ชวนเรียนรู้แนวคิดและประสบการณ์
ของนักเขียนระดับ Bestseller "กัลฐิดา"

 

สวัสดีปีใหม่ค่ะชาวเด็กดี ก่อนอื่นเลยพี่อรขอให้ทุกๆ คนมีความสุขสุขภาพแข็งแรงนะคะ คิดอะไรหวังอะไรก็ของให้สมปรารถนาทุกๆ อย่างเลยน้า แล้วโอกาสนี้ก็ต้องขอขอบคุณที่เข้ามาแวะเวียนคอมเมนต์ทักทายกันตลอด แม้พี่อรจะมาจับคอลัมน์ได้ไม่นานแต่การทักทายตอบกลับมาอย่างสม่ำเสมอมันทำให้พี่อรรู้สึกอบอุ่นมากจริงๆ ค่ะ ขอให้รักกันไปแบบนี้นานๆ เลยนะคะ

เอาล่ะค่ะสำหรับคอลัมน์พบปะพูดคุยในสัปดาห์นี้พี่อรมีคิวกับพี่กัล หรือที่นักอ่านรู้จักกันในนามปากกา "กัลฐิดา" ค่ะ ใครที่เป็นแฟนคลับของเธอ คงพอจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าปลายเดือนนี้ผลงานชิ้นล่าสุดอย่าง LOST 4th Sign :กลิ่นอายของทองแดง จะลงแผงให้เราได้จับจองเป็นเจ้าของแล้ว ใครตามอยู่อย่าพลาดนะคะ หรือหากใครที่อยากจะอ่านตัวอย่างก่อน กัลฐิดาลงไว้ให้อ่านในเด็กดีด้วยค่ะ (คลิกที่ชื่อเรื่องได้เลยพี่อรทำลิงก์ไว้ให้แล้ว) สำหรับการสัมภาษณ์ครั้งนี้บอกเลยว่าคำถามเจาะใจมากๆ 555 และตัวของกัลฐิดาเองก็ใจดีมาตอบให้แบบไม่กั๊กกันเลยสักนิด เป็นบทสัมภาษณ์ดีๆ ที่พี่อรว่ามันได้ทั้งความรู้และก็สนุกมากๆ ยังไงลองอ่านดูนะคะ พี่อรเชื่อว่าใครที่รักเธอคนนี้อยู่แล้วก็จะรักขึ้นไปอีก ส่วนใครที่ยังไม่รู้จักตัวตนของเธอคนนี้ดีนัก นี่เลยค่ะคือโอกาสอันดี 


พี่ปุ้ย หรือที่นักอ่านรู้จักกันในนามปากกา "กัลฐิดา"
 
ช่วยอัพเดทผลงานให้นักอ่านชาวเด็กดีได้ทราบสักนิดค่ะ
กัลฐิดา: ตอนนี้กำลังสนุกกับเขียนนิยายซีรีย์ที่สี่ในชีวิตค่ะ LOST หกสัญญาณหายนะที่จะทำให้ทุกคนต้องมนตร์ ตอนนี้เดินทางมาถึงสัญญาณหายที่ 4 กลิ่นอายของทองแดงแล้วค่ะ
 
LOST 4th Sign :กลิ่นอายของทองแดง จะวางแผงปลายเดือนมกราคมนี้แล้ว ในฐานะนักเขียนพอจะสปอยล์ให้ตื่นเต้นบ้างได้ไหมคะ
กัลฐิดา: โห ถามอย่างนี้ตอบยากเลย (หัวเราะ) ถ้าจะให้สปอยล์ เล่มนี้เป็นเล่มที่ดราม่าในหลายๆ ความหมายเลยค่ะ ซึ่งแตกต่างจากนิยายปกติของพี่ที่ไม่ค่อยมีโมเมนต์ดราม่า แต่เล่มนี้จัดเต็มเลยค่ะ เขียนไปคนเขียนก็ฝันร้ายไป (อาการหนักมาก)
 
เมื่อพูดถึงนิยายแฟนตาซีกัลฐิดานึกถึงอะไร เพราะอะไร
กัลฐิดา: โลกใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมหัศจรรย์ เพราะสำหรับพี่ หนังสือคือโลกอีกใบ ยิ่งเป็นหนังสือแฟนตาซี เราก็ยิ่งได้เห็นโลกที่แตกต่าง และที่น่าประทับใจกว่านั้นก็คือ เมื่อเรามองย้อนจากโลกที่แตกต่างนี้กลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง เราก็มักจะพบความมหัศจรรย์ที่เรามองข้ามไปว่ามันอยู่ใกล้เราแค่นิดเดียวเอง
 
มีหลายคนบอกว่า นักเขียนเมื่อมีประสบการณ์ หรือประสบความสำเร็จมาแล้วในระดับหนึ่ง “ผลงานเล่มแรกจะเปรียบเสมือนตราบาป” แล้วส่วนตัวรู้สึกยังไงกับนิยายเรื่องแรกของตัวเอง
กัลฐิดา: จริงอย่างที่สุด เพราะมันคือนิยายที่เต็มไปด้วยความผิดพลาด เต็มไปด้วยสิ่งที่เราทำไม่เข้าที่ อะไรๆ ก็ไม่ดีไปหมด นิยายเล่มแรกนี่แม้แต่ตอนนี้กลับมาอ่านทีไรก็จะหงุดหงิดทุกครั้ง แต่ว่า ทุกครั้งที่มองเขา มันทำให้พี่รู้ว่าตัวเองมาไกลแค่ไหน เส้นทางที่ผ่านมาเราพลาดอะไรมาบ้าง เราได้บทเรียนอะไรมาบ้าง ที่สำคัญ พี่สนับสนุนให้ทุกคนที่อยากเป็นนักเขียนว่าพวกเขาจะต้องได้ลิ้มรสความสึกนั้น ความรู้สึกแบบ “ไม่นะเราไม่น่าพลาดเลย” “ทำไมตอนนั้นเราเขียนไมได้” “ทำไมตอนนั้นฉันเขียนอะไรแบบนี้ออกไป มันน่าอายมาก” “เรื่องแบบนี้คนอ่านเข้าใจเราได้ยังไงนะ”
 
งานเขียนคือ งานทักษะ หากพี่ต้องสอนใครสักคนให้เขียนนิยาย สิ่งที่พี่จะทำคือ พลักดันเขาพลาดให้เยอะที่สุด ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการทำพลาดให้เร็วที่สุดแล้วเรียนรู้ที่จะแก้ไขมัน มีนักเขียนหลายคนอยากรีไรท์นิยายเล่มแรกของตัวเอง เพราะมันน่าเกลียดเกินทน แต่สำหรับพี่ ถึงมันจะน่าเกลียดแค่ไหน พี่ก็จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นเพราะนิยายเล่มแรกก็คือความภาคภูมิใจของพี่ และเป็นหลักฐานว่า กัลฐิดาได้เป็นนักเขียนแล้วจริงๆ

 
ฮ้อตตลอดแฟนคลับเพียบ
 
ส่วนตัวมีการวางมาตรฐานให้งานเขียนของตัวเองยังไงบ้าง
กัลฐิดา: ต้องสนุก พี่ถือมาตรฐานเดียว และไม่เกี่ยงวิธีหรือเทคนิค ไม่ยึดติดอะไรทั้งนั้น ขอแค่ทำให้ตัวอักษรเป็นพันๆ ตัวเรียงร้อยออกมาให้เป็นเรื่องราวที่สนุกได้ พี่พร้อมเรียนรู้ แต่คำว่า สนุก คำเดียวมันกว้างไป ดังนั้น เมื่อพี่ตั้งเป้าเป็นนักเขียนนิยายแฟนตาซี พี่จึงต้องจำเพาะมาตรฐานของพี่ให้ชัดเจนมากขึ้น นั่นคือ พี่จะเขียนนิยายแฟนตาซีให้เด็กผู้หญิงที่อายุตั้งแต่ 10 - 20 ปีอ่านแล้วสนุก การกำหนดที่ชัดเจนช่วยทำให้เราค้นหามาตรฐานงานเขียนได้ง่ายขึ้น แน่นอนว่า หากงานเขียนของเราทำให้คนนอกกลุ่มเป้าหมายสนุกได้ ก็จะเป็นเรื่องดีที่สุด แต่นั่นเป็นเป้าหมายที่ใหญ่มากและจะต้องใช้เวลา และการไม่ยอมแพ้ค่ะ 
 
มีหลายคนสงสัยว่าทำไมกัลฐิดาถึงเลือกเป็นนักเขียนมากกว่าที่จะเป็นทันตแพทย์ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม
กัลฐิดา: อืม จริงๆ พี่ก็ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าตัวเองจะเป็นนักเขียน และเดิมทีที่อยากเป็นทันตแพทย์ก็ไม่ใช่เพราะอยากเป็นหมอ พี่แค่อยากอ่านหนังสือ แต่ว่า หนังสือเล่มหนึ่งมันแพงใช่ไหม แถมพี่อ่านเร็วมาก ทุกครั้งที่ไปร้านหนังสือ (แม้แต่ร้านเช่า) เงินก็จะไม่พออยู่ตลอด เลยเข้าใจมาตั้งแต่เด็กเลยว่า ถ้าเราอยากซื้อหนังสือได้มากที่ต้องการไปตลอดชีวิต เราต้องมีอาชีพที่สามารถทำเงินได้มากและยังต้องเหลือเวลามาทำสิ่งที่ชอบได้ พี่ขับเคลื่อนชีวิตพี่แบบนั้น ทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุพันธกิจนั้น เรียกได้ว่า ไม่ได้มีความตั้งใจจะเป็นอะไร ขอแค่สิ่งที่เป็นทำให้มีเงินและเวลาซื้อหนังสือไปจนตายก็พอแล้ว
 
ดังนั้น ตอนสอบเข้าแล้วติดคณะทันตแพทยศาสตร์เลยดีใจมาก แต่พอเรียนแล้วก็พบว่า มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด พี่ชอบวิชาคำนวณ แต่ให้ไปเรียนคณะที่อ่านอย่างเดียวก็เรียกได้ว่าทรมานมาก ไม่ชอบศิลปะ แต่ต้องไปนั่งปั้นฟันขึ้นมาจากแวกซ์ เรียกได้ว่า ไม่ใช่ทางตัวเองสุดๆ แต่ระหว่างที่พี่กำลังประสบปัญหา แล้วเริ่มเขียนนิยายเพื่อรักษาสภาพจิตใจตัวเอง เลยพบว่า ตัวเองรักการเขียน อาจเพราะอ่านมาก พอเขียนก็เลยมีทุนรอนทางภาษาพอสมควร เมื่อเขียนแล้วก็ได้รับโอกาสอย่างต่อเนื่อง สุดท้าย กลายเป็นว่า พี่สามารถทำตามความฝันที่อยากมีเงินเอาไว้ซื้อหนังสือได้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ความรู้สึกเหมือน อยู่ๆ เราก็ได้สิ่งที่ต้องการมาไว้ในมือเร็วกว่าที่คิด (หัวเราะ)
 
เมื่อเรียนจบ ทำงานเป็นทันตแพทย์ใช้ทุนอยู่ที่สิงห์บุรีอยู่ 6 ปี ซึ่งถือว่านานกว่าปกติสำหรับเพื่อนรุ่นเดียวกันเพราะปกติเขาบังคับแค่ 3 ปี พี่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราต้องเลือกนะ ว่าจะเป็นอะไร ทั้งสองอาชีพเป็นอาชีพที่ดี และทำให้ความฝันพี่เป็นจริงทั้งคู่ แต่พอเข้าปีที่ 7 พี่ก็พบว่า ร่างกายเริ่มอ่อนล้า ป่วยบ่อย ถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลก็หลายครั้งพี่เลยตั้งคำถามว่า เพราะอะไร และได้คำตอบว่า อาจเพราะทั้งงานราชการที่อายุราชการมากเลยได้รับตำแหน่งสูง (ตำแหน่งสุดท้ายของพี่คึอ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริการการแพทย์ที่รักษาการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล เพราะที่โรงพยาบาลพี่ไม่มีผู้อำนวยการเป็นของตัวเอง) แล้วงานทางด้านงานเขียนเราก็ทำมาเข้าปีที่ 10 ซึ่งก็มีโอกาสเข้ามาเสนอให้เราทำมากมาย มันเลยถึงเวลาที่เราต้องเลือกว่าควรจะทำอาชีพไหนเป็นอาชีพหลัก อาชีพไหนเป็นอาชีพรอง
 
การตัดสินใจไม่ได้ยากมาก เพราะไม่ว่าจะเลือกอาชีพไหนเป็นอาชีพหลัก ความฝันของพี่ก็ได้ถูกเติมเต็มอยู่ดี แต่ถ้ามาชั่งน้ำหนักกับสุขภาพที่เริ่มย่ำแย่เพราะการพักผ่อนไม่เพียงพอ พี่เลยตัดสินใจเลือกที่จะเป็นนักเขียน เพราะเป็นงานที่เรากำหนดเวลาได้ด้วยตัวเอง หากยังรับราชการ มันจะมีกฏข้อหนึ่งที่เราปฏิเสธงานไม่ได้ นั่นคือ หากเป็นคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเราก็ต้องทำ เราควบคุมเวลาตัวเองไมได้ พี่เลยตัดสินใจลาออกจากราชการแล้วเลือกเป็นนักเขียนเต็มเวลา แต่ก็ยังใช้ชีวิตอยู่สิงห์บุรีต่อ เพราะพี่ชอบชีวิตแบบนี้ และทุกอาทิตย์พี่ก็ยังไปเป็นหมอฟันจิตอาสาที่โรงพยาบาลเดิมที่พี่เคยทำงานอยู่อาทิตย์ละ 1 – 2 วันค่ะ 
 
พี่เชื่อมั่นมากว่า ความฝัน... ไม่ว่าเล็ก ใหญ่ หรือใครจะมองว่ามันไร้สาระแค่ไหน น้ำหนักของความฝันเท่ากันเสมอ พี่รักการอ่าน ต่อให้พี่ไม่ได้เป็นนักเขียน หรือหมอฟัน มันก็มีอีกร้อยพันวิธีที่จะทำให้พี่มีเงินจ่ายค่าหนังสือที่พี่อยากอ่าน ถ้าพี่สู้ไม่ถอย พี่เชื่อว่าพี่จะได้ความฝันนั้นมาในกำมือแน่นอน เพียงแต่ว่า ระหว่างที่พี่กำลังพยายามสร้างทางของตัวเอง ใครสักคนบนฟ้าก็มอบเส้นทางที่ดียิ่งกว่าเดิมมาให้พี่ เส้นทางนั้นทำให้พี่มีความสุขที่สุด พี่ได้ทั้งสิ่งที่รักมาไว้ในกำมือและสามารถจะมอบความฝันให้คนอื่นต่อไป
 
ดังนั้น เลยอยากจะส่งต่อความคิดแบบนี้ให้น้องๆ ทุกคนว่า อย่าหันหลังให้ความฝันตัวเองเลยค่ะ และอย่าเกี่ยงว่าเส้นทางที่เราเลือกเดินมันยากขนาดไหน คนอื่นคงสบายกว่า พี่รับรองได้ว่า บนเส้นทางความฝัน ไม่มีใครสบาย แต่ทุกคนจะมีความสุขแน่นอนเพราะรางวัลที่รออยู่ปลายทางมันคุ้มค่าจริงๆ ที่สำคัญพี่เชื่อว่า ถ้าเราไม่ทอดทิ้งความฝันของเรา บางทีเส้นทางที่แสนยาวไกลนั้นอาจจะสั้นกว่าที่เราคิดก็ได้ และหากบังเอิญเราเดินไปถึงทางแยกที่ต้องเลือก ไม่ว่าน้องจะเลือกอะไร ให้ถามตัวเองก่อนเสมอว่า ทางไหนกันที่ทำให้เรายังรักษาความฝันของเราไว้ได้ เมื่อได้คำตอบ ทางนั้นแหละค่ะ คือ ทางของเรา

 
มุมแอบถ่ายสวยๆ 
 
อยากรู้ส่วนใหญ่แล้วในวันหนึ่งๆ ชีวิตนักเขียนอย่างทำอะไรบ้าง พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม
กัลฐิดา: วันหนึ่งเหรอ (มองซ้ายมองขวาก่อน บ.ก. อยู่แถวนี้หรือเปล่า 555+) หลังจากลาออก คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้นมากเลย เพราะมีเวลานอนพอ พี่จะตื่นประมาณ 8.00 - 9.00 น. ตื่นมาก็จัดการตัวเองแล้วก็กินอาหารเช้ากับคุณแม่ เล่านู้นนี่นั่น จนสัก 10.00 น. ก็จะเริ่มเขียนนิยายค่ะ โดยมากวันหนึ่งพี่จะตั้งเป้าให้ได้อย่างน้อย 5 - 10 หน้า เป็นอย่างน้อย อาจมีพักเบรคตอนได้ 5 หน้าแล้วหรือจะเขียนยาวก็ได้ถ้ามันติดพัน แต่มักจะกินอาหารกลางวันประมาณ 14.00 น. จากนั้นก็เขียนนิยายต่อจนถึง 17.00 น. ถ้าวันนั้นได้ตามเป้า 10 หน้าแล้วก็อาจจะดูหนัง ฟังเพลงตามชอบ (แต่ส่วนใหญ่ จะเป็นการคุยงานกับบ.ก. หรืองานอื่นๆ ที่ทำค้างไว้) พอตกเย็นก็ต้องเตรียมให้อาหารหมา (พี่เลี้ยงหมา 6 ตัว) แล้วก็เตรียมอาหารเย็นค่ะ ช่วงเย็นเป็นช่วงคุยเมาท์ 555 กับพ่อแม่บ้าง เพื่อนบ้าง หลังจากอาหารเย็น พี่ก็จะเริ่มเขียนนิยายอีกครั้งตอนประมาณ 20.00 น. จากนั้นก็เขียนยาวจนถึงเที่ยงคืน แล้วก็เข้านอน ก่อนเข้านอนก็มีอ่านหนังสือ ซึ่งตอนนี้ลิสต์หนังสือที่อยากอ่านยาวไปอีกสองสามปีถึงจะอ่านหมด
 
พี่ชายพี่ขอบแซวพี่ว่า “หุ่นยนต์เขียนนิยาย” เพราะพี่พิมพ์นิยายตลอดเวลา ทำทุกวันไม่มีวันหยุ เพราะเมื่อก่อนทั้งเรียนและทำงานไปด้วย มีเวลาว่างน้อย ถ้ามัวโต๋เต๋งานจะไม่เสร็จทันเวลาเลยแทบไม่ได้พักเลย เคยหนักสุดคือ พิมพ์นิยายตั้งแต่แปดโมงเช้า วันหนึ่ง ถึง แปดโมงเช้าของอีกวันหนึ่ง หรือบางทีก็พิมพ์ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงตีหนึ่งทำติดกันสามสัปดาห์ โดยหยุดพิมพ์แค่ตอนกินข้าวกับเข้าห้องน้ำ เพื่อให้งานเขียนได้ออกมาอยู่ในมือนักอ่านได้ทันเวลา แต่ถ้าเป็นไปได้พี่ก็ไม่อยากให้ต้องมีเวลาแบบนั้น เพราะมันดูดพลังงานชีวิตมาก
 
พี่ว่า ชีวิตนักเขียนก็เหมือนข้าราชการแหละ เราควรทำงานตามเวลา เพราะถ้าไม่อยากไปตายใกล้ๆ เดดไลน์ก็ควรทำให้เป็นกิจวัตร หากทำๆ หยุดๆ มันเหนื่อยที่จะต้องมาบิวด์อารมณ์นะ เหมือนนักวิ่งระยะไกล ถ้าน้องไม่วิ่งทุกวันแรงก็จะตก แล้วก็อาจวิ่งไม่ถึงเส้นชัยเพราะหมดแรงก่อน ดังนั้น ต่อให้อยากเล่นเกม อ่านการ์ตูน ดูซีรีส์ เล่นอินเตอร์เน็ต หรือเมาท์กับเพื่อน วันหนึ่งก็ควรเขียนนิยายให้ได้ด้วยค่ะ ทำให้มันเป็นกิจวัตรเหมือนกับการหายใจ ^^
 
ช่วงวันหยุดปีใหม่แบบนี้ ถ้าจะให้แนะนำนิยายสักเรื่องคิดว่าเรื่องไหนน่าจะเหมาะสุด เพราะอะไร
กัลฐิดา: วันหยุดยาวคือสวรรค์ของนักอ่าน หนังสือที่น่าอ่านช่วงนี้เหรอ ช่วงนี้พี่กำลังอินกับนิยายแปลต่างประเทศนะ เป็นนิยายรักแฟนตาซีที่พี่อ่านจบไปแล้วหลายรอบ พอมีวันหยุดยาวก็อยากเอากลับมาอ่านอีก นั่นคือ นิยายชุด ฮาร์โมนี ค่ะ มีทั้งหมด 6 เล่มจบ ของสำนักพิมพ์แก้วกานต์ ถือเป็น Paranormal Romantic ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเลย คนแต่งคือ Jayne Castle หรือ Jayne Ann Krantz คือถ้าใครเป็นแฟนคลับพี่ก็จะรู้ว่าพี่ปลื้มนักเขียนคนนี้มาก ขนาดสั่งซื้อหนังสือของเขามาจากอเมซอนเพื่ออ่านเองเลยทีเดียว เหตุผลที่พี่แนะนำชุดนี้ก็เพราะ มันยาวพอสมควรเหมาะกับวันหยุดยาว ที่สำคัญ พระเอกหล่อทุกคน 555 ส่วนเนื้อหาไม่ต้องพูดถึง นักเขียนคนนี้เป็นเจ้าแม่โรแมนติกแฟนตาซีของอเมริกา ไม่ว่าจะพล็อต การดำเนินเรื่อง มีเสน่ห์มาก อ่านแล้ววางไม่ลงแน่นอน ลองหาอ่านกันดูค่ะ รับรองไม่ผิดหวังจริงๆ
 
ถ้าสามารถเลือกอาวุธวิเศษจากเรื่องที่แต่ง หรือเรื่องที่เคยอ่านได้ 1 ชิ้น พี่จะเลือกอะไร เพราะอะไร
กัลฐิดา: เคยมีคนถามเหมือนกัน แล้วพี่ก็ตอบเหมือนเดิมทุกครั้งเลยว่า ถ้าเลือกอาวุธวิเศษได้จากนิยายได้ พี่จะเลือก ดินสอของเพนนี จากการ์ตูนสัญชาติอังกฤษชื่อ Penny Crayon เป็นเรื่องของเด็กสาวอายุสิบสามกับปากกาที่วาดอะไรก็จะกลายเป็นของจริงได้ มันคงสนุกดีถ้ามีดินสอแบบนั้น (การ์ตูนเรื่องนี้ถูกทำเป็นการ์ตูนซีรีย์ที่โด่งดังมาทางช่อง BBC ในประเทศอังกฤษ ฉายระหว่างปี ค.ศ.1899 - ค.ศ.1990)

 
ท่าทีสบายๆ ระหว่างพักผ่อนที่เกาหลี
 
หลายคนมีความคาดหวังที่จะยึดการเขียนนิยายเป็นอาชีพ ส่วนตัวกัลฐิดาอยากจะบอกอะไรกับน้องๆ ที่คิดแบบนี้บ้างคะ
กัลฐิดา: พี่ขอทำความเข้าใจคำว่า ‘อาชีพ’ ก่อน อาชีพ คืองานที่เราทำเพื่อใช้เลี้ยงชีพ พี่คิดว่า น้องทุกคนที่กำลังเรียนอยู่หรือแม้แต่ทำงานอยู่ตอนนี้ กำลังมองหาอาชีพที่ทำให้ชีวิตของเราสบายโดยไม่เหนื่อยมากนัก แต่อย่างที่บอกไว้ตอนต้น ไม่มีอาชีพไหนหรือเส้นทางความฝันไหน ไม่เหนื่อย มันเหนื่อยค่ะ เหนื่อยมาก แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างการทำงานที่รักกับงานที่ทำเพื่อเงินเฉยๆ คือ ความสุข ในฐานะที่พี่ทำงานสองสายงานมาตลอด พี่ยืนยันได้ว่า อาชีพนักเขียนก็เหมือนอาชีพอื่นๆ ที่ถ้าเราทำมันได้ดี และไม่ย่อท้อ ก็สามารถทำเป็นอาชีพหลักเลี้ยงชีพได้ พี่เองก็ไมได้ขอเงินพ่อแม่ตั้งแต่เขียนนิยายได้เหมือนกัน สิ่งสำคัญจึงไม่ใช่แค่มีความคาดหวังจะยึดการเขียนนิยายเป็นอาชีพ แต่คนที่ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะทำงานด้านนี้ จะต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจนั้น ไม่ว่าอาชีพไหน สิ่งที่น้องต้องจ่ายเพื่อให้ประสบความสำเร็จ  มันก็สูงไม่ต่างกัน เพราะแต่ละเส้นทาง มันเหนื่อยกันคนละแบบ
 
ตอนพี่เริ่มเขียนนิยายปีแรกๆ เคยคิดจะลาออกจากการเป็นนิสิตทันตแพทย์เพราะเขียนนิยายมีความสุขกว่า แล้วความฝันของเราก็ทำสำเร็จแล้ว จะเป็นหมอฟันไปทำไม คุณแม่ของพี่ขอไว้ว่า ทำไมพี่ไม่เรียนให้จบ จบแล้วก็เป็นนักเขียนได้ แล้วก็เป็นหมอได้ด้วย ทุกอย่างจะดูปลอดภัย มีหลักประกัน ในตอนนั้น พี่คิดว่า ความคิดของแม่คือความคิดของคนรุ่นเก่า ต้องการความมั่นคง หมอฟันดูมั่นคงกว่า งานเขียนดูไร้แก่นสาร ไม่น่าเชื่อถือ พี่ไม่เห็นด้วย แต่พี่หาคำตอบที่ดีกว่าการเรียนต่อทั้งยังเขียนนิยายอยู่ให้คุณแม่ไม่ได้ ดังนั้น พี่จึงเรียนต่อและเขียนนิยายไปด้วย
 
หากน้องที่อ่านบทความนี้เรียนสายเดียวกับพี่จะรู้ว่า สิ่งที่พี่เลือกทำ คือการใช้ร่างกายเปลืองแค่ไหน การเรียนในคณะสายแพทย์ ไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น นอกจากน้องจะยอมเสียสละเวลาทุกอย่างที่น้องมี ไปกับการเขียนนิยาย เสียสละแม้แต่เวลานอน นั่นคือ ราคาของความมั่นคง ที่ผู้ใหญ่ที่หวังดีต่อเราต้องการ และนั่นคือ ราคาที่พี่วางเดิมพัน ในการพิสูจน์ให้ครอบครัวเห็น ว่า จะนักเขียนหรือหมอ ถ้าเราสู้ไม่ถอย มันก็เป็นอาชีพหลักได้ทั้งนั้น
 
พอเรียนจบ มาทำงาน หน้าที่การงานมั่นคง พี่ก็ยังคงเขียนนิยายแล้วเริ่มเข้าใจสิ่งที่คุณแม่พี่มองเห็นเมื่อตอนที่พี่บอกท่านว่า พี่จะลาออก นั่นคือ เส้นทางที่เราคิดว่ามันสวยงาม มันก็มีวันที่ไม่สวยงามเหมือนกัน มีวันที่เราอาจต้องล้มลุกคลุกคลาน มีวันที่ไม่เป็นดังหวัง ดังนั้น อย่าผลักดันตัวเองไปยังจุดที่เรามีทางเลือกเหลือแค่ทางเดียว นั่นคือ การกระจายความเสี่ยงอย่างแท้จริง คุณแม่ของพี่ไม่ได้มองว่านักเขียนเป็นอาชีพไม่มั่นคง ท่านไม่เคยคิดแบบนั้น แต่ท่านมองเห็นอนาคตที่ไกลไปถึงวันที่มีเหตุไม่คาดฝันกับลูกของท่าน ท่านจึงบอกว่า ถ้าหนูยอมจ่ายราคาความมั่นคงในตอนนั้น สิ่งที่หนูจะได้มาก็คือ อิสรภาพในการคิดและทำอะไรก็ได้ไปตลอดชีวิต
 
พี่ไม่ปฏิเสธว่างานเขียนสร้างรายได้ได้เยอะ ถ้าพูดให้ถูก นักเขียนที่ประสบความสำเร็จมีรายได้มากเทียบเท่ากับหมอที่จบเฉพาะทางหรืออาจมากกว่ามากในบางคน แต่นักเขียนมีคุณภาพชีวิตดีกว่ามาก เพราะเราควบคุมเวลาของเราได้ทั้งหมด แต่หมอไม่สามารถทำอย่างนั้นได้
 
สรุป คำแนะนำของพี่ก็คือ หากน้องอยากยึดอาชีพนักเขียน ยึดได้เลยค่ะ แล้วทำมันให้สุด คนเก่งไม่มีวันตกงาน ผลงานสนุกไม่มีทางขายไม่ได้ นักเขียนที่ไม่หยุดพัฒนาไม่มีทางอับจน แต่ในช่วงเวลาที่น้องยังไปไม่ถึงขั้นบันไดที่อาชีพนี้จะกลายเป็นอาชีพหลักได้ ขอให้น้องจัดสรรเวลาให้ดี ลดเวลาทำสิ่งที่ไม่จำเป็นแล้วหาอาชีพเสริมเพื่อสร้างรายได้มาช่วยให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดี และลดความเครียดในการดำรงชีวิต มันอาจจริงที่หากเราขัดสน เราอาจจะได้รับประสบการณ์ที่ดีเอามาเขียนนิยาย แต่ว่า ถ้าเลือกได้ อย่าปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพนั้น เพราะสมองของคนเราไม่สามารถรองรับความเครียดในการเขียนนิยายไปพร้อมๆ กับความอดยากเป็นเวลานานได้ แล้วเมื่อมันรับไมได้ สัญชาตญาณก็จะเลือกสิ่งที่ทำให้ชีวิตรอดก่อน ความยากลำบากในช่วงเวลาแบบนั้น คือ ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อความฝัน
 
เมื่อถึงเวลาที่น้องก้าวผ่านขั้นบันไดแห่งความสำเร็จมาจนถึงขั้นที่ยืนได้ด้วยอาชีพนี้เพียงอย่างเดียว จงใช้สติในการดำเนินชีวิตและบริหารจัดการเงินที่ได้มาให้อย่างรู้คุณค่า พี่ชอบคำพูดจากหนังสือ พ่อรวยสอนลูก ประโยคหนึ่งมาก
 
ปัญหาบนโลกนี้มีสองแบบ มีเงินมากเกินไป กับมีเงินน้อยเกินไป
คุณต้องเลือก ว่าคุณอยากมีปัญหาแบบไหน

 
เมื่อไรที่ความสำเร็จนำพาโอกาส เงินทองและชื่อเสียงมาให้ เตรียมพร้อมรับมันให้ดี เพราะของพวกนี้จะไม่อยู่กับเราตลอดไป หากเราไม่มีสติมากพอที่จะจัดการมัน มันก็จะบินหายไป แล้วก็ไม่รู้เมื่อไรที่มันจะผ่านมาอีกครั้ง

 
หน้าตาปกล่าสุด Lost 4th Sign : กลิ่นอายของทองแดง
 
นอกจากเล่มล่าสุดอย่าง LOST 4th Sign :กลิ่นอายของทองแดงแล้วเร็วๆ นี้จะมีผลงานอะไรมาให้แฟนคลับได้ติดตามอีกบ้าง
กัลฐิดา: ต่อจาก LOST 4th Sign : กลิ่นอายของทองแดง ที่จะออกปลายเดือนมกราคมนี้ สัญญาณหายนะลำดับที่ 5 ประกายแสงของคาร์บอน จะออกในงานมหกรรมหนังสือตอนปลายเดือนมีนาคม 2559 ค่ะ ส่วนเล่มจบซึ่งเป็นเล่ม 6 ตอน ดวงจิตของอำพันต้องอดใจรอนิดหนึ่งเพราะนิยายชุดนี้เขียนยากจริงๆ เล่มจบอาจต้องใช้เวลามากกว่าที่คิด น่าจะออกในงานมหกรรมหนังสือเดือนตุลาคม 2559 แต่ระหว่างรอ พี่ก็มีจะมีนิยายรักชุดมนตร์สื่อรัก ซึ่ง 2 เล่มแรก อย่างมนตร์อธิษฐานกับมนตร์ทับทิมออกมาแล้วเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มนตร์นิรมิต ซึ่งเล่มสุดท้ายในซีรีย์นี้จะออกมาให้ทุกคนได้อ่านกันประมาณกลางปี 2559 ค่ะ แถมท้ายปลายปี 2559 น่าจะหลังงานมหกรรมหนังสือเดือนตุลาคม คนที่รอนิยายรักแฟนตาซีแห่งโลกอนาคต ต่อจากซีรีส์ Cinderella 3225 ก็จะได้พบการกลับมาขององค์กรแองเจลลิก คล็อก ในหนังสือชุด AK Collection ตอน 1st Shade - Red ค่ะ คือ แอบมองแผนงานตัวเองแล้วก็กลัวเหมือนกัน แต่ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวได้ด้วยนะคะ ^^
 
ปีใหม่แล้วมีอะไรอยากฝากถึงน้องๆ นักอ่านนักเขียนของเด็กดีบ้าง
กัลฐิดา: ขออวยพรให้น้องๆ ทุกคนมีความสุข ประสบความสำเร็จในทุกอย่างที่ทำ ไปไหนก็ให้มีแต่คนรัก ปลอดภัยจากภัยทั้งปวง ขอให้มีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในใหม่ปีใหม่ ขอให้ทุกคนได้พบกับความฝันของตัวเอง พบเส้นทางที่ทำให้ชีวิตของน้องต่อจากนี้มีแต่วันที่สดใส หากเจออุปสรรคก็ขอให้ผ่านมันไปได้ด้วยดี พี่จะเป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ สวัสดีปีใหม่ค่ะ
 
จบไปแล้วสำหรับบทสัมภาษณ์นักเขียนในดวงใจของใครหลายคน หลังจากพูดคุยกันผ่านหลายๆ คำถามพี่อรรู้สึกว่านอกจากเธอคนนี้จะเป็นนักเขียนที่เก่งแล้ว ยังเป็นนักให้กำลังใจตัวยง ใครที่กำลังท้อ อย่าลืมนะคะ "ไม่มีอาชีพไหนหรือเส้นทางความฝันไหน ไม่เหนื่อย มันเหนื่อยค่ะ เหนื่อยมาก แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างการทำงานที่รักกับงานที่ทำเพื่อเงินเฉยๆ คือ ความสุข" ปิดจบกันที่ประโยคสวยๆ ของกัลฐิดา ส่วนนักเขียนรับเชิญที่จะมาพูดคุยกับเราในสัปดาห์หน้าจะเป็นใคร อย่าลืมติดตามให้กำลังใจกันด้วยนะคะ ส่วนตอนนี้สวัสดีค่ะ (ปิดคอมไปเที่ยวปีใหม่ละ ^ ^ บาย...)

 
พี่อร
 
^____________^

 
'อคิราห์' นักเขียนติสท์เว่อร์ที่เรายินดีแนะนำ!
พี่อร
พี่อร - Writer Editor คอลัมนิสต์ผู้เชื่อว่านิยายคือเพื่อนแท้ และเห็นอาหารการกินเป็นเรื่องของความสุข

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด
jiewyee Member 2 ม.ค. 59 21:26 น. 4
ช่วยให้มีกำลังใจในการเรียนเยอะเลยค่ะ 5555 (เพราะรู้ว่าพี่กัลจะมีหนังสือใหม่เลยต้องเอาเกรดแลกหนังสือ 555555) สู้ๆนะคะพี่กัลหนูจะรออ่านทุกเรื่องเลยค่ะะ
0
กำลังโหลด

13 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
Viamoris Member 2 ม.ค. 59 19:36 น. 3

ขอบคุณเทคนิคและคำบอกเล่าดีๆค่ะ

:) กำลังเดินตามความฝันเหมือนกัน เหนื่อยและท้อ แต่ไม่เคยถอยและล้มเลิกค่ะ

สักวันคงจะได้เป็นนักเขียน

0
กำลังโหลด
jiewyee Member 2 ม.ค. 59 21:26 น. 4
ช่วยให้มีกำลังใจในการเรียนเยอะเลยค่ะ 5555 (เพราะรู้ว่าพี่กัลจะมีหนังสือใหม่เลยต้องเอาเกรดแลกหนังสือ 555555) สู้ๆนะคะพี่กัลหนูจะรออ่านทุกเรื่องเลยค่ะะ
0
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด
minimeenny Member 3 ม.ค. 59 12:15 น. 7
ชอบมากค่ะ พี่กัลคือไอดอลที่ทำให้หนูอยากเขียนนิยายอย่างจริงจัง อยากลองทำอะไรที่เคยฝันแล้วก็พับๆมันไปเพราะกลัวทำไม่ได้ แต่พออ่านนิยายขิงพี่ อ่านบทความของพี่ทำให้มีกำลังใจ ทำให้อยากลองทำตามความฝันของตัวเองได้อีกครั้ง ขอบคุณมากค่ะ
0
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด
nuanwanwa Member 3 ม.ค. 59 17:26 น. 10

เป็นคนที่มีความคิดดีมากเลยค่ะ 

รวมถึงการใช้ชีวิต แบบมีวินัย มีวิถีทางที่เหมาะสมกับตัวเอง

สมแล้วกับการเป็นนักเขียนในดวงใจของใครหลายคน

เราเชื่อว่า คนที่อ่านบทความนี้ ต้องได้กำลังใจ และ แรงบันดาลใจกลับไปเยอะแน่นอน

เป็นนักเขียนที่เปี่ยมล้นด้วยคุณภาพจริงๆ

เยี่ยม

0
กำลังโหลด
สายลมใบไม้ผลิ Member 6 ม.ค. 59 20:34 น. 11
เป็นอีกคนที่เคยอ่านผลงานชุดและชอบมาก อยากบอกว่าคุณทำเป้าหมายใหญ่ได้สำหรับ เพราะตอนที่อ่านผลงานครั้งแรก คือ ช่วงมหาวิทยาลัยปี 4 #ขอบคุณนะคะ สำหรับนิยายดีๆ
0
กำลังโหลด
Misora H Member 23 มี.ค. 59 00:08 น. 12
ขอบคุณสำหรับข้อคิดค่ะ เงินมันก็จำเป็นต่อชีวิตจริงๆ แต่จะทางไหนเราก็อยากเป็นนักเขียนค่ะ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด