช่สงคราม แต่เป็นการเอาตัวรอด หลังจากนำทัพมาได้เจ็ดปีเขาก็เริ่มคุ้นชินกับภาพแบบนี้เสียแล้ว ช่างน่าสมเพชและน่าเศร้าใจที่มนุษย์ต้องมาฆ่าฟันกันเอง
        เขาตวัดดาบใส่สีข้างฝ่ายศัตรูที่กำลังเงื้อดาบพร้อมโจมตี แรงกระแทกของเหล็กกล้ากับเกราะทองแดงผุๆ ทำให้เกราะมีรอยแตกและคนใส่จุกจนพูดไม่ออก อิงกัลเดาว่าชายคนนี้คงเคยเผลอฆ่าใครสักคน จนต้องทิ้งครอบครัวและหลบหนีออกนอกเมือง ชายคนนั้นทรุดลงคุกเข่ากับพื้น อ้าปากพะงาบเพื่อเอาอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด แต่ดวงตานั้นยังจับจ้องอยู่ที่อิงกัล มองเหมือนกับเขาคือเทพแห่งความตายที่กำลังจะมาจบชีวิตอนาถนี้เสียที
        เจ้าชายหนุ่มยกดาบขึ้นอีกครั้งแล้วเหวี่ยงเป็นแนวขนาน ตัดผ่านลำคอของชายตรงหน้า เลือดสีแดงกระจายมาจนถึงถุงมือเหล็ก กลายเป็นรอยเปื้อนอีกรอยที่จะถูกชะล้างออกหลังเสร็จศึก
 

นึกถึงความเป็นจริงไว้ตลอด

        บางทีฉากรบในนิยายแฟนตาซีก็โอเวอร์ไป เช่น ตัวละครแค่ไม่กี่ตัวสู้กับคนทั้งกองทัพได้ พระเอกกระโจนเข้าไปในสนามรบ ไม่พลาด ไม่บาดเจ็บอะไรเลย ถ้านิยายเราไม่ได้เน้นเรื่องการรบอะไรมาก แค่มีฉากนี้เพราะพล็อตมันพาก็ตามใจ
        แต่ถ้านิยายของเราคือนิยายสงครามอย่างแท้จริง เจ็บจริง ตายจริง ไม่มีแสตนด์อิน ให้นึกถึงความเป็นจริงไว้เสมอ
        สงครามมันคือการสูญเสีย เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน เสียทั้งชีวิต และที่สำคัญ ทหารหลายคนเสียจิตวิญญาณไปในสนามรบ ทหารมีเหนื่อย เมื่อย มีพลาด บางทีฟันโดนแต่ไม่เข้าเพราะหมดแรง รบกันอยู่ดีๆ เหงื่อไหลลงมาโดนตาก็ตายได้
        ยอมให้ตัวละครสุดรักสุดหวงของเราบาดเจ็บบ้าง เพื่อให้คนอ่านลุ้นว่าสงครามนี้เขาจะชนะไหม แอบใส่ความเป็นไปได้เล็กๆ ที่ตัวละครจะแพ้ไว้ ผลลัพธ์ของมันอาจจะไม่ถึงกับแพ้แล้วตาย (เพราะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว) แต่แพ้แล้วมีผลลัพธ์อื่นตามมาน่าลุ้นกว่า
 
        อิงกัลไม่ทันได้มองด้านหลัง เขาเพียงรู้สึกว่ามีบางอย่างกระแทกหมวกเหล็กของเขาแล้วกระเด็นออกไป เขารีบหมอบลง ใช้มือบังหน้าแล้วหันหลังกลับ ลูกธนูตกอยู่บนพื้น ถ้าดูจากทิศทาง มันไม่ได้มาจากฝั่งทหารของโซลาส
        แต่มาจากฝั่งเขาเอง
        "เดล!"
        เขาหมอบต่ำขณะเคลื่อนตัวไปยังทิศที่ธนูลอยมา ยกดาบขึ้นพร้อมป้องกัน ทหารของโซลาสคนหนึ่งวิ่งเข้ามาทางเขาพร้อมสะบัดดาบ อิงกัลใช้ดาบของตนกันไว้ แล้วรีบถอยหลังออกมา ชุดเกราะทำให้เขาเสียหลักล้มลงกับพื้น แต่เขาพลิกตัวหนีปลายดาบที่เฉี่ยวผ่านลำคอไปได้ อีกฝ่ายเป็นนักรบมีฝืมือ เขาพยายามลุก แต่อีกฝ่ายไม่รอ คราวนี้ปลายดาบพุ่งเข้ามาตรงลำคอ ตั้งใจจะแทงผ่านช่องว่างระหว่างหมวกเหล็กกับชุดเกราะ อิงกัลเอาดาบปัดออกไปสุดแรงเพื่อให้อีกฝ่ายเสียการทรงตัว ซื้อเวลาให้ตัวเอง เขาลุกขึ้นได้ทัน กล้ามเนื้อต้นแขนปวดล้าเพราะน้ำหนักชุดเกราะกับดาบคู่ใจ เขาอยู่ในสมรภูมินานเกินไปแล้ว
        "ท่านแม่ทัพ!"
        เจ้าชายอิงกัลเหลือบตามองคนที่ยืนอยู่หลังคู่ต่อสู้ของเขา เพโตรใช้ดาบแทงเข้าที่สีข้างของศัตรู แล้วผลักร่างไร้ชีวิตออกไปด้านข้าง เขารีบวิ่งมาหาเจ้าชายตน แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ลูกธนูก็พุ่งเข้าปักดวงตาข้างขวาของนายกองคนสนิท
        เงียบงันไปชั่วขณะ แม้แต่เสียงเหล็กกระทบกันก็ฟังดูห่างไกลออกไป เจ้าชายอิงกัลลากสายตามองย้อนไปยังทิศทางที่ลูกธนูพุ่งมา แล้วเขาก็เห็นคนที่เขากลัวที่สุดกำลังนั่งอยู่บนพื้นในท่าคุกเข่าท่าเดียวกับที่ทหารใช้ทำความเคารพกษัตริย์
        แต่ในมือกลับยกธนูขึ้นเล็งมาทางนี้
        "เดล"
 

สัมผัสทั้ง 5 และกริยาน่าสนใจ

        เวลาเราคิดไม่ออกว่าเราจะบรรยายอะไรในฉากนี้ พี่น้องแนะนำว่าให้นึกถึงสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์เรา รูป (ตา) รส (ลิ้น) กลิ่น (จมูก) เสียง (หู) สัมผัส (มือ, เท้า) ดึงมาใช้เลย
        ตอนนั้นตัวละครเห็นอะไร ในปากลิ้มรสอะไรอยู่ ได้กลิ่นอะไรบ้างไหม เสียงที่เข้ามาในหูคือเสียงอะไร มือที่สัมผัสด้ามดาบอยู่เป็นอย่างไร แค่นี้ก็บรรยายได้หลายย่อหน้าแล้ว
        นอกจากนี้ก็ลองทำรายการ คำที่น่าสนใจสำหรับใช้ในการอธิบายการเคลื่อนไหวของทหาร จะได้ไม่ใช้แต่คำซ้ำๆ เช่น
  • แกว่งดาบ, ชักดาบ, สะบัดดาบ, กระชากดาบ, เหวี่ยงดาบ, ควงดาบ
  • จ้วง, แทง, ฟัน, หั่น, ตัด, เฉือน, เฉี่ยว, เฉียด, กรีด, ทุบ, พุ่งทะลุ,
  • ปล่อยหมัด, รัวมัด, เหวี่ยงหมัด, กระหน่ำหมัด, ยกหมัด
  • วิ่ง, เดิน, หมอบต่ำ, คลาน, กลิ้งตัว, หลบ, ย่อตัว, กระโดด, พุ่งตัว, โจนทะยาน, เซ, ถอยหลัง, ชะงัก, กระตุก, คุกเข่า, ทรุดตัว, ถลา
  • คำราม, กรีดร้อง, ก่นด่า, ตะโกน, ตะเบ็ง, สบถ
     
        จะเขียนฉากรบได้ต้องมีสติจริงๆ ค่ะ อย่าตระหนกเพราะเห็นว่าเป็นฉากใหญ่ พี่น้องแนะนำว่าค่อยๆ ไล่ไปทีละจุด เราไม่มีทางทำให้คนอ่านรู้ทุกอย่างได้ในประโยคเดียว เริ่มจากภาพรวม แล้วค่อยๆ ซูมเข้าไป ใส่รายละเอียด อยู่ตรงนั้นนานแล้ว ไหนลองค่อยๆ ถอยออกมา ให้ตัวละครมองรอบๆ อีกครั้ง ทำแบบนี้เพื่อให้คนอ่านตามเราไปได้ อย่าสับขาหลอก
        สุดท้ายนี้ วิธีการเขียนฉากรบให้ดี ต้องหมั่นหาข้อมูล และฝึกเขียน ยิ่งเรามีข้อมูลมาก เราก็จะมีอะไรให้เขียนมาก ยิ่งเราฝึกเขียนมาก เราก็จะชำนาญขึ้นจนฉากรบไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเราอีกต่อไป
 

ลองฝึกเขียนเยอะๆ นะคะ

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
http://www.stormthecastle.com/mainpages/for_writers/writing-a-fantasy-battle-scene.htm
http://danielottalini.com/2012/07/22/five-steps-to-writing-awesome-battle-scenes/
http://stephaniejhale.wordpress.com/2013/04/04/how-to-write-a-war-or-battle-scene-in-your-novel/
ภาพประกอบบทความ
Troy (2004) - Warner Bros. Pictures
พี่น้อง
พี่น้อง - Columnist คอลัมนิสต์

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

lionRise Member 28 พ.ย. 57 16:49 น. 1

ขอบคุณอย่างมากเลยค่ะ ประกาศไว้เลยว่า อีกไม่เกินสามปีประเทศไทยจะมีนักเขียนที่เก่งพอๆ กับ เจ.อาร์.อาร์.โทคิน เลยบอกตรง (เราเพ้อไว้ก่อน 555+)

โกรธแล้วนะ

0
กำลังโหลด
e-ram Member 29 พ.ย. 57 17:15 น. 4

ถ้าแนวสงครามมุมมมองที่ 1 ผมจะนึกถึงเรื่อง hunger game เล่ม 3 ตอนที่แคตนิสบุกเมืองหลวง ชื่อไรไม่รู้จำไมไ่ด้

เราจะเห็นแต่มุมมองของแคตนิสอย่างเดียว สภาพสถานการณ์รบอื่นๆจะไม่รู้เลยจนกว่าแคตนิสจะเห็นด้วยตาตัวเอง ซึ่งทำให้คนอ่านต้องจินตนาการร่วมด้วยว่ากองบุกกองอื่นๆก็กำลังคืบหน้าไปพร้อมๆกับแคตนิสเช่นกัน

0
กำลังโหลด
v-kun Member 1 ธ.ค. 57 11:05 น. 5

เป็นแนวทางการเขียนที่ดีมากครับ แต่ถึงกระนั้นเราก็ไม่อาจจะจำเป็นต้องยึดตามแนวทางการเขียนอย่างตรงตามลายลักษณ์อักษรเสมอไป เพราะการเขียนก็คือการใช้จินตนาการ และจินตนาการก็ไม่มีที่สิ้นสุด

การเขียนโดยใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่งอย่างเดียวโดยไม่ใช้มุมมองอื่นเลยก็ย่อมทำได้ เพราะมันจะสะท้อนภาพให้เห็นถึงความสิ้นหวังของสงครามมากกว่า ยกตัวอย่างให้นึกถึงหนังเรื่อง saving private ryan ตอนเริ่มเรื่องทหารก็วิ่งตีชายหาด ฝ่ากระสุนปืน เลือดสาดกระจาย ศพกองเป็นภูเขา ถามว่าคนดูรู้มั้ยว่านี่เข้าตีอะไรขนาดไหน อาจจะไม่ และถามว่าทหารราบตัวคนเดียว ที่ไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชาจะรู้มั้ยว่าสงครามนี้จะดำเนินไปยังไง เขาก็คงไม่รู้หรอ แต่รู้เพียงต้องทำตามภารกิจ และนี่จะตอกย้ำผู้อ่านถึงความโหดร้ายสิ้นหวังของสงครามได้มากกว่ามุมมองอื่น

นอกจากนี้อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้ในเรื่องสงครามคือ "พื้นหลัง" ครับ ไม่ใช่หมายถึงสมรภูมิ แต่หมายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดการสู้รบต่างหาก เพราะการที่จะให้สงครามสมจริง สาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามก็ต้องสมจริงด้วย และผมเชื่อว่าถ้าผู้นำไม่ได้กระหายเลือดจริงๆ โดยมากสงครามมักจะเกิดหลังจากความพยายามด้านการทูตอื่นๆล้มเหลวทั้งหมดแล้ว ดังคำกล่าวที่ว่า "สงครามเป็นหนทางสุดท้ายของผู้ไร้ความสามารถ" ดังนั้นก็ควรจะคิดถึงจุดนี้ด้วยนะครับ เพราะมันส่งผลกับสงครามมาก

0
กำลังโหลด
masked v Member 12 ธ.ค. 57 04:02 น. 8

ต้องแบ่งด้วยว่าเป็นการรบแบบไหน เป็นการรบกลางแปลง แบบที่ทั้งสองฝ่ายยกทัพมาประจัญบานกันกลางทุ่งอย่างเต็มรูปแบบ หรือเป็นการซุ่มโจมตีระหว่างที่ข้าศึกเดินทัพ หรือเป็นการรบแบบป้อมค่าย ซึ่งก็แบ่งอีกว่าฝ่ายตัวเอกเป็นฝ่ายบุก หรือเป็นฝ่ายตั้งรับ

ความสนุกอีกอย่างหนึ่งของเนื้อเรื่องแนวนี้ ก็คือกลอุบายในการศึก ที่แต่ละเรื่องก็จะมีแทคติคเจ๋งๆมาใช้พลิกเกม เพราะมันคงไม่สนุก ถ้าสู้กันไปเรื่อยๆ แล้วก็จบที่ฝ่ายพระเอกชนะโดยไม่ได้อธิบายอะไร นอกจากแค่บอกว่าเพราะพระเอกเก่งกว่า

0
กำลังโหลด

10 ความคิดเห็น

lionRise Member 28 พ.ย. 57 16:49 น. 1

ขอบคุณอย่างมากเลยค่ะ ประกาศไว้เลยว่า อีกไม่เกินสามปีประเทศไทยจะมีนักเขียนที่เก่งพอๆ กับ เจ.อาร์.อาร์.โทคิน เลยบอกตรง (เราเพ้อไว้ก่อน 555+)

โกรธแล้วนะ

0
กำลังโหลด
Mrmidnight[N-E-E-T-R-I-H-T] Member 28 พ.ย. 57 18:00 น. 2

คือว่า ถ้าใช้มุมมองบุคคลที่1 เเล้วใช้เเบบผู้บรรชาการมาบรรยายฉากรบดูนี่จะใช้ได้ไหมครับ ผู้บรรชาการประเภทที่ว่านั่งสอดส่องสมรภูมิจากระยะไกลเเล้วออกคำสั่ง

1
editor_nong Member 1 ธ.ค. 57 14:12 น. 2-1
จริงๆ จะใช้แบบไหนก็ต้องดูที่เรื่องของเราเป็นหลักด้วยค่ะ ว่ามันเอื้อต่อกันหรือเปล่า ถ้าเราเลือกมุมมองนี้มาแล้วมันทำให้เราไม่สามารถบรรยายฉากสำคัญฉากหนึ่งไปได้ ก็ต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ ปกติเวลาเขียนนิยายจะไม่แนะนำให้สลับมุมมองสะเปะสะปะ เพราะจะทำให้คนอ่านตามไม่ทัน การคงมุมมองไว้จะดีกว่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาค่ะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
e-ram Member 29 พ.ย. 57 17:15 น. 4

ถ้าแนวสงครามมุมมมองที่ 1 ผมจะนึกถึงเรื่อง hunger game เล่ม 3 ตอนที่แคตนิสบุกเมืองหลวง ชื่อไรไม่รู้จำไมไ่ด้

เราจะเห็นแต่มุมมองของแคตนิสอย่างเดียว สภาพสถานการณ์รบอื่นๆจะไม่รู้เลยจนกว่าแคตนิสจะเห็นด้วยตาตัวเอง ซึ่งทำให้คนอ่านต้องจินตนาการร่วมด้วยว่ากองบุกกองอื่นๆก็กำลังคืบหน้าไปพร้อมๆกับแคตนิสเช่นกัน

0
กำลังโหลด
v-kun Member 1 ธ.ค. 57 11:05 น. 5

เป็นแนวทางการเขียนที่ดีมากครับ แต่ถึงกระนั้นเราก็ไม่อาจจะจำเป็นต้องยึดตามแนวทางการเขียนอย่างตรงตามลายลักษณ์อักษรเสมอไป เพราะการเขียนก็คือการใช้จินตนาการ และจินตนาการก็ไม่มีที่สิ้นสุด

การเขียนโดยใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่งอย่างเดียวโดยไม่ใช้มุมมองอื่นเลยก็ย่อมทำได้ เพราะมันจะสะท้อนภาพให้เห็นถึงความสิ้นหวังของสงครามมากกว่า ยกตัวอย่างให้นึกถึงหนังเรื่อง saving private ryan ตอนเริ่มเรื่องทหารก็วิ่งตีชายหาด ฝ่ากระสุนปืน เลือดสาดกระจาย ศพกองเป็นภูเขา ถามว่าคนดูรู้มั้ยว่านี่เข้าตีอะไรขนาดไหน อาจจะไม่ และถามว่าทหารราบตัวคนเดียว ที่ไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชาจะรู้มั้ยว่าสงครามนี้จะดำเนินไปยังไง เขาก็คงไม่รู้หรอ แต่รู้เพียงต้องทำตามภารกิจ และนี่จะตอกย้ำผู้อ่านถึงความโหดร้ายสิ้นหวังของสงครามได้มากกว่ามุมมองอื่น

นอกจากนี้อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้ในเรื่องสงครามคือ "พื้นหลัง" ครับ ไม่ใช่หมายถึงสมรภูมิ แต่หมายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดการสู้รบต่างหาก เพราะการที่จะให้สงครามสมจริง สาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามก็ต้องสมจริงด้วย และผมเชื่อว่าถ้าผู้นำไม่ได้กระหายเลือดจริงๆ โดยมากสงครามมักจะเกิดหลังจากความพยายามด้านการทูตอื่นๆล้มเหลวทั้งหมดแล้ว ดังคำกล่าวที่ว่า "สงครามเป็นหนทางสุดท้ายของผู้ไร้ความสามารถ" ดังนั้นก็ควรจะคิดถึงจุดนี้ด้วยนะครับ เพราะมันส่งผลกับสงครามมาก

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Dark Diamond Member 11 ธ.ค. 57 21:38 น. 7

เป็นแนวทางในการเขียนที่ดีมากเลยค่ะ เรากำลังมีปัญหากับฉากแบบนี้พอดีเลย 

แต่เราอยากให้เอาแบบการต่อสู้แบบคนสองคนมาให้ศึกษาหน่อยได้ไหมคะ เราติดอยู่ตรงนี้นานมากเลย

ร้องไห้

0
กำลังโหลด
masked v Member 12 ธ.ค. 57 04:02 น. 8

ต้องแบ่งด้วยว่าเป็นการรบแบบไหน เป็นการรบกลางแปลง แบบที่ทั้งสองฝ่ายยกทัพมาประจัญบานกันกลางทุ่งอย่างเต็มรูปแบบ หรือเป็นการซุ่มโจมตีระหว่างที่ข้าศึกเดินทัพ หรือเป็นการรบแบบป้อมค่าย ซึ่งก็แบ่งอีกว่าฝ่ายตัวเอกเป็นฝ่ายบุก หรือเป็นฝ่ายตั้งรับ

ความสนุกอีกอย่างหนึ่งของเนื้อเรื่องแนวนี้ ก็คือกลอุบายในการศึก ที่แต่ละเรื่องก็จะมีแทคติคเจ๋งๆมาใช้พลิกเกม เพราะมันคงไม่สนุก ถ้าสู้กันไปเรื่อยๆ แล้วก็จบที่ฝ่ายพระเอกชนะโดยไม่ได้อธิบายอะไร นอกจากแค่บอกว่าเพราะพระเอกเก่งกว่า

0
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
Blackblood Member 10 พ.ค. 60 19:54 น. 10

สำหรับคนที่ชอบแนวสงครามพีเรียดหากไม่รังเกียจลองอ่านเรื่องนี้ดูครับ เน้นปรัชญาสงคราม กลศึก การชิงไหวชิงพริบ อุดมการณ์นักรบ บรรยายการต่อสู้ละเอียดตั้งแต่รบกันเป็นกองทัพจนถึงต่อสู้ตัวต่อตัวเลย ผู้เขียนทุ่มเทและใส่ใจในรายละเอียดมาก รับชมกันได้นะครับ https://writer.dek-d.com/l3lackblood/writer/view.php?id=1173098

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด