10 หนังสือสะเทือนใจ จากปลายปากกาของฆาตกรต่อเนื่อง
 เมื่อฆาตกรต่อเนื่องระดับโลกหันมาจับปากกา เปิดเผยเรื่องราวของตัวเองให้โลกรู้  
 
พูดถึง ฆาตกรต่อเนื่อง สิ่งต่อมาที่เรานึกถึงคือความโหดร้าย รุนแรง เลือดเย็น แน่นอนว่า... การทำความเข้าใจจิตใจของฆาตกรเหล่านี้เป็นเรื่องยาก เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่า เขาฆ่าเพราะอะไร ระหว่างที่ฆ่า เขาคิดอะไรอยู่ในใจ... ความรู้สึกในระหว่างที่เห็นคนเป็นๆ ใกล้จะจบชีวิตลงนั้น เป็นอย่างไรกันแน่
 
ก็แล้วจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อฆาตกรเหล่านี้ หันมาจับปากกา
เล่าเรื่องราวต่างๆ จากแง่มุมของตัวเองผ่านหนังสือ!

 
ตามไปดูกันว่ามีฆาตกรต่อเนื่องคนไหนที่เลือกทางสายนี้บ้าง และเรื่องราวที่พวกเขาเล่า พูดถึงอะไร... 
 

 
Zekka ค.ศ. 2015
เครดิตภาพ : www.japantimes.co.jp
 
เซโตะ ซะกะกิบะระ นามแฝงของฆาตกรต่อเนื่องชื่อดังในญี่ปุ่น ปี ค.ศ. 1997 อายุแค่ 14 เขาฆ่าเด็กไปสองคนและทำร้ายจนบาดเจ็บหนักอีกสาม เขาถูกจับข้อหาฆ่าจุง ฮะเซะ วัย 11 และนำศีรษะไปซ่อนไว้ที่ทางเข้าของโรงเรียน หลังถูกจับกุม เจ้าตัวสารภาพเพิ่มเติมว่าได้ฆ่า อายะกะ ยามาชิตะ วัย 10 ขวบ ต่อมา วันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2004 กระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น มีคำสั่งให้ปล่อยตัวฆาตกรวัยรุ่นผู้นี้ เป็นการชั่วคราว และวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2005 ก็ได้ปล่อยตัวเป็นการถาวร โดยยังคงเก็บชื่อจริงนามสกุลจริงเอาไว้เป็นความลับจนวันนี้ ณ ขณะปล่อยตัว ฆาตกรอายุได้ 22 ปี
 
หนังสือเรื่อง Zekka นำเสนอประวัติของเซโตะอย่างละเอียด เขียนโดยเจ้าของเรื่องเอง เมื่อออกวางขาย ก็ถูกต่อต้านอย่างรุนแรง เพราะไม่ได้มีการแจ้งครอบครัวของเจ้าตัว หรือครอบครัวของเหยื่อก่อน เซโตะ ผู้เขียนอ้างว่าได้ส่งหนังสือพร้อมคำขอโทษไปให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ว่าจริงหรือไม่ ในหนังสือ เจ้าตัวพูดถึงตัวเองว่า ช่วงวัยรุ่น เป็นคนชอบเรื่องเซ็กส์มาก ชนิดที่เรียกมาหมกมุ่น ต่อมา เกิดเบื่อ จึงหันมาทำกิจกรรมฆ่าแมวแทน และในที่สุด ก็นำไปสู่การฆ่าคน
 
มาโมรุ ฮาเซะ พ่อของ จุง ฮะเซะ เด็กชายผู้เสียชีวิต ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม เขาไม่เห็นด้วยกับการตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ แต่คำร้องของเขาตกไป เซโตะได้สิทธิ์ในการตีพิมพ์และขายหนังสือ และยังยืนยันที่จะไปต่อ อย่างไรก็ตาม เขาได้จ่ายเงินค่าเสียหายให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต เป็นเงินทั้งหมด 1.6 ล้านเหรียญ (ราวๆ 56 ล้านบาท)

เพิ่งวางแผงกันสดๆ ร้อนๆ ในปีนี้ นี่ก็แอบคิดอยู่ว่า... ถ้ามีสนพ. ไหนซื้อมาแปล จะลองไปซื้อมาอ่าน พี่ตินอยากรู้มากว่าในใจฆาตกรวัยรุ่นคิดอย่างไร เขายังเด็กมากแท้ๆ ทำไมถึงได้กล้าฆ่าคนได้ลงคอ และ ณ ตอนนี้ สภาพจิตใจหรือความคิดของเขาเป็นอย่างไร เปลี่ยนไปมากแค่ไหน อย่างไร หรือว่ายังรู้สึกเหมือนเดิมอยู่...  และเขาวางแผนจะมาเอาดีทางด้านการเขียนหนังสือเลยไหม น่าสงสัยจริงๆ น้องคนไหนสนใจอยากรู้ต่อ ตามไปอ่านได้ที่นี่เลยจ้ะ คลิก
 

 
The Trinity Of Superkidds ค.ศ. 2010
เครดิตภาพ : newsfeed.time.com
 
ชาร์ลส์ เคมโบ ถูกจับข้อหาฆาตกรรมคน 4 คน (ภรรยา, เพื่อนร่วมงาน, แฟน และลูกเลี้ยงสาว) เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 2002-2005 ในปี ค.ศ. 2003 มาร์กาเร็ต ภรรยาของเขาหายตัวไปเป็นคนแรก ต่อในในเดือนพฤศจิกายน อาร์ดอน ซามูเอล เพื่อนร่วมงาน ถูกพบศพที่สวนสาธารณะในแวนคูเวอร์ สภาพถูกบีบคอและตัดอวัยวะเพศออก เหยื่อรายต่อมาคือแฟนของเขา สุ่ยหยินหม่า ศพถูกยัดไว้ในถุงฮอกกี้ แล้วนำไปทิ้งแถวๆ ริชมอนด์ เหตุการณ์สุดท้าย เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2005 ริต้า หยัง ลูกเลี้ยงสาววัย 20 ปี พยานพบศพในถังขยะแถวๆ ริชมอนด์ หลังจากนั้นไม่กี่วัน ชาร์ลส์ เคมโบ ถูกจับกุมตัว ทุกวันนี้ เขายังคงอยู่ในคุก  
 
สำหรับหนังสือเรื่อง The Trinity of Superkidds: Book One: Quest for Water ผลงานภายใต้นามปากกา J.D. Bauer จริงๆ แล้ว เป็นผลงานของเคมโบ หนังสือยาว 372 หน้า พิมพ์เองขายเองกับเว็บไซต์อะเมซอน ในช่วงปี ค.ศ. 2010 ขณะนั้น เคมโบอยู่ในช่วงขึ้นศาล ในเดือนมิถุนายน คดีจึงสิ้นสุด และเขาถูกส่งไปเขาคุก เจ้าตัวเองก็ให้สัมภาษณ์ว่า เขาน่ะแหละที่เป็นคนเขียนหนังสือเล่มนี้ แต่ที่น่าตกใจมาก คือเนื้อหาของหนังสือ พูดถึงเรื่องปัญหามลพิษทางน้ำ และการเป็นแบบอย่างที่ดีของเด็กวัยรุ่น ว่ากันว่าเคมโบเปรียบเทียบหนังสือของเขาว่าคล้ายกับ แฮรี่ พ็อตเตอร์...!!! อย่างไรก็ตาม ผลตอบรับไม่ดีอย่างที่เคมโบหวัง นักวิจารณ์ในเว็บให้คะแนนเฉลี่ยเพียงแค่ 2 จาก 5 ดาวเท่านั้น
 

 
Son Of Hope ค.ศ. 2006
เครดิตภาพ : thesonofhope.com
 
เดวิด เบอร์โควิทซ์ ฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าผู้หญิงไปถึง 6 จาก 7 คน ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 14 เดือน (ช่วงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1976 - สิงหาคม ค.ศ. 1977) ฆาตกรรายนี้ เลือกเฉพาะเหยื่อผู้หญิงผมดำยาวเท่านั้น (ว่ากันว่าช่วง ค.ศ. 1977 ผู้หญิงผมดำหลายคนในนิวยอร์กถึงกับย้อมผมให้เป็นสีบลอนด์และตัดผมสั้น) อาวุธประจำตัวของเขาคือ ปืนคาลิเบอร์ .44
 
ชื่อเล่นของเดวิดคือ “บุตรแห่งแซม” (Son of Sam) เพราะช่วงแรกๆ เขาใช้นามแฝงนี้เขียนจดหมายถึงตำรวจ หลังถูกจับ เขาสารภาพว่าฆ่าคนเพราะได้รับคำสั่งจากปีศาจ โดยข้อความจะถูกส่งผ่าน “แซม” หมาของเพื่อนบ้าน (...????) เมื่อสืบประวัติดูแล้ว พบว่าเขาเป็นพวกฝักใฝ่ลัทธิซาตาน และชื่นชอบความโหดร้ายมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก  
 
หลังถูกจำคุกได้ไม่นาน “บุตรแห่งแซม” ก็เปลี่ยนชื่อเป็น “บุตรแห่งความหวัง” เดวิดอ้างว่าระหว่างจำคุก เขาได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า และตัดสินใจเขียนหนังสือเรื่อง Son of Hope ออกมาขาย เนื้อหาพูดเรื่องชีวิตในคุกของเขา และการเกิดใหม่ หลังจากเขาผันตัวไปเป็นคริสเตียน โดยเงินที่ได้จากการขายหนังสือ เขามอบให้ครอบครัวของเหยื่อทั้งหมด
 
สำหรับฆาตกรรายนี้ พี่ตินขอใช้คำว่า “เอาที่สบายใจ” ก็แล้วกันนะ ไม่รู้จริงๆ ว่าควรออกความเห็นอะไร
 

 
The Strange Case Of Dr. H.H. Holmes ค.ศ. 2005
เครดิตภาพ : amazon.com
 
เฮอร์แมน มัดเจ็ตต์ หรือฉายา Dr. H.H. Holmes ฆาตกรต่อเนื่องชาวสหรัฐฯ ที่สารภาพว่าเขาฆ่าคนไปมากถึง 27 คน (แต่ตำรวจเชื่อว่าจำนวนที่แท้จริงอาจสูงถึง 200) ในวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1896 เขาถูกตัดสินให้ประหารชีวิต และถูกแขวนคอในวันที่ 7 พฤษภาคม ปีเดียวกัน
 
ประวัติการฆ่าของมัดเจ็ตต์นั้นโหดร้ายและได้รับการวางแผนอย่างพิถีพิถัน หลังจากย้ายถิ่นฐานมาที่ชิคาโก้ เขาซื้อตึกแถวทั้งบล็อก ปรับปรุงใหม่ให้กลายเป็นโรงแรม หลังจากนั้น มันก็กลายเป็น “ปราสาทฆาตกรรม” ของเขา โรงแรมนี้เปิดให้บริการในปี ค.ศ. 1893 หลังจากตรวจสอบแล้ว มีหลายห้องมากที่ไม่มีหน้าต่างและสามารถล็อกจากด้านนอกได้ ห้องโถงเดินไปเดินมากลายเป็นทางตัน บันไดขึ้นไปไหนก็ไม่รู้ ประตูเปิดออกมาไม่มีห้อง และห้องบางห้องก็ไม่มีประตู ทางลาดเอียงที่ทำจากไม้ และที่น่ากลัวที่สุดคือห้องใต้ดินที่มีขนาดแค่เท่าตัวคนหนึ่งคนเท่านั้น ห้องบนชั้นสามเก็บเสียงได้ และได้มีการต่อท่อแก๊สขนาดใหญ่ เพื่อรมควันให้เหยื่อหายใจไม่ออกตาย (หลอนมาก) ตำรวจพังเข้าไปหลังกำแพง และพบโต๊ะแล่เนื้อ กระดูก เสื้อเปื้อนเลือด และเตาเผาศพ! ต่อมา ในช่วงเทศกาล World’s Fair ผู้คนมากมายเข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้ และส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงสาว ซึ่งต่อมา ถูกฆาตกรรมในที่สุด
 
The Strange Case Of Dr. H.H. Holmes รวบรวมคำสารภาพของมัดเจ็ตต์เอาไว้ คดีมากมายและโหดร้ายชนิดคาดไม่ถึง ถ้าอยากรู้เรื่องของเขาต่อ ก็ลองไปหาหนังสือเพิ่มเติมได้ มีอีกสองเล่ม ได้แก่ Holmes’ Own Story (ค.ศ. 1895) เล่าประวัติของเขาเอง ทั้งเรื่องราวชีวิตสมัยเด็ก และสิ่งที่เขาได้พบเจอมาตลอดชีวิต อีกเล่มก็คือ The Confession of H.H. Holmes (ค.ศ. 1896) มัดเจ็ตต์เขียนเองทั้งหมด และบอกว่าเป็นคำสารภาพของเขาเอง    
 

 
The Gates Of Janus (ค.ศ. 2001)
เครดิตภาพ : forewordreviews.com
 
เอียน เบรดี้ และ ไมร่า ไฮนด์เลย์ คู่สามีภรรยาฆาตกรถูกจับกุมในปี ค.ศ. 1966 ข้อหาฆาตกรรมเด็กสามราย พวกเขาให้สารภาพเพิ่มว่าฆ่าไปอีกสอง เหยื่ออยู่ในวัย 10-17 ปี หลายคนถูกข่มขืน และสามคนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบ ถูกฝังร่างไว้ที่แซดเดิ้ลเวิร์ธ มัวร์   
 
เดวิด สมิธ พี่เขยของไมร่า ตัดสินใจโทร. แจ้งตำรวจ หลังถูกทั้งคู่ชักชวนเข้ากลุ่มร่วมฆาตกรรม ตอนแรกเขาไม่เชื่อว่าเบรดี้จะฆ่าคนได้ แต่เบรดี้พิสูจน์ให้เขาเห็น ด้วยการฆ่า เอ็ดเวิร์ด อีแวนส์ ด้วยการฟันด้วยขวาน จากนั้นก็บีบคอจนตาย ตำรวจตรวจพบศพของอีแวนส์และอาวุธที่ใช้ในการฆาตกรรม ไม่กี่วันต่อมา พวกเขาพบกระเป๋าสองใบถูกทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟกลางของแมนเชสเตอร์ ภายในคือภาพนู้ดของเหยื่อ พร้อมเทปเสียงคำอ้อนวอนขอชีวิตระหว่างถูกทำร้ายร่างกาย หลังจากตรวจสอบภาพแล้ว ตำรวจแกะรอยไปพบศพของเหยื่ออีกคนที่ถูกฝังอยู่ที่แซดเดิ้ลเวิร์ธ
 
ผู้เขียนหนังสือคือ เบรดี้ เขาอ้างว่าต้องการให้คนอ่านเข้าใจจิตใจของฆาตกร เบรดี้เขียนถึงทฤษฎีเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่องมากมาย โดยอ้างว่า ผู้อ่านจะได้รู้ว่าฆาตกรสมัยนี้ไปถึงไหนแล้ว และพวกฆาตกรมีแผนการอะไรในใจ เขายังเขียนอ้างอิงถึงฆาตกรต่อเนื่องคนอื่นๆ เช่น เท็ด บันดี้ และ จอห์น เวย์น เกซี่ ด้วย
 

 
The Making Of A Serial Killer ค.ศ. 1996
เครดิตภาพ : serialkillersink.net
 
ฆาตกรต่อเนื่องที่โหดร้ายที่สุดในฟลอริด้า เท็ด บันดี้ (หรือ แดนนี่ โรลลิ่ง) คนที่ เบรดี้ เขียนถึงในหนังสือเล่มก่อนหน้า ผลงานของเขาคือฆ่านักศึกษาห้ารายในปี ค.ศ. 1990
 
เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นที่ บันดี้ย้ายมาที่เกนส์วิลล์ และเข้าสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยฟลอริด้า เขาตั้งเต็นท์ในป่า ใกล้กับมหาวิทยาลัย ต่อมา เขาแทงผู้หญิงสี่คน ผู้ชายหนึ่งคน และยังข่มขืนเหยื่อด้วย คริสต้า ฮอยท์ ถูกพบเป็นศพแรกในท่านั่ง ศีรษะของเธอถูกตัดออกมาวางบนชั้นข้างๆ
 
ในปี ค.ศ. 1994 บันดี้ถูกจับข้อหาทำร้ายและฆ่าเหยื่อห้าราย เขายังสารภาพเพิ่มเติมด้วยว่าฆ่าเหยื่ออีกสามรายที่ลุยเซียน่าบ้านเกิดในปี ค.ศ. 1989 ความอุกอาจของเขาทำให้ศาลตัดสินใจลงโทษด้วยการฉีดยาให้ตาย ก่อนเจ้าหน้าที่จะฉีดยา ฆาตกรรายนี้ยังฮัมเพลงอารมณ์ดีเสียอีก
 
หนังสือของฆาตกร The Making Of A Serial Killer เขียนโดยบันดี้ (หรืออีกชื่อคือโรลลิ่ง) โดยเล่าเรื่องระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ในคุก ผู้ช่วยเหลือทำให้ผลงานได้ตีพิมพ์ไม่ใช่ใครที่ไหน อดีตคู่หมั้นของเขา ซอนดร้า ลอนดอน หนังสือตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1996 เนื่องจากเนื้อหาหลายตอนล่อแหลม และยังพูดถึงการข่มขืนเหยื่อ ในปีต่อมา ศาลจึงสั่งฟ้องคนทั้งคู่ว่าหากำไรจากเรื่องของฆาตกร ปี ค.ศ. 1999 ลอนดอนต้องจ่ายเงินให้กับครอบครัวของเหยื่อรายละ 15,000 เหรียญสหรัฐฯ (ราวๆ 825,000 บาท) โดยครอบครัวเหยื่อเองก็ไม่อยากได้รับเงินก้อนนี้ และเรียกมันว่า “เงินเปื้อนเลือด”
 

 
A Question Of Doubt ค.ศ. 1993
เครดิตภาพ : tradera.com
 
หนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังมาก จอห์น เวย์น เกซี่ (ที่เบรดี้เขียนถึงในหนังสือของเขา) เหยื่อที่ถูกเขาฆ่า รวมแล้วมากถึง 33 คน ช่วงอายุคือ 9-20 ปี ในปี ค.ศ. 1968 เกซี่ถูกจับข้อหาข่มขืนทางทวารหนัก เขาติดคุกแค่ 18 เดือนเท่านั้น เพราะประพฤติดี หลังถูกปล่อยตัว เกซี่ย้ายไปที่ชิคาโก้ และประสบความสำเร็จในอาชีพผู้รับเหมาก่อสร้าง เขากลายเป็นคนดังที่ใครๆ ก็รัก นิยมจัดปาร์ตี้ และชอบเข้าสังคม รวมถึงเข้าร่วมการกุศลสม่ำเสมอ ทว่ามันก็แค่ภาพลักษณ์จอมปลอม และต่อมา เขาก็เริ่มฆ่าคน
 
เกซี่เลือกวิธีค้นหาเหยื่อตามท้องถนน หลอกล่อให้เข้ามาที่บ้านด้วยเหตุผลเรื่องงาน บางครั้ง เขาสวมรอยปลอมตัวเป็นตำรวจ แล้วจับเหยื่อเข้ามาฆ่าในบ้าน เหยื่อบางคนก็ถูกหลอกด้วยการชวนเข้ามา “ดื่มอะไรสักนิดสักหน่อย” พอเหยื่อเข้ามาในบ้าน เกซี่จะใส่กุญแจมือ จากนั้นก็ทรมานและข่มขืนพวกเขา สุดท้าย ก็บีบคอฆ่า แล้วนำศพไปฝังไว้ในสวนหลังบ้าน หลายปีต่อมา เมื่อพื้นดินที่บ้านเต็มจนไม่มีที่จะฝัง เขาก็เอาศพไปทิ้งที่แม่น้ำแทน  
 
คดีที่ทำให้เกซี่ถูกจับกุมตัวในที่สุดคือคดีการหายตัวไปของ โรเบิร์ต ไพรซท์ วัย 15 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กลิ่นเหม็นเน่าลอยออกมาจากสวนหลังบ้านของเกซี่ และหลังจากตรวจสอบ พวกเขาค้นพบศพมากถึง 28 ศพ ต่อมาก็พบเพิ่มอีก 5 ศพที่ริมแม่น้ำ ในปี ค.ศ. 1994 เกซี่ถูกตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการฉีดยา
 
หนังสือเรื่อง  A Question of Doubt ออกวางจำหน่ายในปี ค.ศ. 1993 เป็นผลงานของเกซี่เอง เกซี่อธิบายไว้ตอนต้นเรื่องว่า “หนังสือเล่มนี้ ไม่ได้บอกเล่าถึงประวัติชีวิตทั้งหมดของผม แต่จะเล่าถึงฝันร้ายที่ผมได้พบเจอตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1978 ไปจนถึง 13 มีนาคม ค.ศ. 1980 ผมอยากเล่าความจริงที่ตำรวจและสื่อต่างๆ ไม่เคยพูดถึง...”  
 

 
Final Truth ค.ศ. 1993
เครดิตภาพ : goodreads.com
 
ฆาตกรคนนี้มีนามแฝงว่า Pee Wee Gaskins เขาตัวเล็กมาก สูงแค่ 163 ซม. เท่านั้น ชื่อจริงของเขาคือ โดนัลด์ แกสคินส์ เป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องในตำนาน เขาสารภาพว่าฆาตกรรมเหยื่อ 13 ราย ด้วยวิธีหลากหลาย ทั้งกดให้จมน้ำ แทงให้ตาย หรือยิงด้วยปืน หลังฆ่าเสร็จ ก็นำศพไปฝังไว้ยังสุสานแถวๆ เซาธ์ คาโรไลน่า จำนวนเหยื่อที่เจ้าหน้าที่ค้นพบมีแค่ 13 ราย ทว่าในหนังสือชีวประวัติที่แกสคินส์เขียน เจ้าตัวอ้างว่าฆ่าคนไปมากถึง 110 คน เหยื่อหลายคนก็ยังเป็นเด็กวัยเตาะแตะ ซึ่งเขาข่มขืนก่อน จากนั้นก็ฆ่าอย่างทารุณ...
 
ในปีค.ศ. 1991 เขาถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยวิธีนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า ข้อหาฆาตกรรมรูดอล์ฟ ไทเนอร์ แกสคินส์เปิดเผยว่าลูกชายของไทเนอร์ เป็นผู้ว่าจ้างให้เขาฆ่าพ่อของตัวเอง วิธีของแกสคินส์คือ ส่งวิทยุที่ข้างในใส่ระเบิดไว้ให้เหยื่อ ในหนังสือ Final Truth พูดถึงความรู้สึกและวิธีการที่เขาใช้ในการฆาตกรรม    

 
Killer Fiction ค.ศ. 1990
เครดิตภาพ : betterworldbooks.com
 
แม้ว่าจำนวนเหยื่อที่ถูกค้นพบจะมีแค่สองราย แต่ จี. เจ. เชฟเฟอร์ คือฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดอย่างไม่ต้องสงสัย ฆาตกรรายนี้ให้สารภาพว่าฆ่าผู้หญิงมากถึง 80 คน แต่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อของเหยื่อ (และจนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้) เชฟเฟอร์ตายในคุกเมื่อปี ค.ศ. 1995 สาเหตุคือถูกเพื่อนนักโทษอีกคนฆ่า วิธีการคือ ปาดคอและแทงมีดเข้าที่ดวงตา
 
ในปี ค.ศ. 1973 เชฟเฟอร์ถูกจับข้อหาฆ่าและทรมานซูซาน เพลส วัย 17 ปี และจอร์เจีย เจสอัพ วัย 16 ทว่า หลังจากสอบสวน ตำรวจพบว่า ฆาตกรรายนี้ ไม่ได้ฆ่าคนแค่สอง แต่ยังมีเหยื่อรายอื่นๆ อีกมาก ตำรวจตามไปถึงบ้านของแม่เชฟเฟอร์และสำรวจห้องนอนของเขา ก็พบทรัพย์สมบัติของผู้หญิงมากมาย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่อาจสืบค้นได้ จึงไม่สามารถตั้งข้อหาเพิ่มเติม  
 
ในปีค.ศ. 1990 ซอนดร้า ลอนดอน (คนเดียวกับที่เป็นอดีตคู่หมั้นของบันดี้ ฆาตกรเจ้าของเรื่อง The Making Of A Serial Killer) ตีพิมพ์ผลงานของเชฟเฟอร์ (ยายคนนี้นี่น่ากลัวจริงๆ นางช่างชอบใกล้ชิดกับฆาตกรนะ) หนังสือของเชฟเฟอร์ชื่อว่า Killer Fiction ซอนดร้าให้คำจำกัดความผลงานของเชฟเฟอร์ว่า “เป็นงานศิลปะ” แต่ตำรวจและคนอื่นๆ ไม่เห็นด้วย เพราะในหนังสือ พูดถึงความจริงมากเกินไป สุดท้าย เชฟเฟอร์เขียนจม. ชี้แจง ในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1991 ใจความส่วนหนึ่งบอกไว้ว่า
 
“จะให้เขียนถึงอะไรดี คิดว่าฆาตกรจะเขียนอะไรได้ อยากได้คำสารภาพ แต่ก็ไม่สนใจเอง ทั้งที่ก็อุตส่าห์เอามายื่นให้ตรงหน้า นี่เราเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นนะ...”
 
ขอปิดท้ายเรื่องของฆาตกรรายนี้ว่า... ไม่หลอนฆาตกรค่ะ แต่หลอนคุณเจ๊ ซอนดร้า ลอนดอน นี่แหละค่ะ คบหากับฆาตกรสุดน่ากลัวขนาดนี้ถึงสองคน แล้วดันรอดมาได้ เชื่อว่านางไม่ธรรมดาแน่นอน เผลอๆ นางอาจเป็นฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังก็ได้นะเนี่ย  
 

 
Killer, A journal of Murder ค.ศ. 1970
หนังสือเล่มสุดท้าย เล่าเรื่องของ คาร์ล แพนซ์แรม ฆาตกรสุดโหดที่ฆ่าเหยื่อไปมากถึง 21 ราย (อันนี้เท่าที่ตำรวจตรวจพบ แต่ของจริงไม่มีใครรู้จำนวนแน่ชัด) แน่นอนเมื่อเป็นเล่มสุดท้าย มันต้องเข้มข้นสุดๆ ประวัติของฆาตกรรายนี้ เป็นทั้ง โจรปล้น ย่องเบา ลอบวางเพลิง ว่ากันว่าเขาเคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายมามากกว่า 1,000 คน เมื่ออายุได้ 11 ปี เขาถูกส่งเข้าสถานดัดสันดาน เพราะปล้นบ้านเพื่อน ที่นี่เอง แพนซ์เรมถูกข่มขืนทางประตูหลัง และทำให้เขามีจิตใจวิปริตตั้งแต่นั้นมา เขาหนีออกจากสถานดัดสันดานไปเร่ร่อนอยู่กลางถนน และถูกข่มขืนอีก  หลังจากนั้น แพนซ์เรมก่อคดีอีกมากมาย และใช้ชีวิตเข้าๆ ออกๆ อยู่ในคุก
 
หลังปล้นหลายครั้ง แพนซ์แรมก็มีเงินมากพอจะซื้อเรือยอชต์ ซึ่งเขาตั้งชื่อว่า Akista บนเรือนี้เอง เป็นจุดเกิดเหตุสะเทือนขวัญ เขาฆ่าผู้โดยสาร 10 คนรวด หลังจากปล้นและข่มขืนพวกเขาทางประตูหลัง แพนซ์แรมเคยจ้างกะลาสีมาทำงานด้วย และต่อมาก็ข่มขืนทุกคน ทางประตูหลังอีกเช่นเคย... หลังข่มขืน เขายิงหัวเหยื่อด้วยปืนโคลท์ .45 แล้วนำศพทิ้งทะเล การเดินทางล่องเรือทำให้การฆ่าคนของเขาสะดวกมากขึ้น ฆ่าตาย ทิ้งทะเล แล้วก็หนีไปประเทศอื่นๆ ต่อ  
 
ทั้งๆ ที่โหดร้ายฆ่าคนมากมาย แต่แพนซ์แรมกลับถูกจับในคดีย่องเบา หลังเข้าคุก เขาเผลอก่อคดี ฟาดกระบองใส่ผู้คุมจนตาย และผลของการกระทำนี้ ทำให้เขาถูกตัดสินประหารชีวิต ก่อนตาย เฮรี่ เลสเซอร์ ผู้คุมคุกคนหนึ่ง ชักชวนให้เขาเขียนหนังสือ แพนซ์แรมใช้เวลาคิดไม่นาน ก็เลือกที่เขียนเล่าเรื่องของตน ส่งให้เลสเซอร์นำไปเรียบเรียง ต่อมา หนังสือเล่มนี้ได้ตีพิมพ์เป็นเล่ม เรื่องเล่าทิ้งท้ายของแพนซ์แรมคือ ก่อนจะถูกประหารชีวิต เขาตะคอกเพชฌฆาตด้วยถ้อยคำหยาบคายชนิดไม่เกรงกลัว พร้อมเร่งให้สังหารเขาเร็วๆ ถ้อยคำในประวัติศาสตร์นั้นคือ "Hurry up you Hoosier Bastard, I could kill ten men while you are fooling around" คำแปลก็ รีบๆ เข้าสิ ไอ้งี่เง่าเอ๊ย ระหว่างที่แกชักช้านี่ ฉันฆ่าคนตายไปสิบคนแล้ว!!  

 
ขอสารภาพว่า หลายๆ เรื่อง อ่านแล้วก็ใจหายนะ โดยเฉพาะเรื่องสุดท้าย ถูกข่มขืนโดยผู้ชาย ก็เลยทำให้จิตใจวิปริตเบี่ยงเบนไป และสุดท้าย ก็อยากทารุณคนอื่น อยากให้คนอื่นเจ็บปวดเหมือนที่ตัวเองโดน น่ากลัวมากๆ คิดว่าเนื้อหาในหนังสือคงเข้มข้นและโหดร้ายไม่แพ้กัน
 
ว่าแล้วก็อยากอ่านสักเรื่องดูนะ ถ้าหากมีแปลไทย พี่ตินว่าจะไปลองหามาดู
 
อตินเอง
 
ขอบคุณข้อมูลและเครดิตภาพบางส่วนจาก
www.biographile.com/top-10-books-about-serial-killers/9036/
www.the-line-up.com/8-disturbing-books-about-serial-killers/
http://listverse.com/2015/08/27/10-strange-books-written-by-serial-killers/
www.express.co.uk/entertainment/books/503574/Best-serial-killer-books
www.huffingtonpost.com/sergey-kuznetsov/13-absolutely-terrifying-_b_5877104.html
www.japantimes.co.jp/news/2015/07/27/reference/child-killer-memoir-zekka-fuels-calls-tougher-proceeds-crime-laws-japan/
https://en.wikipedia.org/wiki/Donald_Henry_Gaskins
https://en.wikipedia.org/wiki/Sondra_London
 
พี่อติน
พี่อติน - Writer Editor ผู้ดูแลหมวดนักเขียนที่หลงใหลการอ่านแบบสุดๆ และไม่เคยพลาดทุกข่าวสารในวงการวรรณกรรม!

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

อรนามฤณ Member 12 พ.ย. 58 20:50 น. 1

ไม่สะทกสะท้านกับฆาตกรต่อเนื่อง

จิตใจข้างในคนเราต่างกัน

จะหมาโจรหรือเทวดา ไฮโซ Celeb

ต่างเวียนว่ายตายเกิด ไม่พ้นกฎแห่งกรรม

วันนี้เป็นฆาตกรคุณฆ่าเขา วันหน้าคุณจะได้ลิ้มรสชาตการถูกฆ่า

หวังว่าคงจะสะใจ ชิมิ...

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
มัณทนา [Red Devil] Member 17 พ.ย. 58 15:18 น. 8

H.H. Holmes คือ บุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจของตัวละคร Mr.James March

ผู้สร้างโรงแรม Cortez ในซีรีส์ฝรั่งเรื่อง American Horror Story : Hotel

0
กำลังโหลด

14 ความคิดเห็น

อรนามฤณ Member 12 พ.ย. 58 20:50 น. 1

ไม่สะทกสะท้านกับฆาตกรต่อเนื่อง

จิตใจข้างในคนเราต่างกัน

จะหมาโจรหรือเทวดา ไฮโซ Celeb

ต่างเวียนว่ายตายเกิด ไม่พ้นกฎแห่งกรรม

วันนี้เป็นฆาตกรคุณฆ่าเขา วันหน้าคุณจะได้ลิ้มรสชาตการถูกฆ่า

หวังว่าคงจะสะใจ ชิมิ...

0
กำลังโหลด
ประหารชีวิต 13 พ.ย. 58 00:44 น. 2
ยังไงเราก็ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกการประหารชีวิต สงสัยเรายังเด็กอยู่มั้งเลยมีความรู้ ประสบการณ์ มุมมอง ทัศนคติ ยังน้อยอยู่ (ไม่เกี่ยวกับกระทู้เลย)
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
S.r. ray Member 15 พ.ย. 58 00:23 น. 5

คาดว่าถึงอ่านไปก็คงไม่ได้ช่วยให้เข้าใจมากขึ้นกว่าเดิม อีกอย่างหนังสือพวกนี้ก็ไม่ดีต่อครอบครัวและผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหยื่อเลยสักนิด เหมือนเป็นการเยาะเย้ยในที ส่วนซอนดร้า ลอนดอน ผู้หญิงลักษณะนี้มีอยู่จริงๆนะ ผู้หญิงที่ชื่นชมหลงใหลฆาตกร 

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
มัณทนา [Red Devil] Member 17 พ.ย. 58 15:18 น. 8

H.H. Holmes คือ บุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจของตัวละคร Mr.James March

ผู้สร้างโรงแรม Cortez ในซีรีส์ฝรั่งเรื่อง American Horror Story : Hotel

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด