คลินิกนักเขียน
ตอน ราชานกฮูก
กับ วิธีเขียนฉากแฟนตาซีให้เฮฮา
สวัสดีน้องๆ ที่มาเข้าอ่านบทความคลินิกนักเขียนทุกคน
ขออภัยที่มาช้านะคะในเดือนนี้ แต่มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มาเนอะว่าไหม
สำหรับเดือนนี้ มีคนส่งผลงานมามากมายเลยค่ะ
พี่น้ำผึ้งและราชานกฮูกก็เลยต้องตัดใจเลือกมาแค่ 3 ผลงานเท่านั้น
เพื่อมาเป็น Case Study ให้กับน้องๆ ทุกคนค่ะ
และสำหรับคนที่ได้รับหนังสือ กริมม์ตนสุดท้าย เล่ม 1 ไปครอบครองก็คือ...
นามปากกา LostCause ค่ะ อย่าลืมส่งชื่อ-ที่อยู่มายัง atin@dek-d.com
ภายในวันที่ 14 กันยายน 2559 นี้นะคะ
เอาล่ะค่ะ ไปฟังกันว่า... ราชานกฮูกมีเคล็ดลับดีๆ
ในการเขียนนิยายแฟนตาซีคอมเมดี้อย่างไรบ้างกันเถอะ
วิิธีการเขียนนิยายแฟนตาซีให้เฮฮา
โดย ราชานกฮูก
สวัสดีครับ ผมนกฮูกคนเดิม เพิ่มเติมคือได้รับโอกาสจากทางคลินิกนักเขียน ให้มาทำการ ถ่ายทอดบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งกระผมนั้นสุดแสนจะภูมิใจ และยินดีเป็นที่สุดที่จะเอ่ยว่า... ‘ผมล่ะ ชอบหัวข้อนี้จังเลย’
นิยายแฟนตาซีนั้นเป็นแนวที่ค่อนข้างที่จะซับซ้อนอยู่แล้วด้วยตัวพล็อตของมันเอง แล้วก็แบบว่า ส่วนมากสายแฟนตาซีเนี่ย มักจะมีเรื่องเครียดๆ ที่กดดันซะจนโทนเรื่องออกจะกลายเป็นสีหม่นพอสมควร ซึ่งแน่นอน ว่าอะไรที่มันมากเกินไป มันก็มักจะไม่ดีใช่ไหมล่ะครับ
ดังนั้น เพื่อที่จะไม่ให้เนื้อเรื่องเครียดซะจนเกินไป หรือว่า อาจจะไร้สีสันจะแทบไม่อยากอ่านต่อ วันนี้ กระผมราชานกฮูก ภายใต้หัวคลินิกนักเขียน จึงขอเริ่มต้น หลักการง่ายๆ 3 ข้อ ในการเขียนนิยายแฟนตาซีให้เฮฮาครับ
1. เฮฮาด้วยคาแรคเตอร์
หลายครั้งที่เราพบว่า ตัวเอกของเรื่องนั้นช่างถูกรังเกียจจากเรื่องราวดีๆ เสียเหลือเกิน ต้องพบเจอกับเรื่องราวที่ชวนให้จิตใจหมองหม่น หรือไม่ ด้วยลักษณะของพล็อตนั้นๆ ที่โลกล้วนเต็มไปด้วยกฏที่โหดร้าย ต่างแก่งแย่ง ถูกปกครองด้วยความไม่เป็นธรรม แค่ฟังก็ปวดตับแล้ว แต่คุณเชื่อไหม เรื่องเหล่านี้ล้วนแก้ได้ง่ายมาก
นั่นคือการที่ เราต้องสร้างตัวละครที่มีสีสันมากพอที่จะทำให้โลกสีหม่น กลายเป็นสดใสขึ้นถนัดตา อาจจะเป็นที่ตัวเอกของเรานั่นล่ะ หรือว่าอาจจะเป็นตัวละครใดตัวละครหนึ่งในเรื่องก็ได้
ยกตัวอย่างตัวละครที่จะนำความเฮฮามาสู่ท้องเรื่อง
- มองโลกในแง่ดีจนเกินไป
- มีพฤติกรรมเพี้ยนๆ หรือชอบพูดจากแปลกๆ
- มีนิสัยสุดโต่งในด้านใดด้านหนึ่ง
2.เฮฮาด้วยสถานการ (หักมุม)
เคยไหม เรื่องราวกำลังดำเนินไปตามที่จะเป็น แต่ไหงมันออกมาได้แบบนี้ซะงั้นล่ะ?
วิธีนี้มันเกิดการจากวางแผนล้วนๆ บางทีอาจจะต้องเตรียมการมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง(ในเนื้อเรื่อง) เคล็ดลับคือเราต้องพยายามเล่าเรื่องให้ไปในทิศทาง ที่ทำให้คนอ่านต้องคล้อยตาม คนอ่านล้วนคาดเดาว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สุดท้าย เห้ย! ทำไมหักหลักกันอย่างนั้นล่ะ
ยกตัวอย่างสถานการที่จะนำความเฮฮามาสู่นิยายแฟนตาซีของเรา
- คนหนึ่งโดนพริกเข้าตา ร้องตะโกนขอน้ำยกใหญ่ คนที่ผ่านมาก็ตกใจเรียบยื่นขวดน้ำให้ (คิดว่าจะเอาไปล้างตา) ปรากฏว่า เขากลับรับน้ำขวดนั้นมา และดื่มมันลงไป...
- จอมยุทธ์ตกเขาไปเจอยอดวิชาของจอมยุทธอันดับหนึ่งในหลายร้อยปีที่แล้ว ปรากฏว่าพอเอามาฝึกจริงๆ ก็พบว่าเป็นแค่วิชาระดับกลางๆ เท่านั้นเอง เหตุผลคือ วิชานี้อาจจะสุดยอดในอดีตก็จริง แต่ก็ไม่ได้ถูกพัฒนาต่อยอดเหมือนวิชาอื่นๆ ในสมัยโบราณ เพราะว่า เจ้าของวิชาน้อยใจหาใครสู้ไม่ได้ เลยลงเหวไป ทำให้ขาดคนสืบทอด...
- นางเอกได้รับคำทำนายจากแม่เฒ่าว่า เนื้อคู่ของตนเองจะมีปานแดงที่กลางหลัง แต่จะไปขอเปิดเสื้อดูก็ไม่ได้ เลยไปแอบดูที่โรงอาบน้ำ ปรากฏว่าปานแดงที่กลางหลังมีตั้งหลายคน เลยไปตามแม่เฒ่ามาแอบดูด้วย หมอดูแปลกใจที่ตามมา พอได้เห็นปานแดงกลางหลังที่ว่าก็ร้องอ้อ พร้อมกับตะโกนใส่หน้านางเอก “นั่นมันเกลื้อน”
3. เฮฮาด้วยอุปมาอุปไมย
ข้อนี้ จะเรียกว่าเป็นเทคนิคที่ถูกใช้มากที่สุดก็ว่าได้ การอุปมาอุปไมย ไม่ว่าจะเป็นในบทสนทนา หรือว่าจะเป็นในส่วนของการบรรยายเสริมก็ได้ และที่สำคัญที่สุด จะต้องเพี้ยนได้โล่ ถึงจะสร้างความเฮฮาได้เป็นอย่างดี
ข้อควรระวังคือ เราต้องอุปมาอุปไมยให้สอดคล้องกับธีมของโลกแฟนตาซีนั้นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นในด้านของวัฒนธรรม อาหารการกิน หรือว่าจะเป็นแนวคิด
ตัวอย่างการอุปมาอุปไมยซึ่งจะนำพาความเฮฮามาสู่นิยายแฟนตาซีของเรา ขอยกในบทวิเคราะห์ด้านล่างนะครับ
การเขียนนิยายแฟนตาซี นั้นต้องขอบอกว่า มันเป็นแนวที่ค่อนข้างจะไร้กรอบ เพราะมันคือโลกอีกใบที่นักเขียนอย่างเราๆ สรรสร้างขึ้นมา ซึ่งแน่นอน ตามประสาพระเจ้าผู้สร้างโลกซึ่งมีความเอาแต่ใจเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งโลกที่ว่าก็ได้ถูกสร้างผ่านทางคีย์บอร์ด นี่จึงทำให้นิยายแฟนตาซีนั้น มันกลายเป็นบางสิ่งบางอย่างที่มีความหลากหลาย ซึ่งซ่อนความเปลี่ยนแปลงนานานับประการเอาไว้
1
LostCause
Novel : ERROR Online : Overkill มหานครออนไลน์แห่งความผิดพลาด
มายไอดี : http://my.dek-d.com/dear2536/
Link (สำหรับอ่านผลงาน) : http://my.dek-d.com/dear2536/writer/viewlongc.php?id=1131372&chapter=3
ตัวอย่างอาการ :
น้ำหวานพูดพร้อมกับถอนหายใจอย่างอ่อนแรงกับนิสัยยอมคนของเพื่อน
ปกติก็เป็นซะแบบนี้ตลอด ชอบแบกรับปัญหาทุกอย่างไว้เองโดยที่ไม่ยอมบอกคนอื่น แล้วจะไม่ให้เธอเป็นห่วงได้ยังไงกัน...
ฝ่ายนาคาเมื่อเห็นฝั่งตรงข้ามค่อยๆ ลดความรุนแรงลง จึงแกะมือของอีกฝ่ายที่จับคอเสื้อของตนอยู่ออกอย่างเชื่องช้า จัดเสื้อของตัวเองให้เป็นระเบียบ โน้มใบหน้าของตัวเองไปใกล้ตัวเด็กสาว ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
“เห ไม่ยักรู้ว่าเธอมีหน้าอกด้วยนะ”
เสียงนิ่งๆ แต่สะกิดไปถึงบาดแผลที่อยู่ส่วนลึกสุดของสาวน้อยวัยกำลังโตแบบเธอนั้น ทำเอามุมปากที่ปกติจะมีรอยยิ้มแฝงอยู่ตลอดของเด็กสาวถึงกับกระตุก เธอค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ๆ เด็กหนุ่มอย่างเชื่องช้า บิดคอกรอบแกรบ ยกมือขึ้นตบไหล่ของร่างตรงหน้าดังปั้ก
“นาย...พูดว่าอะไรนะ”
“เปล่านี่ ไม่มีใครพูดอะไรสักหน่อย พี่ชาย”
ใบหน้านิ่งสนิทของนาคาสบสายตาของน้ำหวาน ก่อนสะบัดแขนของเด็กสาวตรงหน้าออก
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันไปละนะ” พูดจบเขาก็เริ่มก้าวเท้าลงจากที่แห่งนั้นทันที ทิ้งไว้แต่เด็กสาวที่ยืนทำหน้ามึนงงกับชีวิตอยู่ที่เดิม
“เดี๋ยวก่อน!” เพียงแต่หลังจากที่เวลาผ่านไปไม่นาน สาวน้อยคนเดิมเมื่อได้สติจึงพุ่งกระโดดลงมายืนประจันหน้ากับหนุ่มแว่นที่เรียกสาวน้อยอ้อนแอ้นอรชรแบบเธอว่าพี่ชายทันที
เด็กหนุ่มชะงักเล็กน้อย เนื่องจากระยะที่เพื่อนของเขากระโดดลงมานั้น อาจจะเรียกได้ว่าสูงเกือบสองชั้นของตึกเรียนปกติเลยทีเดียว
“ว้าว ถ้าไปแข่งกระโดดไกล อาจจะทำลายสถิติโลกได้เลยนะเนี่ย พี่ชาย” นาคาแสร้งทำท่าทางตกตะลึงพร้อมกับปรบมือแก่ว่าที่แชมป์กระโดดไกลตัวน้อย
“นั่นคือคำสั่งเสียสินะ...” สาวน้อยแค่นเสียงถาม
“ฉันไม่เห็นจะคิดว่าพูดความจริงมันผิดตรงไหน เธอเกิดก่อนฉันตั้งครึ่งปีเธอก็ควรจะเป็นพี่ฉันสิ อีกอย่างถ้าเธอจะมาหาเรื่องฉัน เธอก็เอาเวลาไปทำตัวให้สมกับเป็นผู้หญิ...อ่อก!”
เสียงของแข็งกระแทกเข้ากับอวัยวะในร่างกายดังสนั่น ร่างกายของบริสุทธิ์ชนผู้เคราะห์ร้ายนามว่านาคาเซไปติดบริเวณที่นั่งข้างหลังจากแรงเตะของเด็กสาวผู้เป็นเต็งหนึ่งเหรียญทองเทควันโดระดับจังหวัด ร่างสูงพยายามพยุงตัวขึ้นหลังจากที่โดนโจมตีแต่ขาของเขายังคงไม่สามารถออกแรงได้เต็มที่จึงทำให้เด็กหนุ่มอยู่ในอาการขาสั่นไปมาอย่างกับลูกกวางแรกเกิด
“ล…ลูกเตะ...เบาๆ แบบนั้น น...น่ะ ท...ทำอะไร ฉ...ฉันไม่ได้หรอก” นาคาพูดด้วยริมฝีปากที่สั่นไหว เลื่อนมือปาดกรอบแว่นของตัวเองให้เข้าที่
คำขู่ที่ไม่ได้จะเข้ากับขาที่สั่นระริกของตัวเองเรียกเสียงหัวเราะจากทางฝั่งสาวน้อยแข้งทองได้อย่างยอดเยี่ยม เสียงหัวเราะของเธอดังสะท้านไปทั่วจนทำเอาเด็กหนุ่มเกิดอาการอับอายกับการกระทำของตัวเองไปชั่วขณะ
“ฮะๆ” เจ้าของร่างบางจำต้องยกมือปิดปากกุมท้องอย่างช่วยไม่ได้ “ทำเป็นพูดดี ขาแกสั่นไปหมดแล้วรู้ไหม”
“ก็ได้ เธอมันแรงควาย พอใจรึยัง”
ปกติแล้วคนแบบเธอก็ไม่ใช่ประเภทที่ชอบหาเรื่องคนอื่นเท่าไหร่นัก เพียงแต่ทันทีที่ประโยคดังกล่าวถูกพูดออกมาจากริมฝีปากของเด็กหนุ่มตรงหน้า แรงกระตุ้นให้เธอทำการฆาตกรรมครั้งแรกในชีวิตก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
“อา เมื่อกี้ รู้สึกว่าฉันจะหูฝาดไปสินะ นายคงไม่ได้บอกว่า ‘ลูกเตะของเธอช่างสง่างามจังเลย ฉันอยากรับมันอีกที’ อะไรแบบนี้ใช่ไหม”
นาคาสูดลมหายใจเข้าลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขามองหน้าสาวน้อยตรงหน้าพร้อมกับพูดเสียงดังฟังชัดว่า
“ฉันว่าช้างตกมันยังเตะเบากว่าเธอเลย”
ทันทีที่คำประกาศสงครามถูกกล่าวจบทั้งสองฝ่ายก็ตะลุมบอนเข้าใส่กันในทันที
วินัจฉัย :
จุดที่คิดว่าสามารถพัฒนาได้
สามารถพัฒนาได้โดยการใช้เทคนิคข้อที่สามครับ คือการเพิ่มใส่ส่วนของการอุปมาอุปไมย(ซึ่งในเนื้อหาที่ยกมา ก็ทำได้ดีพอควรแล้ว) และการปรับจังหวะการเล่าเรื่องดังนี้ครับ
จังหวะการเล่าเรื่อง ค่อนข้างที่จะอธิบายยาก ซึ่งจะขอแทรกการปรับแก้จังหวะการเล่าเรื่อง เพียงแค่การเว้นวรรค และขึ้นย่อหน้าใหม่เท่านั้นนะครับ^^
จุดที่สามารถพัฒนาได้ จากตัวอย่างที่ยกขึ้นมา
“นายนี่ก็นะ ชอบทำตัวเป็นลูกที่ดีของครอบครัว เอาแต่เชื่อฟังคุณแม่ตลอดเวลา นี่ถ้าชีวิตฉันต้องเลิศเลอเพอร์เฟ็ค สมบูรณ์แบบตลอดเวลาแบบนายนะ ฉันคงอกแตกตายแน่เลย”
น้ำหวานพูดพร้อมกับถอนหายใจอย่างอ่อนแรงกับนิสัยยอมคนของเพื่อน
ปกติก็เป็นซะแบบนี้ตลอด ชอบแบกรับปัญหาทุกอย่างไว้เองโดยที่ไม่ยอมบอกคนอื่น แล้วจะไม่ให้เธอเป็นห่วงได้ยังไงกัน...
ฝ่ายนาคาเมื่อเห็นฝั่งตรงข้ามค่อยๆ ลดความรุนแรงลง จึงแกะมือของอีกฝ่ายที่จับคอเสื้อของตนอยู่ออกอย่างเชื่องช้า จัดเสื้อของตัวเองให้เป็นระเบียบ จากนั้น โน้มใบหน้าของตัวเองไปใกล้ตัวเด็กสาว ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
“เห ไม่ยักรู้ ว่าเธอก็มีหน้าอกกับเขาด้วยเหมือนกันนะ” มันเป็นเสียงเรียบนิ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยเจตนาเชือดเฉือน ใบมีดคำพูดนี้นี่เองที่สะกิดเข้าที่บาดแผลของสาวน้อยวัยกำลังโตอย่างเธอ
มุมปากที่ปกติจะมีรอยยิ้มแฝงอยู่ตลอดของเด็กสาวถึงกับกระตุก เธอค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ๆ เด็กหนุ่มอย่างเชื่องช้า บิดคอกรอบแกรบ ราวกับตั้งใจจะทำให้สิ่งมีชีวิตตรงหน้า กลายเป็นปุ๋ยพร้อมใช้งาน
เมื่อตัดสินใจคืนความสุขให้พื้นดินแล้ว มือขาวๆ ก็ตบลงเข้าที่ไหล่ของร่างตรงหน้าดังปั้ก
“นาย...พูดว่าอะไรนะ” ออกเสียงช้าและชัดเป็นที่สุด ราวกับกำลังพูดให้เด็กอนุบาลฟัง
“เปล่านี่ ไม่มีใครพูดอะไรสักหน่อย... พี่ชาย”
ใบหน้านิ่งสนิทของนาคา สบสายตาของน้ำหวาน ก่อนสะบัดแขนของเด็กสาวตรงหน้าออก
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันไปละนะ” พูดจบเขาก็เริ่มก้าวเท้าลงจากที่แห่งนั้นทันที ทิ้งไว้แต่เด็กสาวที่ยืนทำหน้ามึนงงกับชีวิตอยู่ที่เดิม
“เดี๋ยวก่อน!” เพียงแต่หลังจากที่เวลาผ่านไปไม่นาน สาวน้อยคนเดิมเมื่อได้สติจึงพุ่งกระโดดลงมายืนประจันหน้ากับหนุ่มแว่น ที่เรียกสาวน้อยอ้อนแอ้นอรชรแบบเธอว่า ‘พี่ชาย’ ทันที
เด็กหนุ่มชะงักเล็กน้อย เนื่องจากระยะที่เพื่อนของเขากระโดดลงมานั้น อาจจะเรียกได้ว่าสูงเกือบสองชั้นของตึกเรียนปกติเลยทีเดียว
“ว้าว ถ้าไปแข่งกระโดดไกล อาจจะทำลายสถิติโลกได้เลยนะเนี่ย พี่ชาย” นาคาทำท่าทางตกตะลึงพร้อมกับปรบมือแก่ว่าที่แชมป์กระโดดไกลตัวน้อย ซึ่งแน่ล่ะ มันทำให้บุคคลตรงหน้า ตัดสินใจเลื่อนขั้นจากจะทำปุ๋ย กลายเป็นขี้เถ้าเสียแทน แม่จะเผาให้หาซากไม่เจอเลยคอยดู!
“นั่นคือคำสั่งเสียสินะ...” สาวน้อยแค่นเสียงถาม
“ฉันไม่เห็นจะคิดว่าพูดความจริงมันผิดตรงไหน เธอเกิดก่อนฉันตั้งครึ่งปี เธอก็ควรจะเป็นพี่ฉันสิ อีกอย่างถ้าเธอจะมาหาเรื่องฉัน เธอก็เอาเวลาไปทำตัวให้สมกับเป็นผู้หญิ...อ่อก!”
เสียงของแข็งกระแทกเข้ากับอวัยวะในร่างกายดังสนั่น ร่างกายของบริสุทธิ์ชนผู้เคราะห์ร้ายนามว่านาคาเซไปติดบริเวณที่นั่งข้างหลัง ด้วยแรงเตะของเด็กสาวผู้เป็นเต็งหนึ่งเหรียญทองเทควันโดระดับจังหวัด ร่างสูงพยายามพยุงตัวขึ้นหลังจากที่โดนดีเข้าให้ แต่ขาของเขายังคงไม่สามารถออกแรงได้เต็มที่ จึงทำให้เด็กหนุ่มอยู่ในอาการขาสั่นไปมาราวกับลูกกวางแรกเกิด
“ล…ลูกเตะ...เบาๆ แบบนั้น น...น่ะ ท...ทำอะไร ฉ...ฉันไม่ได้หรอก” นาคาพูดด้วยริมฝีปากที่สั่นไหว เลื่อนมือปาดกรอบแว่นของตัวเองให้เข้าที่
คำขู่ที่ดูเหมือนจะไม่ได้เข้ากันเลย กับขาที่สั่นระริกของตัวเอง เรียกเสียงจากทางฝั่งสาวน้อยแข้งทองได้อย่างยอดเยี่ยม เสียงหัวเราะสาแก่ใจของเธอดังสะท้านไปทั่ว จนทำเอาเด็กหนุ่มเกิดอาการอับอายกับการกระทำของตัวเองไปชั่วขณะ
“ฮะๆ” เจ้าของร่างบางจำต้องยกมือปิดปากกุมท้องอย่างช่วยไม่ได้ “ทำเป็นพูดดี ขาแกสั่นไปหมดแล้วรู้ไหม ทำไมทำท่าเหมือนลูกกวางเพิ่งเกิดแบบนั้น นั่นขาหรือแผนดินไหวกันล่ะ”
“ก็ได้ เธอมันแรงควาย พอใจรึยัง”
ปกติแล้วคนแบบเธอก็ไม่ใช่ประเภทที่ชอบหาเรื่องคนอื่นเท่าไหร่นัก เพียงแต่ทันทีที่ประโยคดังกล่าวถูกพูดออกมาจากริมฝีปากของเด็กหนุ่มตรงหน้า แรงกระตุ้นให้เธอทำการฆาตกรรมครั้งแรกในชีวิตก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
“อา เมื่อกี้ รู้สึกว่าฉันจะหูฝาดไปสินะ นายคงไม่ได้บอกว่า ‘ลูกเตะของเธอช่างสง่างามจังเลย ฉันอยากรับมันอีกที’ อะไรแบบนี้ใช่ไหม”
นาคาสูดลมหายใจเข้าลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขามองหน้าสาวน้อยตรงหน้าพร้อมกับพูดเสียงดังฟังชัดว่า
“ฉันว่าช้างตกมันยังเตะเบากว่าเธอเลย”
ทันทีที่คำประกาศสงครามถูกกล่าวจบ ทั้งสองฝ่ายก็ตะลุมบอนเข้าใส่กันในทันที
2
ตัวอย่างอาการ :
ทั้งอาทิตย์ ปัน และแม็กพยักหน้าแผนเที่ยวก็เป็นอันเรียบร้อยเวลาเดียวกับที่รถไฟฟ้าเข้าสถานี พอประตูเลื่อนเปิดออกกานต์รีบเดินเข้าไปจับจองที่นั่งอันหายากทันที
ผู้คนหลั่งไหลเข้าในขบวนจนเต็มอย่างรวดเร็ว เพื่อนทั้ง 3 เองก็เร็วไม่แพ้กันสามารถหาที่นั่งข้างกันได้ ทว่ามันยังไม่จบ
หญิงชราคนหนึ่งเดินเข้าในรถไฟฟ้า ท่าทางการเดินหลังค่อมแสดงถึงความสูงอายุอย่างชัดเจน
“คุณยายครับ มานั่งตรงนี้สิครับ” อาทิตย์ลุกขึ้นให้หญิงชรานั่ง เธอยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ
อาทิตย์เสียที่นั่งไปแล้ว...
ไม่ถึงสิบวินาทีมีหญิงท้องป่องใส่ชุดคลุมเดินเข้ามาพร้อมผู้ชายอีกคน น่าจะเป็นคู่สามีภรรยา
“”ขอโทษครับ นั่งตรงนี้ดีกว่าครับ”
“ขอบใจมากจ้ะ คุณคะ ฉันนั่งตรงนี้นะคะ” หญิงตั้งครรภ์กล่าวขอบคุณขณะที่สามีของหล่อนประคองให้นั่งอย่างนิ่มนวล
ปันเสียที่นั่งไปแล้ว...
ทำให้เหลือผู้ครองที่นั่งอยู่ 2 คนคือ กานต์ และ...
“พี่ชาย ๆ หนูขอนั่งตรงนี้ได้มั้ยคะ” เด็กหญิงตัวเล็กประมาณ 10 ขวบถืออมยิ้มเข้ามาถามแม็ก
แม็กเงยหน้าขึ้นมอง “อยากนั่งตรงนี้เหรอ”
“นะคะ หนูเมื่อยขาอะค่ะ” ขาของเด็กน้อยสั่นนิด ๆ และเริ่มมีน้ำในตาหน่อยแล้วด้วย
แล้วในที่สุดแม็กก็ยืนขึ้นให้เด็กนั่งและไปยืนจับเสาเช่นเดียวกับอาทิตย์และปัน เด็กน้อยยิ้มน่ารักและขาหายสั่นเมื่อลอยจากพื้น เธอยื่นอมยิ้มที่ยังไม่แกะห่อให้แม็กและยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ พี่ชายใจดีที่สุดเลย”
ถึงใบหน้าจะเรียบเฉยแต่กานต์รู้ว่าในใจแม็กคงรู้สึกฟินเหนือคำบรรยาย ก็รับอมยิ้มมาจ้องไม่หยุดเลยนี่นา
แม็กเสียที่นั่งไปแล้ว...
ชักรู้สึกไม่ดีเสียแล้ว รายต่อไปต้องเป็นเขาแน่ ไม่ว่าผู้หญิงสวยหรือเด็กจะแบ๊วขนาดไหนเขาก็ไม่ลุกให้เด็ดขาด กานต์คิดในใจพลางหลบสายตาบางคนที่จ้องเขาไม่กระพริบ ทันใดนั้นผู้ที่เขารอคอยระวังก็ปรากฏตัวผ่านประตูรถไฟฟ้าเข้ามา
เขาผู้นั้นไม่ใช่หญิงรูปงาม
เขาผู้นั้นไม่ใช่เด็กน้อยน่ารัก
เขาผู้นั้นคือ...พระภิกษุสงฆ์
กานต์ทำท่าจะลุกขึ้นยืนและผายมือให้พระนั่งแทนท่ามกลางสายตาคาดหวังหรืออะไรสักอย่างของเพื่อนทั้ง 3 คน
ทว่า...
“โยมไม่ต้องลุกหรอก อาตมาลงสถานีหน้านี่เอง แต่ยังไงก็ขอบคุณโยมนะที่มีน้ำใจ”
กานต์รักษาที่นั่งไว้ได้...
ไม่รู้ทำไมกานต์ถึงคิดว่าเพื่อนของเขาถึงส่งสายแปลก ๆ มาที่เขา
สัญญาณเตือนประตูปิดดังขึ้น อีกไม่กี่วินาทีที่นั่งนี้จะเป็นของเขาไปอีกจนถึงสถานีสมานมิตร
เสียงตึก ๆๆ ซอยเท้าถี่ ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้องเสียงตึกดังครั้งหนึ่งเพื่อหยุด มีใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามาทันเวลาก่อนประตูปิดอย่างพอดีที่สุด
ผมสีดำกระเซิงนิดหน่อย แว่นตาหนากลม มีปึกกระดาษในแขนข้างหนึ่งและสะพายกระเป๋าหนา
ใช่เลย ไม่ผิดตัวแน่ นี่คือสาวแว่นที่วิ่งชนกานต์เมื่อวานนี่นา
กานต์พยายามไม่สบตากลัวผู้หญิงคนนั้นจะทักและเรื่องวุ่น ๆ คงจะตามมาตามสูตรนิยายที่นิยมในช่วงสองสามปีนี้ แต่ว่าเพื่อนของเขาคงไม่คิดเช่นนั้น
อาทิตย์พยักหน้าไปทางเด็กสาวที่หอบเอกสารเต็มพร้อมส่งสายตามาประมาณว่า ลุกให้เธอนั่งซะ
จากนั้นกานต์ก็ส่งข้อความกลับไปด้วยวิธีเดียวกันแต่มีภาษามือประกอบเล็กน้อย
เรื่องอะไร หล่อนไม่ได้ขอสักหน่อย
จะไม่ลุกให้เด็กสาวที่หอบของพะรุงพะรังนั่งเหรอ ผู้ชายจริงรึเปล่า คราวนี้ปันเข้ามาผสมโรงด้วย
กานต์ตอบกับไปด้วยสายตาที่เด็ดขาด ไม่ก็คือไม่สิ พวกนายเลือกไปยืนเองไม่ต้องลากตามเลย
ทว่ากานต์เห็นสายตาง่วง ๆ ของแม็กจ้องมาที่เขา เผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไรทว่าทั้งกานต์และเพื่อนทั้งสองดูออกว่าสายตานั่นเป็นสายตาที่ใช้มองอย่างไม่พอใจ เหยียดหยาม และรังเกียจ แปลออกมาได้สั้น ๆ ว่า
กานต์คนไม่ดี
เมื่อทนสายตาของเพื่อนตัวดีไม่ไหวเขาจึงสะกิดสาวแว่น “เธอ ๆ มานั่งตรงนี้มั้ย”
“เอ๋ จะดีเหรอคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก นั่งเถอะ” แล้วกานต์ก็ลุกให้เธอนั่ง เธอมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ ที่จริงต้องบอกว่ามองเหนือหัวเขาต่างหากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ก้มหัวเป็นเชิงขอบคุณเท่านั้น
แล้วสี่สหายก็ยืนร่วมกันจับราวบนรถไฟฟ้าไปอีก 10 สถานี
“เราว่าหน้าตาดูคุ้น ๆ นะ เคยเห็นที่ไหนมาก่อนรึเปล่า” อาทิตย์มองไปที่สาวแว่นทีก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
แต่คนให้คำตอบกลับเป็นปัน “นึกออกแล้ว กัญญา ไง กัญญา ปัญญาอุดม ที่มีรูปโชว์ที่บอร์ดหน้าโรงเรียนไง ตัวแทนสอบแข่งขันอะไรซักอย่างที่ได้รางวัล 20,000 บาทไง”
“อย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเป็นพวกห้อง 1 น่ะสิ” ในความคิดของกานต์ไม่มีนักเรียนทั่วไปที่ไหนจะสอบแข่งขันผ่านรอบคัดเลือกไปได้นอกจากห้อง 1 ถึง 3 เข้ารอบลึกได้เงินรางวัลมากขนาดนี้คงมีแต่ห้อง 1 แล้ว
“เฮ้อ ลูกรักของอาจารย์ก็งี้แหละ ของดีอยู่ตรงนี้แล้วแท้ ๆ กลับไม่คิดจะเหลียวมอง” อาทิตย์มองอย่างเสียดายปิดไม่มิดจนกระทั่งแม็กพูดขึ้นมา
“พูดแบบนี้ รู้สึกสงสารฝ่ายหญิงเลย”
“หมายความว่ายังไง ห้ะ!”
วินัจฉัย :
ทำได้ดีมากครับ มันเป็นสถานการทั่วๆ ไป ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แล้วก็ทำได้โอเคมาก นี่เป็นตัวอย่างที่ดีเลยครับ หากแต่จะยังคงมีจุดบางจุดที่สามารถเพิ่มความเฮฮาลงเข้าไปอีกได้ครับ จากเท่าที่สัมผัสได้ อีกราวๆ 35% ของบท ที่ยังคงไปต่อไม่สุด ซึ่งในส่วนนี้ กระผมขออนุญาตแนะนำเสียเล็กน้อยนะขอรับ
เนื้อเรื่องในส่วนนี้ จะเป็นในส่วนของการใช้ ‘สถานการณ์’ เพิ่มความเฮฮา ซึ่งทางผู้เขียน หรือก็คือคุณ NISAK ออกแบบมาได้ค่อนข้างดีแล้ว ดังนั้น จึงต้องขอเพิ่มในส่วนของการ ‘อุปมาอุปไมย’ ลงไปนะครับ
จุดที่สามารถพัฒนาได้ จากตัวอย่างที่ยกขึ้นมา
ทั้งอาทิตย์ ปัน และแม็กพยักหน้าแผนเที่ยวก็เป็นอันเรียบร้อยเวลาเดียวกับที่รถไฟฟ้าเข้าสถานี พอประตูเลื่อนเปิดออกกานต์รีบเดินเข้าไปจับจองที่นั่งอันหายากทันที
ผู้คนหลั่งไหลเข้าในขบวนจนเต็มอย่างรวดเร็ว เพื่อนทั้ง 3 เองก็เร็วไม่แพ้กันสามารถหาที่นั่งข้างกันได้
ทว่าเรื่องราวในโลก ล้วนจบไม่ง่ายเช่นนั้น...
หญิงชราคนหนึ่งเดินเข้าในรถไฟฟ้า ท่าทางการเดินหลังค่อมและความเชื่องช้าอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งแสดงถึงความสูงอายุอย่างชัดเจน มันทำให้ทั้งสามคนและคนอื่นๆ รอบด้าน สามารถสังเกตุเห็นได้ไม่ยากเลย
“คุณยายครับ มานั่งตรงนี้สิครับ” อาทิตย์ลุกขึ้นให้หญิงชรานั่ง เธอยิ้ม พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณ
อาทิตย์เสียที่นั่งไปแล้ว...และดูเหมือนว่าจะไม่มีทางได้กลับมาอีกตลอดกาล
ไม่ถึงสิบวินาทีมีหญิงท้องป่อง สวมใส่ชุดคลุมท้อง เดินเข้ามาพร้อมผู้ชายอีกคน เดาได้ไม่ยาก นี่น่าจะเป็นคู่สามีภรรยา
“ขอโทษครับ นั่งตรงนี้ดีกว่าครับ” ปันกล่าวออกมา พร้อมทั้งลุกขึ้นจากที่นั่ง เสียสละที่นั่งที่ได้มาไปอย่างเต็มอกเต็มใจ
“ขอบใจมากจ่ะ คุณคะ ฉันนั่งตรงนี้นะคะ” หญิงตั้งครรภ์กล่าวขอบคุณขณะที่สามีของหล่อนประคองให้นั่งอย่างนิ่มนวล
ปันเสียที่นั่งไปแล้ว... เจริญรอยตามเพื่อนรักอย่างอาทิตย์ เหงื่อไหลลงมาเสียเล็กน้อย...
ทำให้เหลือผู้ครองที่นั่งอยู่ 2 คนคือ กานต์ และ...
“พี่ชาย ๆ หนูขอนั่งตรงนี้ได้มั้ยคะ” เด็กหญิงตัวเล็กประมาณ 10 ขวบ ซึ่งราวกับถูกชักจูงมาด้วยกลิ่นความเสียสละของสองคนก่อนหน้า แล้วก็ดูเหมือนว่ากลิ่นนี้แม็กก็มีเหมือนกัน เธอถืออมยิ้ม และถามชายหนุ่มออกไปด้วยเสียอ่อนหวานน่ารัก
อีแบบนี้... ท่าทางจะไม่รอด
แม็กเงยหน้าขึ้นมอง “อยากนั่งตรงนี้เหรอ”
“นะคะ หนูเมื่อยขาอะค่ะ” ขาของเด็กน้อยสั่นนิด ๆ และเริ่มมีน้ำในตาหน่อยแล้วด้วย
แม็กมองซ้ายมองขวา เห็นใบหน้าของสองคนก่อนหน้า ต่างพยักหน้า พร้อมทำสายตาแปลกๆ ราวกับจะบอกว่า ‘ยินดีต้อนรับ สหายร่วมอุดมการณ์’
แล้วในที่สุดแม็กก็ยืนขึ้น ที่นั่งนี้ก็ให้เด็กสาวนั่งไป จากนั้นเลื่อนตัวเข้ายืนจับเสา เช่นเดียวกับอาทิตย์และปัน
เด็กน้อยยิ้มน่ารัก ขาหายสั่นเมื่อลอยจากพื้น เธอยื่นอมยิ้มที่ยังไม่แกะห่อให้แม็กและยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ พี่ชายใจดีที่สุดเลย”
ถึงใบหน้าจะเรียบเฉยแต่กานต์รู้ว่าในใจแม็กคงรู้สึกฟินเหนือคำบรรยาย ก็รับอมยิ้มมาจ้องไม่หยุดเลยนี่นา
แม็กเสียที่นั่งไปแล้ว... ต่อจากอาทิตยก็เป็นปัน ต่อจากปันก็เป็นแม็ก นี่เหมือนกับพวกเขาทั้งสี่กำลังโดนสิ่งเหนือธรรมชาติตามเก็บเรียงคน ให้ตาย ช่างน่ากลัวจริงๆ
ชักรู้สึกไม่ดีเสียแล้ว รายต่อไปต้องเป็นเขาแน่ กานต์คิดในใจ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงสวย หรือเด็กจะแบ๊วซะขนาดไหน เขาก็จะไม่ลุกให้เด็ดขาด จากนั้นพลางหลบสายตาบางคนที่จ้องเขาไม่กระพริบ ทันใดนั้นเอง ผู้ที่เขารอคอยระวังก็ปรากฏตัวผ่านประตูรถไฟฟ้าเข้ามา
เขาผู้นั้นไม่ใช่หญิงรูปงาม
เขาผู้นั้นไม่ใช่เด็กน้อยน่ารัก
เขาผู้นั้นคือ...พระภิกษุสงฆ์!
เพื่อนทั้งสามก่อนหน้านี้ดวงตาวาวโรจน์ ส่องประกายวิบวับ นี่สิ มันถึงจะเรียกว่าความยุติธรรม ใบหน้าแต่ละคนล้วนพยักหน้าพึงพอใจ นี่ราวกับบนหัวของทั้งสามมีตัวอักษรลอยขึ้นมา เป็นเชิงว่า ‘ข้างๆ ฉันยังพอมีที่ว่าง มายืนตรงนี้ได้นะเพื่อน’
กานต์ทำท่าจะลุกขึ้นยืน พร้อมผายมือให้พระนั่งแทน ท่ามกลางสายตาคาดหวังหรืออะไรสักอย่างของเพื่อนทั้ง 3 คน
ทว่า...
“โยมไม่ต้องลุกหรอก อาตมาลงสถานีหน้านี่เอง” พระท่านกล่าว พร้อมทั้งส่ายหน้าอย่างออนโยน จากนั้นจึงกล่าวต่อจากเมื่อครู่ “แต่ยังไง ก็ขอบคุณโยมนะ ที่มีน้ำใจ”
กานต์รักษาที่นั่งไว้ได้... สุดท้าย ความยุติธรรมก็ไม่มีอยู่จริง...
ไม่รู้ทำไมกานต์ถึงคิดว่าเพื่อนของเขาถึงส่งสายแปลก ๆ มาที่เขา
สัญญาณเตือนว่าประตูกำลังจะปิดดังขึ้น อีกไม่กี่วินาที ที่นั่งนี้ จะเป็นของเขาไปอีกจนถึงสถานีสมานมิตรแน่นอน
เสียงตึก ๆๆ ซอยเท้าถี่ ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้องเสียงตึกดังครั้งหนึ่งเพื่อหยุด มีใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามาทันเวลาก่อนประตูปิดอย่างพอดีที่สุด
ผมสีดำกระเซิงนิดหน่อย แว่นตาหนากลม มีปึกกระดาษในแขนข้างหนึ่งและสะพายกระเป๋าหนา
ใช่เลย ไม่ผิดตัวแน่ นี่คือสาวแว่นที่วิ่งชนกานต์เมื่อวานนี่นา
กานต์พยายามไม่สบตากลัวผู้หญิงคนนั้นจะทักและเรื่องวุ่น ๆ คงจะตามมาตามสูตรนิยายที่นิยมในช่วงสองสามปีนี้ แต่ว่าเพื่อนของเขาคงไม่คิดเช่นนั้น
อาทิตย์สะบัดหน้าไปทางเด็กสาวที่หอบเอกสารเต็มมือ พร้อมส่งสายตามาประมาณว่า
ลุกให้เธอนั่งซะ
จากนั้นกานต์ก็ส่งข้อความกลับไปด้วยวิธีเดียวกันแต่มีภาษามือประกอบเล็กน้อย
เรื่องอะไร หล่อนไม่ได้ขอสักหน่อย
จะไม่ลุกให้เด็กสาวที่หอบของพะรุงพะรังนั่งเหรอ ผู้ชายจริงรึเปล่า คราวนี้ปันเข้ามาผสมโรงด้วย
กานต์ตอบกับไปด้วยสายตาที่เด็ดขาด ไม่ก็คือไม่สิ พวกนายเลือกไปยืนเองไม่ต้องลากตามเลย
ทว่ากานต์เห็นสายตาง่วง ๆ ของแม็กจ้องมาที่เขา เผิน ๆ เหมือนไม่มีอะไรทว่าทั้งกานต์และเพื่อนทั้งสองดูออกว่าสายตานั่นเป็นสายตาที่ใช้มองอย่างไม่พอใจ เหยียดหยาม และรังเกียจ แปลออกมาได้สั้น ๆ ว่า
กานต์คนไม่ดี
เมื่อทนสายตาของเพื่อนตัวดีไม่ไหว การโดนรุมประนามเช่นนี้ทรงพลังมากเกินไป สุดท้ายกลายเป็นจนปัญญาจะต่อต้าน ชายหนุ่มพยักหน้าให้ตนเองหนึ่งครา จากนั้นเขาจึงสะกิดสาวแว่นพร้อมกล่าว “เธอ ๆ มานั่งตรงนี้มั้ย”
“เอ๋ จะดีเหรอคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก นั่งเถอะ” แล้วกานต์ก็ลุกให้เธอนั่ง เธอมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ ที่จริงต้องบอกว่ามองเหนือหัวเขาต่างหากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ก้มหัวเป็นเชิงขอบคุณเท่านั้น
แล้วสี่สหายก็ยืนร่วมกันจับราวบนรถไฟฟ้าไปอีก 10 สถานี นี่สิ ถึงเรียกว่าเพื่ิอนกัน...
“เราว่าหน้าตาดูคุ้น ๆ นะ เคยเห็นที่ไหนมาก่อนรึเปล่า” อาทิตย์มองไปที่สาวแว่นทีก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
แต่คนให้คำตอบกลับเป็นปัน “นึกออกแล้ว กัญญา ไง กัญญา ปัญญาอุดม ที่มีรูปโชว์ที่บอร์ดหน้าโรงเรียนไง ตัวแทนสอบแข่งขันอะไรซักอย่างที่ได้รางวัล 20,000 บาทไง”
“อย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเป็นพวกห้อง 1 น่ะสิ” ในความคิดของกานต์ไม่มีนักเรียนทั่วไปที่ไหนจะสอบแข่งขันผ่านรอบคัดเลือกไปได้นอกจากห้อง 1 ถึง 3 เข้ารอบลึกได้เงินรางวัลมากขนาดนี้คงมีแต่ห้อง 1 แล้ว
“เฮ้อ ลูกรักของอาจารย์ก็งี้แหละ ของดีอยู่ตรงนี้แล้วแท้ ๆ กลับไม่คิดจะเหลียวมอง” อาทิตย์มองอย่างเสียดายปิดไม่มิดจนกระทั่งแม็กพูดขึ้นมา
“พูดแบบนี้ รู้สึกสงสารฝ่ายหญิงเลย”
“หมายความว่ายังไง ห้ะ!”
3
เทียนหลง
Novel : ภารกิจแจกรักของกามเทพพันธุ์พิลึก
มายไอดี : http://my.dek-d.com/25299/
Link (สำหรับอ่านผลงาน) : http://my.dek-d.com/25299/writer/viewlongc.php?id=1445730&chapter=2
ตัวอย่างอาการ :
“ถ้าเราตกลงไปมันจะเป็นยังไงนะ...ผู้คนจะแตกตื่นไหมนะ...แล้วจะมีสาวๆ แถวนั้นสักคนเข้ามาดูร่างเรา...เป็นห่วงเรา พยายามช่วยชีวิตเราไหม...นะ” ชายหนุ่มบ่นอย่างเศร้าสร้อยไร้เรี่ยวแรง
“หึ มันก็น่าลองเหมือนกันนะ” ชายหนุ่มพูดอย่างเหม่อลอยกับความหวังลมๆ แล้งๆ นั้น ก่อนจะมีสายลมเย็นพัดมาอีกระลอกจนเขาต้องใช้เท้ามายันพื้นเอาไว้
“บรื๋ออออ หนาวแฮะรีบลงดีกว่า” ชายหนุ่มบ่นขึ้นแล้วกระโดดลงจากขอบกั้นกลับเข้าไปในดาดฟ้า ก่อนจะนั่งเอาหลังพิงกับผนังกั้นที่สูงเกือบเมตรครึ่งเมื่อครู่เพื่อใช้กันลมไปในตัว แล้วใช้มือถูแขนไปมาเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย ที่ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นยามสายของฤดูร้อนก็ตาม แต่การมายืนตากลมบนยอดตึกระฟ้าแบบนี้ก็ทำให้หนาวได้เหมือนกัน
“เหอะ ไอ้พวกบนสวรรค์คงคิดล่ะสิว่าฉันจะโดดลงไปน่ะ...ไม่สิ คงจะสาปแช่งให้ฉันรีบๆ โดดลงไปซะ ทีนี้ก็คงคิดจะทำเหมือนในนิยายพอฉันตายก็จะให้เกิดใหม่เป็นกามเทพเพื่อสั่งสอนฉันสินะ” ชายหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วตะโกนออกไปทั้งที่ไม่รู้ว่าจะมีใครได้ยินไหมก็ตาม
“คิดง่ายไปแล้ว ไอ้เรื่องเพ้อเจ้อแบบนั้นมันมีจริงที่ไหนกัน คนอย่างไอ้ยะอ่ะนะแค่โดนผู้หญิงบอกเลิกไม่มีทางเสีย...ใจ...หรอก...เว้ยยยยย” ยะหรือกริชญะร้องตะโกนทั้งน้ำตานองหน้า ผิดกับคำพูดตัวเองเมื่อกี้ลิบลับ
กริชญะก้มลงมองจอมือถือที่เปิดค้างเอาไว้แล้วเลื่อนหาข้อความที่แฟนคนที่ 20 ของเขาส่งมาให้
“หนูว่าหนูคงเข้าไปในโลกเดียวกับพี่ไม่ได้หรอกค่ะ” ข้อความนี้ถูกส่งมาหลังจากที่ทั้งสองไปกินข้าวด้วยกันเมื่อไม่กี่วันก่อน
ไม่รู้ว่าเขาอ่านข้อความนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว แต่ทุกครั้งที่อ่านเขาก็ได้เฝ้าครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้ถูกบอกเลิกอย่างนี้ ทั้งที่หลังจากที่เริ่มคบกันได้เมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ววันถัดมาเขาก็ชวนเธอไปกินข้าวและเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังแถมท่าทางก็คุยกันถูกคอดีด้วยแท้ๆ แล้วทำไมถึงได้ถูกบอกเลิกได้นั้นตัวเขาเองก็ยังไม่อาจหาคำตอบได้เหมือนกัน
“แค่เราเล่าเรื่องหนังสือที่กำลังเขียนอยู่ให้ฟังชั่วโมงสองชั่วโมงเอง” กริชญะบ่นงึมงำขึ้นอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
ซึ่งจริงๆ แล้วภาพที่ชายหนุ่มเห็นมันเป็นเพียงการคิดไปเองฝ่ายเดียวเท่านั้น เพราะที่บอกว่าอีกฝ่ายสนุกไปด้วยนั้น เธอก็แค่ยิ้มและพยักหน้ารับไปอย่างนั้น เพราะเธอไม่เข้าใจเรื่องที่กริชญะเล่าเลยสักนิดต่างหาก
“ไอ้ยะนะไอ้ยะ ทำไมแกถึงได้เป็นคนอาภัพรักขนาดนี้นะ” ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจจนได้แต่ร้องตะโกนออกมาอย่างอัดอั้นตันใจเท่านั้น
“ไอ้พวกกามเทพเฮงซวยยยยยยยยย!!!!”
โครมมมมม!!!
“เฮ้ย!”
แล้วทันใดนั้นก็มีวัตถุลึกลับตกลงตรงหน้าเขาอย่างแรงจนฝุ่นผงคละคลุ้ง และเมื่อกริชญะตั้งสติได้ก็จ้องมองไปยังกลุ่มควันฝุ่นนั้นเขาก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองจนต้องขยี้ตาอีกครั้ง เพราะสิ่งที่เขาเห็นคือเงาของปีกนกขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่มควันนั้น แต่พริบตาต่อมามันก็หายไปราวไม่เคยมีอยู่ด้วยซ้ำ พร้อมๆ กับเสียงร้องโวยวายที่ดังออกมาจากกลุ่มควัน
“โอ๊ย นี่มันอะไรกันเนี่ย บินอยู่ดีๆ ก็ร่วงลงมาเฉยเลย”
จนเมื่อกลุ่มควันเริ่มจางลง กริชญะก็ค่อยๆ มองเห็นว่าสิ่งนั้นคือชายหนุ่มผมสีทองเปล่งประกายยาวกำลังดี ผิวขาวผ่องจนราวกับส่องแสงออกมาได้แล้วยิ่งรวมกับโครงหน้าที่หล่อเหลากับนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนราวกับท้องฟ้า ทำให้ในความคิดของกริชญะแล้วชายหนุ่มคนนี้จัดอยู่ในระดับที่ต้องเรียกว่าเทพบุตรกลับชาติมาเกิดเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่ติดที่...การแต่งตัวของพี่ท่านมันโคตรร็อคและอินดี้สุดติ่งเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะผมสีทองเปล่งประกายที่ดันไปทำทรงชี้ตั้งขึ้นราวกับเสาโทรเลขหรือเสื้อแจ็คเก็ตหนังและกางเกงหนังยันรองเท้าบูทหนังล้วนเป็นสีดำทั้งสิ้น แถมยังไม่หมดแค่นั้นเพราะตามตัวยังมีเครื่องประดับที่ทำจากเงินแวววาวไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอรูปไม้กางเขน สายโซ่ที่ห้อยตามกระเป๋าเสื้อและกางเกง หัวเข็มขัดรูปหัวกระโหลกใหญ่เท่ากำปั้นแล้วมาจบด้วยบรรดาแหวนเงินรูปต่างๆ ที่เรียงรายอยู่บนนิ้วนั้นทำให้กริชญะถึงกับชะงักค้างไปหลายวินาทีเลยทีเดียว
ชายหนุ่มคนนั้นยืนปัดฝุ่นตามตัวพลางโวยวายอย่างหัวเสีย แถมยังดูท่าทางสบายดีอีกด้วยทั้งที่เพิ่งจะตกลงมาจากที่ไหนก็ไม่รู้อย่างแรงแท้ๆ ซึ่งกริชญะเองก็อดเงยหน้าขึ้นไปมองหาไม่ได้ว่าคนตรงหน้านั้นตกมาจากที่ไหนกันแน่
“นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ในที่สุดกริชญะก็ตัดสินใจถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ใครมันกล้ามาแกล้งกันฟ่ะ อย่าให้รู้ตัวนะพ่อจะเป่าสมองให้กระจุยเลย!” แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินเขาหรืออาจจะไม่ได้สนใจเขาเลยมากกว่า
“นี่นาย” กริชญะลองเรียกอีกครั้งแต่ก็ยังเหมือนเดิม ไม่สิอาจจะหนักข้อกว่าเดิมก็ได้ เพราะตอนนี้อีกฝ่ายไม่เพียงไม่สนใจเขา แต่เหมือนว่าจะไม่รับรู้เลยด้วยว่ามีเขายืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ
และแม้ว่ากริชญะจะยังพยายามใจเย็นแล้วแล้วเรียกไปอีกหลายครั้งแต่ผลก็ยังเหมือนเดิม จนเขาเหลืออดร้องตะคอกออกไป
“เฮ้ย! ไอ้หูหนวก!”
“โอยยยย น่ารำคาญจริงถ้าแกจะเรียกเพื่อนแกก็เดินไปเรียกใกล้ๆ ดิ มาตะโกนข้ามหัวกันอยู่ได้!” และครั้งนี้ก็ได้ผลเสียด้วย เมื่ออีกฝ่ายหันกลับมาตอบเสียงดังอย่างโมโหแม้ว่าคำพูดจะฟังดูแปลกๆ ก็ตามที
แต่เป็นฝั่งหนุ่มมาดร็อคที่ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่ารอบๆ นั้นไม่มีใครอื่นนอกพวกเขาทั้งสองทำให้รู้ได้ว่าคนที่กริชญะกำลังพูดด้วยคือตัวเอง
หนุ่มมาดร็อคมองซ้ายมองขวาอย่างงงๆ ก่อนจะหันมาจ้องกริชญะตาค้างแล้วชี้นิ้วมาทีหน้าตัวเองเป็นเชิงถามว่า ‘เมื่อกี้นายพูดกับฉันเหรอ?’ ซึ่งกริชญะเองก็พยักหน้ากลับไปอย่างแรงเพื่อยืนยันคำตอบ
“นี่นายมองเห็นฉันด้วยเหรอ?” หนุ่มมาดร็อคถามคำถามแปลกๆ ออกมา
“ห๊ะ?” กริชญะอุทานออกมาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะตอบกลับไปอย่างมึนงงเช่นกัน
“ทำไมจะมองไม่เห็...”
ติ๊ดๆๆๆๆๆๆ แต่เขายังพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำก็มีเสียงอะไรบางอย่างดังขัดจังหวะเสียก่อน
พร้อมกับที่หนุ่มมาดร็อครีบล้วงเอาบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง ซึ่งพอมองดีๆ กริชญะก็เห็นว่ามันคือโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขนาดเท่ากับฝ่ามือที่ตอนนี้บนหน้าจอกำลังแสดงรูปหัวใจสีแดงกำลังกระพริบถี่ยิบพร้อมเสียงสัญญาณเตือนดังไม่ได้หยุด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นภาพของชายหนุ่มร่างท้วมกับรายละเอียดมากมายและตัวเลขใต้ภาพที่ยังหมุนติ้ว
จนกระทั่งตัวเลขนั้นหยุดอยู่ที่ 1414 แล้วกริชญะก็ต้องตกตะลึงจนตาค้างเมื่อจู่ๆ ก็มีละอองเสียงสีขาวพวยพุ่งจากสมาร์ทโฟนเครื่องนั้น ก่อนจะค่อยๆ ก่อตัวกันอยู่ตรงหน้าของหนุ่มมาดร็อคจนเกิดเป็นปืนไรเฟิลกระบอกใหญ่สีดำด้านที่ตัวปืนยาวกว่าหนึ่งเมตรพร้อมกับกล้องส่อง ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องปืนมากนักแต่ไอ้กระกระบอกนี้มันเหมือนกับปืนที่พวกทหารใช้ในหนังสงครามที่เขาชอบดูไม่มีผิด
“ดีนะที่ได้ถึงระดับนี้จะได้ไม่ต้องบินลงไปให้เสียเวลา” หนุ่มมาดร็อคเปรยแล้วคว้าปืนนั้นเอาไว้ท่ามกลางสายตาตกตะลึงไม่หายของเขาแถมท่าทางแล้วคนตรงหน้าจะลืมไปแล้วว่ามีเขายืนอยู่ตรงนี้ด้วย
แล้วหนุ่มมาดร็อคก็ทำในสิ่งที่กริชญะต้องตื่นตกใจยิ่งกว่าเดิม เมื่อคนตรงหน้าเดินแบกปืนพาดไหล่อย่างเท่ด้วยท่าทางแบบพวกทหารมือเก๋า ก่อนจะประทับเล็งปืนเข้าขอบดาดฟ้าด้านเดียวกับที่กริชญะยืนอยู่พร้อมกับแนบตาเข้ากับกล้องส่องมองลงไปเบื้องล่าง
เพียงเท่านั้นต่อให้ไม่ต้องเดากริชญะก็รู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าคิดจะทำอะไร เขารีบกระโจนไปเกาะขอบกั้นแล้วมองลงไปด้านล่างทันที แต่ก็ต้องสบถออกมาอย่างหัวเสีย เพราะบนนี้สูงเกินไปจนมองไม่เห็นอะไรด้วยซ้ำ แต่เขาก็รู้ดีว่าคนๆ นี้ต้องกำลังคิดจะยิงใครสักคนข้างล่างนั้นแน่ๆ
กริชญะถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อนึกถึงสิ่งที่ชายคนนี้กำลังจะทำ แต่ถึงเขาจะกลัวและยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกก็ตาม แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาควรทำมีแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือ...
‘ต้องหยุดชายคนนี้ไว้ให้ได้!’
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็รีบวิ่งเข้าไปหาหนุ่มมาดร็อคเพื่อหวังจะผลักปืนให้หันไปทางอื่นก็ยังดี แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาคิดจะทำนั้นคงจะสายไปเสีย เพราะวินาทีเดียวกับที่เขาพุ่งตัวออกไปนั้นนิ้วของชายตรงหน้าก็เลื่อนเข้าใกล้โก่งปืนเตรียมลั่นไกแล้วเช่นกัน
“หยุดนะ!!!!!!!!!!!!!!!!”
ปัง!!!!!!
วินัจฉัย :
ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า เนื่องจากตอนที่คุณเทียนหลง ซึ่งก็คือผู้เขียนเรื่องนี้ส่งมา มันเป็นตอนแรก ดังนั้น ด้วยความที่ผมเข้าใจดี ว่าในตอนแรก เราจะต้องเปิดเรื่องให้เนื้อหาและกลิ่นอายที่เป็นตัวเรามากที่สุด ซึ่งคุณเทียนหลงก็ทำออกมาได้ดีมากครับ
ตัวละครค่อนข้างที่มีคาแรคเตอร์ที่สามารถสร้างความเฮฮาได้อยู่แล้วครับ บวกกับสถานการณ์เพี้ยนๆ ผมว่า นี่ออกมาได้ค่อนข้างที่จะสมบูรณ์อยู่แล้ว
หากแต่ในส่วนของการขยายในบางจุด นั้นยังสามรถเพิ่มลงไปได้อีก ทั้งในแง่ของการอุปมาอุปไมย หรือว่าสถานการที่น่าจะทำให้อะไรมาเฮฮาได้มากขึ้นไปอีก (เช่นกามเทพตกลงมา หัวไปฟาดลงจุดที่พระเอกเพิ่งจะลงมาจากขอบตึก อารมณ์เหมือน ถ้าพระเอกเดินลงมาช้ากว่านี้นิดเดียว ต้องตายไปแล้วแน่ๆ ไรงี้ ซึ่งแน่นอน ด้วยคาแรคเตอร์ของพระเอก มันจะเป็นการแสดงความคิดที่ค่อนข้างจะเพี้ยนออกมาแน่ๆ ฮ่าๆ)
อย่างไรก็ตาม กระผมขออนุญาตแนะนำให้การเพิ่มเติมบางจุดดังนี้ครับ^^
จุดที่สามารถพัฒนาได้ จากตัวอย่างที่ยกขึ้นมา
“ถ้าเราตกลงไปมันจะเป็นยังไงนะ...ผู้คนจะแตกตื่นไหมนะ...แล้วจะมีสาวๆ แถวนั้นสักคนเข้ามาดูร่างเรา...เป็นห่วงเรา พยายามช่วยชีวิตเราไหม...นะ” ชายหนุ่มบ่นอย่างเศร้าสร้อยไร้เรี่ยวแรง
“หึ มันก็น่าลองเหมือนกันนะ” ชายหนุ่มพูดอย่างเหม่อลอยกับความหวังลมๆ แล้งๆ นั้น ก่อนจะมีสายลมเย็นพัดมาอีกระลอกจนเขาต้องใช้เท้ามายันพื้นเอาไว้... ให้ตาย เกือบตกลงไปแล้วไหมล่ะ
“บรื๋ออออ หนาวแฮะรีบลงดีกว่า” ชายหนุ่มบ่นขึ้นแล้วกระโดดลงจากขอบกั้นกลับเข้าไปในดาดฟ้า ก่อนจะนั่งเอาหลังพิงกับผนังกั้นที่สูงเกือบเมตรครึ่งเมื่อครู่เพื่อใช้กันลมไปในตัว แล้วใช้มือถูแขนไปมาเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย ที่ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นยามสายของฤดูร้อนก็ตาม แต่การมายืนตากลมบนยอดตึกระฟ้าแบบนี้ก็ทำให้หนาวได้เหมือนกัน
“เหอะ ไอ้พวกบนสวรรค์คงคิดล่ะสิ ว่าฉันจะโดดลงไปน่ะ...ไม่สิ คงจะสาปแช่งให้ฉันรีบๆ โดดลงไปซะ ทีนี้ก็คงคิดจะทำเหมือนในนิยาย พอฉันตายก็จะให้เกิดใหม่เป็นกามเทพเพื่อสั่งสอนฉันสินะ” ชายหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วตะโกนออกไปทั้งที่ไม่รู้ว่าจะมีใครได้ยินไหมก็ตาม
“คิดง่ายไปแล้ว ไอ้เรื่องเพ้อเจ้อแบบนั้นมันมีจริงที่ไหนกัน คนอย่างไอ้ยะอ่ะนะแค่โดนผู้หญิงบอกเลิกไม่มีทางเสีย... ใจ... หรอก... เว้ยยยยย” ยะหรือกริชญะร้องตะโกน หากแต่ในวินาทีต่อมา หยุดน้ำอุ่นๆ ก็ไหลพรากนองหน้า ผิดกับคำพูดตัวเองเมื่อกี้ลิบลับ
กริชญะก้มลงมองจอมือถือที่เปิดค้างเอาไว้แล้วเลื่อนหาข้อความที่แฟนคนที่ 20 ของเขาส่งมาให้
“หนูว่าหนูคงเข้าไปในโลกเดียวกับพี่ไม่ได้หรอกค่ะ” ข้อความนี้ถูกส่งมาหลังจากที่ทั้งสองไปกินข้าวด้วยกันเมื่อไม่กี่วันก่อน
ไม่รู้ว่าเขาอ่านข้อความนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว แต่ทุกครั้งที่อ่านเขาก็ได้เฝ้าครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้ถูกบอกเลิกอย่างนี้ ทั้งที่หลังจากที่เริ่มคบกันได้เมื่ออาทิตย์ก่อน แล้ววันถัดมาเขาก็ชวนเธอไปกินข้าวและเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังแถมท่าทางก็คุยกันถูกคอดีด้วยแท้ๆ แล้วทำไมถึงได้ถูกบอกเลิกได้นั้นตัวเขาเองก็ยังไม่อาจหาคำตอบได้เหมือนกัน
“แค่เราเล่าเรื่องหนังสือที่กำลังเขียนอยู่ ให้ฟังชั่วโมงสองชั่วโมงเอง” กริชญะบ่นงึมงำขึ้นอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
ซึ่งจริงๆ แล้วภาพที่ชายหนุ่มเห็นมันเป็นเพียงการคิดไปเองฝ่ายเดียวเท่านั้น เพราะที่บอกว่าอีกฝ่ายสนุกไปด้วยนั้น เธอก็แค่ยิ้มและพยักหน้ารับไปอย่างนั้น เพราะเธอไม่เข้าใจเรื่องที่กริชญะเล่าเลยสักนิดต่างหาก
นี่ถ้าหากว่ากริชญะรู้ความจริงข้อนี้ บางทีอาจจะกลับบ้านไปเอาหัวโขกหมอนตายแทนก็ได้
“ไอ้ยะนะไอ้ยะ ทำไมแกถึงได้เป็นคนอาภัพรักขนาดนี้นะ” ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจจนได้แต่ร้องตะโกนออกมาอย่างอัดอั้นตันใจเท่านั้น
“ไอ้พวกกามเทพเฮงซวยยยยยยยยย!!!!”
โครมมมมม!!!
“เฮ้ย!”
แล้วทันใดนั้นก็มีวัตถุลึกลับตกลงตรงหน้าเขาอย่างแรงจนฝุ่นผงคละคลุ้ง
เมื่อกริชญะตั้งสติได้ ก็จ้องมองไปยังกลุ่มควันฝุ่นนั้นเขาก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองจนต้องขยี้ตาอีกครั้ง เพราะสิ่งที่เขาเห็นคือเงาของปีกนกขนาดใหญ่ กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่มควันนั้น แต่พริบตาต่อมามันก็หายไปราวไม่เคยมีอยู่ด้วยซ้ำ พร้อมๆ กับเสียงร้องโวยวายที่ดังออกมาจากกลุ่มควัน
“โอ๊ย นี่มันอะไรกันเนี่ย บินอยู่ดีๆ ก็ร่วงลงมาเฉยเลย”
จนเมื่อกลุ่มควันเริ่มจางลง กริชญะก็ค่อยๆ มองเห็นว่าสิ่งนั้นคือชายหนุ่มผมสีทองเปล่งประกายยาวกำลังดี ผิวขาวผ่องจนราวกับส่องแสงออกมาได้แล้วยิ่งรวมกับโครงหน้าที่หล่อเหลากับนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนราวกับท้องฟ้า ทำให้ในความคิดของกริชญะแล้วชายหนุ่มคนนี้จัดอยู่ในระดับที่ต้องเรียกว่าเทพบุตรกลับชาติมาเกิดเลยก็ว่าได้
เดี๋ยวนะ... อะไรคือการที่ผู้ชายชมผู้ชายด้วยกันอย่างออกหน้าออกตาขนาดนี้... ถึงจะแค่ในใจก็เถอะ!
หากแต่การแต่งตัวของพี่ท่าน มันโคตรร็อคและอินดี้สุดติ่งเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะผมสีทองเปล่งประกายที่ดันไปทำทรงชี้ตั้งขึ้นราวกับเสาไฟฟ้าแรงสูง หรือเสื้อแจ็คเก็ตหนังและกางเกงหนังยันรองเท้าบูทหนังล้วนเป็นสีดำทั้งสิ้น แถมยังไม่หมดแค่นั้น เพราะตามตัวยังมีเครื่องประดับที่ทำจากเงินแวววาว ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอรูปไม้กางเขน สายโซ่ที่ห้อยตามกระเป๋าเสื้อและกางเกง หัวเข็มขัดรูปหัวกระโหลกใหญ่เท่ากำปั้น แล้วมาจบด้วยบรรดาแหวนเงินรูปต่างๆ ที่เรียงรายอยู่บนนิ้วนั้นทำให้กริชญะถึงกับชะงักค้างไปหลายวินาทีเลยทีเดียว
ชายหนุ่มคนนั้นยืนปัดฝุ่นตามตัวพลางโวยวายอย่างหัวเสีย แถมยังดูท่าทางสบายดีอีกด้วยทั้งที่เพิ่งจะตกลงมาจากที่ไหนก็ไม่รู้อย่างแรงแท้ๆ ซึ่งกริชญะเองก็อดเงยหน้าขึ้นไปมองหาไม่ได้ว่าคนตรงหน้านั้นตกมาจากที่ไหนกันแน่
“นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ในที่สุดกริชญะก็ตัดสินใจถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ใครมันกล้ามาแกล้งกันฟ่ะ อย่าให้รู้ตัวนะพ่อจะเป่าสมองให้กระจุยเลย!” แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินเขาหรืออาจจะไม่ได้สนใจเขาเลยมากกว่า
“นี่นาย” กริชญะลองเรียกอีกครั้งแต่ก็ยังเหมือนเดิม ไม่สิอาจจะหนักข้อกว่าเดิมก็ได้ เพราะตอนนี้อีกฝ่ายไม่เพียงไม่สนใจเขา แต่เหมือนว่าจะไม่รับรู้เลยด้วยว่ามีเขายืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ
และแม้ว่ากริชญะจะยังพยายามใจเย็นแล้วแล้วเรียกไปอีกหลายครั้งแต่ผลก็ยังเหมือนเดิม จนเขาเหลืออดร้องตะคอกออกไป
“เฮ้ย! ไอ้หูหนวก!”
“โอยยยย น่ารำคาญจริงถ้าแกจะเรียกเพื่อนแกก็เดินไปเรียกใกล้ๆ ดิ มาตะโกนข้ามหัวกันอยู่ได้!” และครั้งนี้ก็ได้ผลเสียด้วย เมื่ออีกฝ่ายหันกลับมาตอบเสียงดังอย่างโมโหแม้ว่าคำพูดจะฟังดูแปลกๆ ก็ตามที
แต่เป็นฝั่งหนุ่มมาดร็อคที่ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่ารอบๆ นั้นไม่มีใครอื่นนอกพวกเขาทั้งสองทำให้รู้ได้ว่าคนที่กริชญะกำลังพูดด้วยคือตัวเอง
หนุ่มมาดร็อคมองซ้ายมองขวาอย่างงงๆ ก่อนจะหันมาจ้องกริชญะตาค้างแล้วชี้นิ้วมาทีหน้าตัวเองเป็นเชิงถามว่า ‘เมื่อกี้นายพูดกับฉันเหรอ?’ ซึ่งกริชญะเองก็พยักหน้ากลับไปอย่างแรงเพื่อยืนยันคำตอบ
“นี่นายมองเห็นฉันด้วยเหรอ?” หนุ่มมาดร็อคถามคำถามแปลกๆ ออกมา
“ห๊ะ?” กริชญะอุทานออกมาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะตอบกลับไปอย่างมึนงงเช่นกัน
“ทำไมจะมองไม่เห็...”
ติ๊ดๆๆๆๆๆๆ แต่เขายังพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำก็มีเสียงอะไรบางอย่างดังขัดจังหวะเสียก่อน
พร้อมกับที่หนุ่มมาดร็อครีบล้วงเอาบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง ซึ่งพอมองดีๆ กริชญะก็เห็นว่ามันคือโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขนาดเท่ากับฝ่ามือ ที่ตอนนี้บนหน้าจอกำลังแสดงรูปหัวใจสีแดง กำลังกระพริบถี่ยิบพร้อมเสียงสัญญาณเตือนดังไม่หยุด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นภาพของชายหนุ่มร่างท้วมกับรายละเอียดมากมายและตัวเลขใต้ภาพที่ยังหมุนติ้ว
จนกระทั่งตัวเลขนั้นหยุดอยู่ที่ 1414 แล้วกริชญะก็ต้องตกตะลึงจนตาค้าง เมื่อจู่ๆ ก็มีละอองเสียงสีขาวพวยพุ่งจากสมาร์ทโฟนเครื่องนั้น ก่อนจะค่อยๆ ก่อตัวกันอยู่ตรงหน้าของหนุ่มมาดร็อค จนเกิดเป็นปืนไรเฟิลกระบอกใหญ่สีดำด้านที่ตัวปืนยาวกว่าหนึ่งเมตรพร้อมกับกล้องส่อง ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องปืนมากนักแต่ไอ้กระกระบอกนี้มันเหมือนกับปืนที่พวกทหารใช้ในหนังสงครามที่เขาชอบดูไม่มีผิด
“ดีนะที่ได้ถึงระดับนี้จะได้ไม่ต้องบินลงไปให้เสียเวลา” หนุ่มมาดร็อคเปรยแล้วคว้าปืนนั้นเอาไว้ท่ามกลางสายตาตกตะลึงไม่หายของเขาแถมท่าทางแล้วคนตรงหน้าจะลืมไปแล้วว่ามีเขายืนอยู่ตรงนี้ด้วย
แล้วหนุ่มมาดร็อคก็ทำในสิ่งที่กริชญะต้องตื่นตกใจยิ่งกว่าเดิม เมื่อคนตรงหน้าเดินแบกปืนพาดไหล่อย่างเท่ด้วยท่าทางแบบพวกทหารมือเก๋า ก่อนจะประทับเล็งปืนเข้าขอบดาดฟ้าด้านเดียวกับที่กริชญะยืนอยู่พร้อมกับแนบตาเข้ากับกล้องส่องมองลงไปเบื้องล่าง
เพียงเท่านั้นต่อให้ไม่ต้องเดากริชญะก็รู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าคิดจะทำอะไร เขารีบกระโจนไปเกาะขอบกั้นแล้วมองลงไปด้านล่างทันที แต่ก็ต้องสบถออกมาอย่างหัวเสีย เพราะบนนี้สูงเกินไปจนมองไม่เห็นอะไรด้วยซ้ำ แต่เขาก็รู้ดีว่าคนๆ นี้ต้องกำลังคิดจะยิงใครสักคนข้างล่างนั้นแน่ๆ
กริชญะถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อนึกถึงสิ่งที่ชายคนนี้กำลังจะทำ แต่ถึงเขาจะกลัวและยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกก็ตาม แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาควรทำมีแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือ...
‘ต้องหยุดชายคนนี้ไว้ให้ได้!’
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็รีบวิ่งเข้าไปหาหนุ่มมาดร็อคเพื่อหวังจะผลักปืนให้หันไปทางอื่นก็ยังดี แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาคิดจะทำนั้นคงจะสายไปเสีย เพราะวินาทีเดียวกับที่เขาพุ่งตัวออกไปนั้นนิ้วของชายตรงหน้าก็เลื่อนเข้าใกล้โก่งปืนเตรียมลั่นไกแล้วเช่นกัน
“หยุดนะ!!!!!!!!!!!!!!!!”
ปัง!!!!!!
6 ความคิดเห็น
ขอบคุณมากครับ
จะเก็บรักษาหนังสือที่ได้อย่างดีเลยครับผม
ปล. ลิงค์มายไอดีรู้สึกจะไปลงที่ของคนอื่นนะครับ
อ่านแล้วชอบมากๆเลยครับ จะลองเอาไปใช้ดูนะครับเพราะเหมือนมันทำให้เรื่องมันดูน่าสนุกขึ้นมากเลยครับ
ขอแสดงความสำนึกผิดอย่างรุนแรง
เพิ่งเฆ้นว่าเรื่องตัวเองติดด้วย
ขอบคุณมากครับ
และขอโทษด้วยครับที่เพิ่งมาเห็น เหอๆ
สุดยอด
ฮ่าๆ คือเนื้อหาน่ารักมาก คนเขียนก็ด้วยยย ฮ่า ฮ่าาาา
พอเห็นชื่อคนเขียนแล้ว นึกถึงซอมบี้..5555