ส่องชีวิตฟรีแลนซ์ครึ่งใบ "หมู" รับจ้าง+ประกวดทุกอย่างในสายโปรดักชัน ส่งตัวเองเรียนได้ตั้งแต่ ม.6

     การมีรายได้พิเศษระหว่างเรียน ถือเป็นหนึ่งความใฝ่ฝันอันดับต้นๆ ในชีวิตวัยเรียนของใครหลายคน เพราะในช่วงวัยที่เราไม่สามารถดูแลและส่งเสียตัวเองได้ทั้งหมด ก็มักจะถูกผู้ปกครองคอยควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อให้เรารู้จักสร้างวินัยทางการเงิน ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่สามารถนำเงินที่คุณพ่อคุณแม่ให้ไปซื้อของเล่น เสื้อผ้า อาหาร หรือท่องเที่ยวได้ตามอำเภอใจ เพราะผู้ใหญ่จะคอยเตือนอยู่เสมอว่าให้ใช้เงินอย่างรู้คุณค่าและอย่าฟุ่มเฟือย จึงทำให้วัยรุ่นไทยจำนวนไม่น้อยลุกขึ้นมาทำงานพิเศษเพื่อนำรายได้ของตัวเองมาใช้จ่ายตามความต้องการของตัวเองได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเป็นภาระแก่ทางบ้าน
    
     แต่ความสำเร็จที่เกิดจากการมีรายได้พิเศษของวัยรุ่นนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ความสามารถในการเก็บเงินซื้อสิ่งของที่อยากได้ หรือจัดทริปเที่ยวด้วยเงินตัวเองเพียงเท่านั้น เพราะยังมีน้องๆ วัยเรียนที่ทำงานพิเศษเพื่อหาเงินมาส่งเสียตัวเองและครอบครัวได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็คือ Idol กิจกรรมที่พี่ส้มจะพาชาว Dek-D.com ไปถอดบทเรียนจากประสบการณ์ชีวิต "ฟรีแลนซ์ครึ่งใบ" ที่เขาได้รับมาเต็มๆ จากการรับงานสายโปรดักชัน(เบื้องหลังการผลิตสื่อ)ทุกประเภท จนมีเงินไว้กิน ใช้ จ่ายค่าเทอม และจุนเจือครอบครัวมาตั้งแต่ ม.6 ถึงปัจจุบันเลยทีเดียวค่ะ ขอบอกเลยว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ก็ได้เจอมาทั้งร้ายดี ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้นต้องมาฟังจากปากของเจ้าตัว ว่าแล้วก็ขอเชิญพบกับ "น้องหมู - วิทยา ดอกกลาง" นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้ใน ณ บัดนี้!!!
    
น้องหมู-วิทยา ดอกกลาง 
นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
      
      
 'กล้องคอมแพกต์' อุปกรณ์ชิ้นแรกที่สร้างแรงบันดาลใจ 
     
อย่างที่ทราบกันว่าน้องหมูได้ผ่านประสบการณ์ด้านการเป็นฟรีแลนซ์ด้านโปรดักชันมามากพอสมควร ก็คงจะเดาไม่ยากว่าเขาต้องมีทักษะในการใช้กล้องถ่ายรูปอยู่บ้างล่ะ ซึ่งพอบทสนทนาเริ่มขึ้นจึงได้ทราบว่า การถ่ายภาพนิ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการรับงานพิเศษของหนุ่มน้อยคนนี้เลยค่ะ และดูเหมือนว่าการพูดคุยของเราจะมาได้ตรงประเด็นพอดี เพราะเรื่องนี้มีเบื้องหลังที่น่าประทับใจซ่อนอยู่...
   
     
น้องหมูเปิดใจว่า "ช่วงมัธยมฯ เป็นเวลาที่หมูได้เดินทางบ่อยมาก ขี่จักรยานเที่ยวบ้าง ไปทัศนศึกษาบ้าง ซึ่งเวลานี้พ่อแม่ก็แก่แล้วไม่ได้สะดวกเดินทางไปไหนมาไหนกับเรา ทุกครั้งที่ได้ไปในที่ต่างๆ หมูจะคิดเสมอว่าถ้าพ่อแม่อยู่กับเราด้วยตรงนี้ก็คงดี เพราะพ่อแม่คงดีใจ เลยหยิบกล้องคอมแพกต์(กล้องถ่ายรูปที่มีโปรแกรมสำเร็จขนาดกะทัดรัด)ที่บ้านติดตัวไปถ่ายรูปมาให้พ่อแม่ดูว่าเราได้ไปที่ไหนมาบ้าง เลยติดการถ่ายรูปไปแบบไม่รู้ตัว แล้วกลายเป็นคนพกกล้องติดตัวมาตั้งแต่ ม.3 ครับ" 
   
    
คุยกันเรื่องแรงบันดาลใจในการถ่ายรูปไปแล้ว คราวนี้มาต่อถึงจุดเริ่มต้นของการรับงานบ้างค่ะ "พอชอบถ่ายรูปไปแล้ว หมูก็ลองเอารูปที่ถ่ายมาแต่งเล่นในโฟโต้ชอปดู รู้สึกว่าสนุกดี สวยดี เลยทำเพจเอาไว้ลงผลงานของเราครับ พอดีมีคนเข้ามาติดตาม มาคอมเม้นต์ชมบ้าง ก็มีเหลิงไปบ้างเหมือนกัน(หัวเราะ) ซึ่งตอนนั้นหมูก็เห็นเพจของคนอื่นเขาประกาศรับงานถ่ายรูปรับปริญญาในราคา 2,000 บาท เลยเข้าไปดูผลงานในเพจนั้น แล้วรู้สึกว่าเราก็ทำได้นี่ ก็ประกาศรับงานแบบเดียวกับเขาบ้าง ราคาเท่ากันเลย แล้วก็มีคนติดต่อมาขอจ้างเราจริงๆ ด้วย" น้องหมูเล่าถึงอดีตด้วยสีหน้าอมยิ้ม
    
เครดิต : วิทยา ดอกกลาง
    
เมื่อน้องหมูเล่ามาแบบนี้ บทสนทนาที่ลื่นไหลก็ต้องหยุดชะงักสักครู่ด้วยความสงสัยของพี่ส้มที่ว่า ตอนนั้นน้องหมูยังใช้กล้องคอมแพกต์อยู่นี่นา แล้วแบบนี้ลูกค้าเขายินดีให้เราใช้อุปกรณ์ชิ้นเดียวที่มีบันทึกภาพความประทับใจในวันรับปริญญาด้วยเหรอ? เพราะลูกค้าบางคนก็อยากได้ไฟล์ภาพคุณภาพสูง ซึ่งอาจต้องใช้กล้องที่มีสเปกสูงขึ้น หรือใช้อุปกรณ์เสริมอื่นๆ ด้วย
   
เครดิต : วิทยา ดอกกลาง
   
เจ้าตัวเลยเปิดฉากเคลียร์ข้อสงสัยว่า "ตอนที่มีลูกค้าติดต่อเข้ามาก็ยังไม่ได้รับงานทันทีครับ หมูก็ไปขอให้พ่อซื้อกล้อง DSLR ให้ก่อน บอกเหตุผลว่ามีคนจ้างแล้วจำเป็นต้องใช้จริงๆ ขออยู่นานเป็นปีเลยกว่าจะได้ เพราะทางบ้านก็ยังมีความจำเป็นต้องใช้เงินกับเรื่องอื่นๆ ซึ่งหมูก็ได้ให้สัญญากับพ่อว่า ถ้าหมูได้กล้องใหม่ หมูจะมีรายได้ให้ได้ทุกเดือน ในที่สุดพ่อก็ยอมซื้อให้ครับ ซึ้งใจมากเพราะตอนนั้นกล้องราคา 15,000 บาท ถือว่าแพงมากกับฐานะทางบ้าน พอได้กล้องมาหมูก็เริ่มตอบรับงานลูกค้าที่ติดต่อเข้ามา ในราคางานละ 2,000 บาท จนผ่านไปเดือนแรก หมูมีเงินค่ากล้องมาคืนพ่อครบทุกบาท แล้วก็เริ่มรับงานถ่ายรูปตั้งแต่ ม. 6 เป็นต้นมาครับ"
   
เครดิต : วิทยา ดอกกลาง
    
    
 จากงานอดิเรก สู่งานพิเศษ 
   
เมื่อเจ้าตัวไล่ลำดับเหตุการณ์มาจนถึงจุดที่ก้าวเข้าสู่การหารายได้พิเศษจากสิ่งที่รักด้วยการรับจ้างถ่ายภาพแล้ว ก็ต่อด้วยบทบาทชีวิตนักศึกษาปี 2 ที่ได้เข้าไปโลดแล่นอยู่ในโลกของวงการฟรีแลนซ์ในสายงานโปรดักชันอย่างเต็มตัว เมื่อเขาได้ตัดสินใจรับงานผู้ช่วยช่างภาพในบริษัทผลิตสื่อ...
   
    
น้องหมูเล่าว่า "พอรับงานถ่ายรูปมาซักระยะนึง หมูก็ไปเจอโพสต์ในเฟซบุ๊กบริษัททำสื่อ เขาประกาศรับผู้ช่วยช่างภาพ เราอยากหาประสบการณ์เพิ่มก็ลองสมัครดูครับ พอได้ไปทำก็ได้ฝึกตัวเองเรื่องการใช้อุปกรณ์ถ่ายรูปอื่นๆ แล้วได้เรียนรู้การถ่ายวิดีโอด้วย หลังจากนั้นก็ได้รู้จักคนหลายคนในวงการนี้ บางทีเขาก็เสนองานใหม่ๆ ให้เราลองทำ บางทีเขาก็บอกว่าต้องการคนทำงานแบบไหนๆ แล้วเรารู้สึกว่าเราทำได้ เลยเสนอตัวเองรับจ้างเขาเลยก็มี"
   
    
จากการพูดคุยกันถึงเรื่องงานที่น้องหมูเคยรับจ้างมา เรียกได้เลยว่าทำมาแล้วรอบด้านจริงๆ ตั้งแต่เป็นช่างภาพนิ่ง ถ่ายวิดีโอพร้อมตัดต่อ ทำไวรัลวิดีโอ ออกแบบกราฟิก เขียนเว็บไซต์ ดูแลแฟนเพจเฟซบุ๊ก เป็นผู้ช่วยอาจารย์สอนผลิตสื่อให้นักศึกษา ป.โท หรือแม้แต่อีเวนต์ออร์แกไนเซอร์ก็ยังเคยเป็นมาแล้ว แต่งานที่น่าเอ็นดูสุดๆ ก็คงจะเป็นครูสอนพิเศษค่ะ ซึ่งงานนี้ก็มีเรื่องเล่าอีกแล้ว ><
   
เครดิต : วิทยา ดอกกลาง
      
"เรื่องการสอนพิเศษนี่ไม่ได้คิดจะเปิดสอนมาก่อนเลยครับ แต่มันมาจากความบังเอิญที่หมูได้รับจ้างออกแบบโปสเตอร์ให้กับคณะฯ ซึ่งมีอาจารย์ท่านหนึ่งได้มาเห็นงานเราแล้วชอบ เลยสอบถามตามตัวหมูให้มาสอนพิเศษเรื่องการทำสื่อให้ลูกอาจารย์หน่อย พอหมูรับงานมาก็สอนน้องทุกอย่างครับ ตั้งแต่ถ่ายรูป แต่งรูป กราฟิกดีไซน์ ตัดต่อวิดีโอ เกี่ยวกับสื่อทั้งหมด จนมีน้องอีกคนเห็นว่าเรียนกับหมูได้ เลยจ้างหมูสอนอีก คราวนี้ก็เลยได้ลูกศิษย์มาเพิ่มครับ(หัวเราะ)"
   
เครดิต : วิทยา ดอกกลาง
   
รับงานซะรอบด้านขนาดนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้แล้วแหละว่าเงินที่น้องหมูใช้ส่งเสียตัวเองได้ตั้งแต่ ม.6 จนถึงปัจจุบันนั้นมาจากไหน ซึ่งทุกเดือนน้องหมูจะมีการบริหารเงินที่ได้มา ด้วยการหักเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว สะสมเป็นค่าเทอม แล้วให้พ่อแม่ไว้ใช้จ่ายเพื่อแบ่งเบาภาระภายในครอบครัวค่ะ
     
   
 การันตีความเป็น "เด็กมีของ" ด้วยการลองส่งผลงานเข้าประกวด! 
     
ในขณะที่น้องหมูได้ใช้ความสามารถของตัวเองรับจ้างงานต่างๆ ที่ทยอยมีเข้ามา ก็เป็นเวลาเดียวกับการพัฒนาฝีมือของตัวเองด้วยการสร้างสรรค์ผลงานในสไตล์ที่ตัวเองสนใจ ซึ่งงานนี้เจ้าตัวบอกว่าได้ขนเอาวิชาและเคล็ดลับการถ่ายวิดีโอเจ๋งๆ จากการเป็นผู้ช่วยช่างภาพมาใช้อย่างเต็มที่ก็ตอนนี้นี่แหละค่ะ
          
"จากหมูรับงานถ่ายวิดีโอมา ส่วนใหญ่ก็ทำตามคอนเซปต์ที่ลูกค้าบรีฟมาครับ ไม่ได้มีไอเดียอะไรใหม่ แต่ในวันนึงหมูรู้สึกเบื่อๆ เครียดๆ เลยขับมอเตอร์ไซค์ออกไปข้างนอก แบกกล้องกับขาตั้งไป ไปผ่านตรงถนนที่มีการก่อสร้างมานานก็ไม่แล้วเสร็จซะที เลยถ่ายคลิปมาตัดต่อแล้วโพสต์ในเฟซบุ๊กของตัวเอง คราวนี้มีกระแสตอบรับที่ดีครับ มีคนมากดไลค์ คอมเม้นต์ กดแชร์เยอะ เลยมีกำลังใจว่าหรือเราจะเหมาะกับวิดีโอสไตล์เสียดสีสังคมแบบนี้ จึงจริงจังกับงานวิดีโอมากขึ้นครับ"
   
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1
การประกวดคลิปสั้น ผลงานสร้างสรรค์ของกลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด
เครดิต : วิทยา ดอกกลาง
    
เห็นผลงานก็มากมาย รายได้ก็เข้ามาเรื่อยๆ แบบนี้ แต่ใช่ว่าน้องหมูของเราจะถึงจุดอิ่มตัวจนไม่ทำอะไรใหม่ๆ เพิ่มเติมแล้วนะคะ เพราะว่าเขายังสนใจที่จะส่งผลงานตัวเองเข้าประกวดในโครงการต่างๆ อยู่เรื่อยๆ ค่ะ สำหรับเรื่องนี้ก็ได้พี่สาวที่มาจุดประกายให้ ซึ่งงานที่ประทับใจก็คือคลิปวิดีโอที่เจ้าตัวโปรดปรานนั่นแหละ...
   
รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 
การประกวดคลิปสั้น ผลงานสร้างสรรค์ของกลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด
เครดิต : วิทยา ดอกกลาง
      
"เมื่อก่อนหมูก็เคยส่งผลงานของตัวเองเข้าประกวดบ้างครับ ตั้งแต่ถ่ายรูปแล้ว ก็ได้รางวัลอยู่นะ ภูมิใจเป็นครั้งๆ ไปไม่ได้อิมแพคอะไรมาก แต่ตอนที่รู้สึกว่า เห้ย! หมูมีอะไรการันตีคุณภาพผลงานของตัวเองจริงๆ ก็ตอนที่พี่สาวบอกว่า หมูทำงานเยอะไปมันไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าไม่มีอะไรบอกได้ว่าหมูเก่งเลย หมูก็เถียงว่าที่ลูกค้าจ้างหมูนี่ก็การันตีได้นะว่าผลงานเรามีคุณภาพ แต่หลังจากนั้นก็มาทบทวนตัวเองดูว่า การประกวดก็เป็นวิธีหนึ่งที่การันตีได้ว่างานเราเจ๋งจริงเหมือนกัน เลยตั้งใจทำคลิปประกวดดู ซึ่งก็ได้รางวัลมาจริงๆ ครับ พี่สาวก็ยินดีด้วย จากนั้นหมูก็สนุกกับการประกวดไปเลยเหมือนกัน (หัวเราะ)" น้องหมูเล่าด้วยความภาคภูมิใจ
   
รางวัลชมเชย โครงการประกวดภาพยนตร์สั้นระดับอุดมศึกษา S-Fest
         
พูดเรื่องผลงานของน้องหมูมาเยอะแล้ว ขอบอกว่าไม่ได้มีแค่ภาพที่เห็นในคอลัมน์เท่านั้น เพราะเจ้าตัวยังมีทีเด็ดที่เก็บไว้เป็นคลังแสง ใครที่สนใจจะดูผลงานภาพถ่าย การออกแบบกราฟิก และวิดีโอ ก็สามารถติดตามชมที่ออนไลน์พอร์ตโฟลิโอ แฟนเพจ Rmd Moodang และคลิปวิดีโอแนะนำตัวได้เลยจ้า!!!
     
 เพราะครอบครัว = เพื่อครอบครัว 
     
อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าแต่ละโมเม้นต์ในชีวิตที่ทำให้น้องหมูมีแรงบันดาลใจใหม่ๆ หรือมีกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ ล้วนมีคนในครอบครัวอยู่เบื้องหลังทั้งนั้น และหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้น้องหมูเลือกจะใช้ชีวิตแบบ "ฟรีแลนซ์ครึ่งใบ" ในวัยเรียนแบบนี้ ก็เป็นไปเพื่อหวังจะแบ่งเบาภาระของครอบครัวเช่นกัน เพราะฉะนั้นเราคงข้ามประเด็นสำคัญข้อนี้ไปไม่ได้แน่นอน...
    
เครดิต : วิทยา ดอกกลาง
    
น้องหมูเล่าได้ถ่ายทอดความประทับใจที่มีต่อครอบครัวให้ทีมงานฟังว่า "หมูมีครอบครัวเป็นแรงผลักดันหลายๆ อย่างในชีวิต ถึงพวกเขาจะไม่ได้มาสนับสนุนหรือบอกอะไรเราตรงๆ แต่ความคิด แรงบันดาลใจก็มีครอบครัวเป็นส่วนนึ่งอยู่เสมอ เพราะทั้งชีวิตนี้เราก็เคยทุกข์สุขมาด้วยกันตลอด เคยผ่านจุดที่ธุรกิจที่บ้านขาดทุน จนคนในบ้านมองหน้ากันนี่ไม่ต้องถามเลยว่าวันนี้มีอะไรกินมั้ย เดินออกจากบ้านไปทำงานหาเงินกันเลย แต่วันนี้ทุกอย่างก็ดีขึ้นเยอะแล้วครับ" 
   
    
"ในบ้านของเราอาจจะไม่ได้แสดงความรักกันเหมือนบ้านอื่น หมูโตมาแบบไม่ได้รับคำชมจากพ่อแม่สักเรื่อง แต่ก็เพิ่งได้ยินมันเป็นครั้งแรกตอนเกิดมาแล้ว 20 ปี เป็นวันที่หมูจำได้ดีเลย เป็นเรื่องประทับใจที่สุดในชีวิตเลยครับ วั้นนั้นหมูไปทำงานมา เปิดประตูบ้านนี่ล้มลงนอนกับพื้นเพราะเหนื่อยมาก แม่เดินมาเห็นเลยพูดขึ้นมาว่า หมูเก่งแล้วลูก ช่วยครอบครัวได้เยอะขนาดนี้ หมูไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ก็ได้ พ่อแม่ยังอยู่ ยังดูแลหมูได้นะ คำพูดนี้ทำให้หมูสู้ต่อได้จริงๆ แม้เราจะเหนื่อยแค่ไหน (น้ำตารื้น)" น้องหมูเล่าอย่างจริงจัง
  
   
ต้องบอกเลยว่าบรรยากาศการพูดคุยช่วงนี้ ทำให้ทีมงานรู้สึกซึ้งใจตามไปด้วยจริงๆ ค่ะ ซึ่งพี่ส้มเชื่อว่าการเติบโตในครอบครัวไทยที่มีช่องว่างระหว่างวัยเป็นกำแพงในการสื่อสารระหว่างพ่อแม่กับลูก ที่มักทำให้วัยรุ่นหลายคนเกิดความรู้สึกน้อยใจและต่อต้านพ่อแม่ไปเลย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วความรักและห่วงใยไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ใช้วิธีการแสดงออกที่ตีความได้ยากก็เท่านั้น ดังนั้นถ้าใครที่อ่านอยู่กำลังรู้สึกเครียดเพราะคนในครอบครัว การเปิดใจพูดความรู้สึกดีๆ ที่เรามีออกไปให้อีกฝ่ายเข้าใจ ก็อาจช่วยลดความตึงเครียดภายในบ้านได้นะคะ ^^
    
    
 บทเรียนร้าย - ดี ที่ห้องเรียนไม่เคยสอน... 
     
ถ้าจะเทียบกับวัยรุ่นคนอื่นๆ น้องหมูก็ถือเป็นหนึ่งคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตในการเอาตัวรอดมามากพอสมควร เพราะได้ออกไปทำงานและเจอคนที่หลากหลาย ซึ่งถ้าจะให้สาธยายก็คงเล่าได้ไม่หมด พี่ส้มเลยขอให้เจ้าตัวคัดเรื่องพีคๆ ที่เป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตมาเล่าสู่กันฟังด้วยล่ะค่ะ...
    
เริ่มที่เรื่องแย่ๆ กันก่อน... "หมูเคยรับงานทำคลิปวิดีโอมาจากหน่วยงานหนึ่งครับ ซึ่งก็บรีฟ ว่าจ้างกันด้วยราคาหลักหมื่นเลยล่ะ เราก็ถ่าย ตัดต่อเรียบร้อย ส่งให้เขาดูพร้อมแก้ไขเรื่อยๆ ถึง 3 ครั้ง ใช้เวลายาวนานมาก ซึ่งเราก็ปรับตามคำแนะนำของเขาจนสมบูรณ์ที่สุดในทุกครั้งที่เอางานไปให้ดู แต่ครั้งสุดท้ายเขากลับบอกว่ามันไม่ใช่ในแบบที่ต้องการ แล้วก็เงียบหาย ไม่จ่ายค่าจ้างมาเลย ซึ่งหมูวางแผนไว้ว่าจะเอาไปจ่ายค่าเทอม ทวงเขาก็ไม่ตอบกลับ จนตัดสินใจจะดรอปเรียนแล้ว เหลือเวลาแค่วันเดียวเท่านั้นในการหาเงิน คิดว่ายังไงก็ไม่ทันแน่ เลยตัดสินใจยืมเงินแม่ โดนบ่นนะว่ามีปัญหาทำไมเพิ่งมาบอก ตอนนั้นไม่คาดหวังอะไรแล้วเพราะทางบ้านก็ไม่เอื้ออำนวยกับการหาเงินก้อนใหญ่ได้ภายในข้ามคืนจริงๆ แต่พ่อแม่ก็หาเงินมาให้ทันเวลา"
   
       
"เหตุการณ์วันนั้นมันเป็นบทเรียนเลยว่าครอบครัวน่ะคือที่สุดของเราแล้ว และมันสอนให้หมูรอบคอบกับงานทุกครั้ง ในขนาดที่ว่าจดตามยังไม่พอ ต้องอัดเสียงเขาไว้ด้วยเลยครับ พลาดไม่ได้เลยจริงๆ"
   
ผ่านเรื่องเครียดไป มาปรับอารมณ์ให้แจ่มใสด้วยเรื่องที่น่าประทับใจกันบ้าง... "สำหรับเรื่องดีๆ ก็เริ่มมาจากเรื่องแย่ๆ เหมือนกันนะครับ(หัวเราะ) คือตอนที่หมูไปเป็นผู้ช่วยช่างภาพเนี่ย ต้องเจอคนไม่มีเหตุผล รองรับอารมณ์คนก็เยอะ คนที่อยู่ดีๆ ก็ด่าเราว่าโง่ต่อหน้าคนเป็นร้อยกลางงานแต่ง ทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด คนที่ทำงานพลาดเอง แล้วโยนให้เป็นความผิดของเรา จนหมูเฟดตัวออกมาเพราะรู้สึกการเรียนรู้อะไรจากคนแบบนี้มันไม่มีประโยชน์เอาซะเลย แต่มันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโลกของการทำงาน และไม่มีสอนในห้องเรียน"
   
    
"พอหมูคิดแบบนี้ ก็เลยฟอร์มทีมทำงานโปรดักชันขึ้นมา รวบรวมเอาพวกน้องๆ ในภาควิชาฯ เพื่อนๆ ที่สนใจงานสายนี้ แต่อาจไม่มีโอกาสได้ลงมือทำสักเท่าไหร่ ได้มาลองทำสื่อกันดูจริงๆ ใครไม่เป็นหมูก็สอน พอเขาตั้งใจเรียนรู้ เริ่มทำเป็นแล้ว ก็มารับงานด้วยกัน ทำงานประกวดด้วยกัน ได้เงินมาก็แบ่งกันไปครับ หมูมองว่าตรงนี้แหละมันเป็นประสบการณ์ที่มีประโยชน์ ที่คนมีใจรักควรได้เรียนรู้จริงๆ"
     
     
 วันนี้ผมคือฟรีแลนซ์+นักศึกษา แต่วันข้างหน้าผมจะเป็นผู้กำกับให้ดู!!! 
   
มาถึงประเด็นสุดท้ายในการสนทนากับน้องหมู พี่ส้มเชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่าหนุ่มน้อยคนนี้ ใช้พลังทุ่มเทไปกับงานโปรดักชันมากมายซะเหลือเกิน แล้วยังเหลือเวลาและเรี่ยวแรงไปใช้กับการเรียนอยู่บ้างมั้ยเนี่ย? งานนี้ต้องขอบอกว่าน้องหมูของเรายังคงรักษาผลการเรียนได้ในระดับที่น่าพอใจด้วยเกรด 3 กว่าๆ เพราะเขายังมีภารกิจสานฝันการเป็นผู้กำกับ ที่จำเป็นต้องใช้ความรู้ในสายวิชาชีพ และประสบการณ์จากการลงมือทำจริงอีกมากค่ะ งานนี้คอนเฟิร์มแล้วนะว่าไม่มีทางเทเรื่องเรียนแน่นอน!
   
    
"เรื่องเรียนและเรื่องงาน คือหน้าที่ของหมูทั้งคู่ ซึ่งพอมันเป็นหน้าที่แล้วเราก็ต้องรับผิดชอบครับ แต่สำหรับหมูแล้ว หมูไม่ได้ตั้งเป้าหมายชีวิตไว้ที่ผลการเรียน แต่ต้องการเอาเนื้อหาที่เรารู้มาจากห้องเรียนกับประสบการณ์ที่ได้รับงานมาพัฒนาตัวเองเพื่อให้หมูไปถึงเป้าหมายสูงสุด คือการเป็นผู้กำกับที่สร้างงานที่สะท้อนความจริงให้ทุกคนในสังคมได้เห็นคุณค่าของสิ่งรอบตัวที่อาจถูกมองข้ามไป แบบอิมแพคใจคนด้วยสไตล์ตรงๆ กวนๆ ของหมูให้ได้ครับ" น้องหมูกล่าว
   
   
จากเรื่องราวทั้งหมดที่เจ้าตัวได้นำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ ถือเป็นตัวอย่างของการใช้ชีวิตที่มีครบทุกรสชาติ ทั้งสนุก โหด มันส์ ฮา ดราม่า และมีเรื่องราวน่าประทับใจในหลายโมเม้นต์ ซึ่งพี่ส้มก็หวังว่าทุกคนที่ได้เข้ามาอ่าน จะสามารถสัมผัสได้ถึงความตั้งใจเรียนรู้ และเต็มที่กับการลงมือทำของหนุ่มน้อยคนนี้กันอย่างชัดเจนเหมือนได้รู้จักกับน้องหมูตัวเป็นๆ แล้วนะคะ ซึ่งก่อนจะลากันไป นายวิทยา ดอกกลาง ก็มีคติประจำใจมาแชร์ให้ทุกคนด้วยล่ะ...
   
    
"การเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้อยู่ตลอดครับ ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ในทุกกิจกรรมที่เราทำ ถ้าชอบอะไรก็ลงมือทำ แล้วเราจะได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ ต่อไปเรื่อยๆ หรือถ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี เราเริ่มที่การฟังก็ได้ครับ หมูยินดีรับฟังทุกคน ต่อให้คนที่พูดกับเราจะเก่งหรือไม่เก่ง อย่าเพิ่งไปแสดงกิริยาว่าเราจะไม่ฟังเขา ทุกคนต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน ถ้าสิ่งที่ฟังมามีประโยชน์ก็รับไว้ ไม่มีก็แค่ทิ้งไป เพราะบางครั้งคนไม่เก่งก็อาจพูดในสิ่งที่จุดประกายให้เรามีไอเดียที่ดีมากได้เลยก็ได้"
   
      
"ถ้าเราคิดว่าชีวิตคือการแข่งขันกับตัวเอง
เราก็สามารถพัฒนาตัวเองได้เรื่อยๆ ในแบบของเรา
แต่ถ้าได้ลองมองดูรอบข้างว่าเขาก้าวไปไกลแค่ไหน
แล้วเราจะรู้เองว่า วันนี้เราควรแข่งกับตัวเอง
หรือออกไปแข่งกับคนรอบข้างได้แล้ว"
     
     
     ได้ทราบถึงทัศนคติที่น่าสนใจและฉายแววอนาคตไกลแบบจัดเต็มขนาดนี้แล้ว เชื่อว่าทุกคนคงทราบดีว่าหนุ่มน้อยคนนี้มีความเหมาะสมที่จะเป็น Idol กิจกรรมขนาดไหน? เพราะฉะนั้นพี่ส้มก็ต้องขอมอบรางวัลให้น้องหมูไว้เพื่อเป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ต่อไปด้วยนะคะ ขอแสดงความยินดีจากใจพร้อมปรบมือดังๆ เลยจ้า!!!
    
       
             
                
     ส่วนใครที่อยากเป็น Idol กิจกรรมแห่ง Dek-D.com พร้อมรับถ้วยเด็กกิจกรรมเท่ๆ แบบนี้ไปครอง สามารถส่งเรื่องราวเด็กกิจกรรมที่น่าสนใจของตัวเอง บรรยายความยาว 1 หน้ากระดาษมาได้ที่ Methawee@dek-d.com คนไหนเจ๋งจริง เดี๋ยวพี่ทีมงานจะรีบติดต่อกลับไปหาเลยค่ะ
   
     
ก่อนจากไป ฝากกดไลก์เพจ "เด็กมีของ" ใครมีของเข้าไปโชว์กันได้!!
          
    
พี่ส้ม
พี่ส้ม - Columnist คนทำคอนเทนต์ออนไลน์ ที่เชื่อว่าใครก็เป็นเด็กดีได้ในสไตล์ของตัวเอง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

2 ความคิดเห็น

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด
กำลังโหลด