"จ๊ะจ๋า" บัณฑิตสาวผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโรคกระดูกเปราะ เอาชนะการผ่าตัดมาแล้ว 34 ครั้ง!



 
        สวัสดีค่า พบกับคอลัมน์เด็กพลังบวกที่จะพาน้องๆ ไปรู้จักวัยรุ่นทัศนคติดีๆ ที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้น้องๆ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ทำกิจกรรมดีๆ เพื่อตัวเองและสังคมค่ะ 

        ช่วงไม่กี่วันนี้ หลายคนอาจเห็นข้อความที่แชร์จากทวิตเตอร์ของ @Thejajah เกี่ยวกับชีวิตที่ย่ำแย่จากการเป็นโรคกระดูกเปราะ ซึ่งโรคนี้ส่งผลให้เธอเดินไม่ได้ตั้งแต่เกิด ผ่านการผ่าตัดมาแล้วมากกว่า 30 ครั้ง ทั้งส่วนขา แขน กระดูกสันหลัง ยกเว้นแค่ศีรษะ แถมกระดูกยังเปราะหักง่ายมาก แต่โชคดีในความโชคร้ายคือเธอเป็นคนเข้มแข็งที่ไม่ยอมให้ร่างกายมาเป็นอุปสรรคต่อการทำตามความฝัน เพราะในที่สุดเธอก็คว้าใบปริญญามาเป็นของขวัญให้ตัวเองและแม่บุญธรรมสำเร็จ! 



ข้อความบางส่วน จากทวิตเตอร์ @Thejajah
แนะนำตัว
 
        "สวัสดีค่ะ ชื่อ 'จ๊ะจ๋า - จิณจุฑา จุ่นวาที' เป็นคนกรุงเทพฯ เพิ่งจบปริญญาตรีสาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีธัญบุรี นิสัยส่วนตัวเราเป็นคนสองบุคลิก ถ้าอยู่กับคนอื่นจะยิ้มสดใสร่าเริง ชอบคุยชอบอ้อน แต่ถ้าอยู่คนเดียวจะกลายเป็นคนเงียบๆ อยู่ในโลกของตัวเอง^^" 
 
        แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ค่ะ เพราะตอนที่พูดคุยกัน น้ำเสียงของเธอสดใสเป็นปกติไม่เหมือนคนที่กำลังเจอกับโรคร้ายแรงเลย พอถามถึงอาการ เธอบอกว่าตอนนี้อาการทรุดลง กระดูกสันหลังโค้งเป็นตัว S จนต้องนั่งเอียงไปข้างหนึ่ง แถมมันยังไปเบียดปอดกับหัวใจ ดังนั้นเวลาที่ปอดกับหัวใจขยาย หลังจะรับภาระหนักขึ้น การทำงานภายในร่างกายจึงแย่ไปหมด อาการทั้งหมดนี้มีสาเหตุจากสารในยาขับที่เธอได้รับขณะอยู่ในครรภ์ ส่วนช่วงนี้เธออยู่ระหว่างการทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล ประมาณ 2 อาทิตย์ครั้ง เพราะกระดูกงอ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง


Photo Credit: twitter @Thejajah
 
เพิ่งเป็นบัณฑิตหมาดๆ
 
        ถ้าใครตามอ่านทวิตเตอร์ของเธอ จะเจอข้อความนึงที่บอกว่า "วันนี้ก็จบแล้ว ภูมิใจที่ตัวเองไม่ท้อยอมแพ้ไปก่อน อดทนมาก" เราเลยอยากรู้ว่าชีวิตการเรียนของเธอเป็นยังไงบ้าง
 
        "เราเลือกเรียนบริหารการตลาดเพราะเชื่อว่าจะนำไปปรับใช้กับงานได้ และมีวิชาเกี่ยวกับการสื่อสารที่เราชอบด้วย แรกๆ ยอมรับเลยว่าสายนี้ไม่ใช่สำหรับเราหรอก ไม่ชอบคำนวณด้วย ปีแรกนี่แทบจะเทหมด เกรดตกต่ำไป 1 กว่าๆ แต่พอปี 2 เราปรับตัวได้แล้ว ลุกมาฟิตหนักเต็มที่ ตั้งใจเรียน ทบทวนตลอดจนเกรดเพิ่มเป็น 3 กว่า อาจเพราะเราทนเห็นเกรดปีแรกไม่ได้ด้วยเนาะ 5555 แล้วพอจบมาเราภูมิใจมาก เพราะเราได้พยายามทำในสิ่งที่ตอนแรกตัวเราไม่ชอบ โชคดีอย่างนึงที่ทั้งอาจารย์และเพื่อนเห็นบุคลิกและผลการเรียน แล้วเขาบอกว่าเราทำได้ ตอนนี้เราก็คิดนะว่าเรามาถูกทางแล้ว ส่วนเหตุผลที่เราตั้งใจและซีเรียสเรื่องเรียนมากๆ เป็นเพราะเราสามารถแสดงศักยภาพทางนี้ได้เต็มที่"


Photo Credit: twitter @Thejajah

        จากนั้นจ๊ะจ๋าได้เล่าถึงคนรอบข้างให้ฟัง “ตอนเรานอนโรงพยาบาล ทั้งเพื่อนทั้งพี่รหัสช่วยติวช่วยเอาหนังสือมาให้เพื่อให้เราสอบผ่าน จริงๆ ก็แอบคิดนะว่าถ้าไม่มีพวกเขา ตอนนี้เราจะเรียนจบแล้วรึยัง คือตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาเต็มใจช่วยเหลือมากๆ และไม่เคยมองว่าเราเป็นภาระเลยค่ะ^^”
 
        ไม่ใช่แค่รักเรียน แต่เธอยังเป็นเด็กกิจกรรมที่เก่งมากๆ อีกด้วยค่ะ เธอเล่าว่า "ช่วงประถมมัธยมเราอยู่โรงเรียนศรีสังวาลย์ที่เป็นโรงเรียนสำหรับคนพิการค่ะ มือไม้เรายังใช้ได้ปกติเลยได้ทำกิจกรรมเยอะมาก ทั้งรำ เป็นพิธีกร เป็นตัวแทนโรงเรียน ฯลฯ เราเห็นว่าตัวเองชอบอยู่กับงานแบบนี้และทำได้ดีด้วย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราชอบสายสื่อสาร พอตอนขึ้นมหา'ลัย เราเข้ากิจกรรมตลอด อย่างเช่นการรับน้องที่ทำให้ได้เพื่อน"

        นับว่าการเรียนจบปริญญาตรีคือจุดเริ่มต้นของเธอเลยก็ว่าได้ เพราะความฝันของสาวตัวเล็กคนนี้คือการเรียนจบโทและมีบ้านของตัวเองสักหลังมอบให้แม่บุญธรรมที่ดูแลเธอมาตั้งแต่เด็กนั่นเองค่ะ


Photo Credit: twitter @Thejajah
 
พยายามใช้ชีวิตให้เหมือนคนปกติ

       "แม่สอนให้เราใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ พยายามไม่ทำอะไรให้แตกต่างจากคนอื่น อย่างตอนเรียน เราก็นั่งโต๊ะเลกเชอร์เหมือนคนอื่น ปกติแล้วจะนั่งเรียนกับกลุ่มเด็กเรียน ซึ่งเขาก็จะนั่งหน้ากันอยู่แล้ว ส่วนเรานั่งริมเพราะจอดวีลแชร์ไว้ข้างๆ ได้ อาจลำบากนิดนึงตอนไปเรียนตึกที่ไม่มีลิฟต์ เพื่อนหรือคนแถวนั้นก็จะช่วยอุ้มเรา เพราะเราตัวเบาอยู่แล้ว หรือไม่ก็ยกทั้งเราทั้งรถขึ้นบันไดเลย"
 
        "ถ้าเรื่องที่เป็นอุปสรรคจริงๆ คือการเดินทางนี่แหละค่ะ ปกติถ้าไปโรงพยาบาลจะมีแท็กซี่ประจำอยู่แล้ว แต่บางทีเขาไม่ว่างเราก็ต้องเดินทางไปเอง เคยลองไปขึ้นรถเมล์เพราะประหยัด และเห็นว่าทางขึ้นก็กว้างพอจะเอาวีลแชร์ขึ้นไปได้ ปรากฏว่าเขากลับไล่เราลงจากรถ เวลาเราจะไปเที่ยวหรือคอนเสิร์ตเลยเลือกขึ้น BTS และ MRT แทนค่ะ"


Photo Credit: twitter @Thejajah


เคยเจอโรครุมเร้าถึงขั้นคิดอยากตาย...

       "มีช่วงแย่ๆ หน่อยคือตอนผ่าตัดแล้วต้องหยุดเรียนไป 1 ปี ถ้าแค่ผ่าเฉยๆ จะไม่อะไรเลยนะ แต่คราวนี้ต้องใส่เฝือกตั้งแต่หน้าอกถึงเท้าเหมือนมัมมี่ ต้องนอนนิ่งๆ ขยับไม่ได้ พลิกตัวตะแคงก็ไม่ได้ วันๆ ต้องเงยหน้ามองเพดาน แค่นั้นไม่พอ เราแพ้สารในยาแก้ปวดด้วย แต่มันก็จะเป็นต้องปล่อยให้แพ้อะ มีผื่นขึ้นตามตัว ทั้งกดดันทั้งอยากกลับไปเรียน รู้สึกแย่จนอยากตายไปเลย สุดท้ายก็ผ่านมาได้ ตอนนั้นมี 'หมอเจี๊ยบ-ลลนา' มาช่วยดูและเปลี่ยนยาให้จนหายดี^^"
 
        ตอนอาการทรุดถึงขั้นนั้น เราได้กำลังใจดีๆ จากไหนบ้าง? "ได้กำลังใจจากแม่(บุญธรรม)และเพื่อนที่มาเยี่ยม และอาจารย์ก็เข้าใจเราด้วย ที่ขาดไม่ได้เลยคือเราคิดถึงตัวเอง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกและไม่ใช่ครั้งที่หนักสุด ตอน ม.3 เราเคยเป็นไข้เลือดออกกับไข้หวัด 2009 เกือบตายของจริงค่ะ หมดสติไปหลายรอบ เรายังสู้จนผ่านมาได้เลย แล้วทำไมครั้งนี้จะต้องยอมแพ้ล่ะ"


Photo Credit: twitter @Thejajah


เป็น "อากาเซ" สปิริตแรงกล้า!

        ในช่วงชีวิตที่เธอต้องเจอปัญหาสุขภาพรุมเร้า อย่างน้อยๆ เธอก็มีแรงบันดาลใจเป็นศิลปินเกาหลีวง GOT7 (หรือที่เรียกว่า 'กัซ') เธอเล่าว่า "ช่วงที่นอนป่วยอยู่ เราก็เปิดหาอะไรดู หาเพลงฟังแก้เบื่อ แล้วไปเจอไลฟ์ของ GOT7 จากนั้นก็ไปเจอ 'จินยอง' หนึ่งในศิลปินของวงไลฟ์เดี่ยว เขาพูดในเชิงให้เราคิดบวก ตอนนั้นเรารู้สึกเขาเก่งมากเลย เหมือนเป็นทั้งนักร้องและนักเขียนในคนคนเดียว แล้วพอหลังจากนั้นเราก็ได้ยินว่ากัซจะมีคอนเสิร์ตช่วงที่เราใกล้ถอดเฝือกพอดี พอขอแม่เรียบร้อยแล้วก็ไปคอนฯ ทั้งเฝือกเลยค่ะ จากนั้นก็ติ่งยาววว 55555"
 
        ไหนๆ ก็พูดถึงกัซแล้ว เธอเล่าต่อถึงโมเมนต์ชวนให้อากาเซทางบ้านต้องตาร้อน~ "จริงสิ ครั้งนั้นมีโมเมนต์นึงที่ 'มาร์ค' สมาชิกอีกคนในวงเห็นเรา เขาหยุดยืนมอง ยิ้มให้แล้วโบกมือ นานประมาณ 1 นาทีเลย ฟินแรงมาก><"


Photo Credit: เฟซบุ๊กแฟนเพจ GOT7 (Official)

       นอกจากนี้ เธอยังพูดถึงไอดอลคนอื่นๆ อีกด้วย "่เราตามดูซีรี่ส์ของ 'โบกอม' มีโอกาสได้ไฮทัชและขึ้นไปนั่งคุยด้วย ส่วนศิลปินไทย เราชอบ 'พี่ไมค์-พิรัชต์' ตั้งแต่เขาออกอัลบั้มแรก ครั้งนึงตอนรายการตีสิบเปิดโอกาสให้เด็กพิการไปเข้าร่วมรายการ แล้วเราได้รับเลือกด้วย อาวิทวัสก็พาเราขึ้นเวที พอได้เห็นพวกเขาแล้วเราดีใจจนร้องไห้เลย ทุกวันนี้พี่ไมค์เป็นเหมือนพี่ชายที่ดีของเรา เขาเทคแคร์แฟนคลับอย่างเราดีมากๆ เลย"

        "เราอยากบอกทุกคนว่า คนที่เป็นแฟนคลับเกาหลีหรือใครก็ตาม ไม่ใช่ชอบแค่เพราะหน้าตา แต่มีปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่นเราที่ชอบ GOT7 เพราะผลงาน ทัศนคติ และความพยายามของเขา"

 
คว้าอันดับ 3 บนเวที Miss Wheelchair 2012

        "ตอนประถมมีพี่คนนึงแนะนำว่าเราน่าไปประกวดเวทีนี้ เขาบอกว่าเราหน้าตาดีและมีความสามารถทางการแสดง พอขึ้น ม.5 ได้ยินว่ามีจัดประกวดเลยลองสมัคร ตอนแรกไม่คิดว่าจะติดนะ เพราะเราแค่เล่นขิมกับพูดแนะนำตัวเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ อายุก็ยังน้อย"

        "ส่วนเหตุผลที่อยากประกวด คืออยากแสดงให้คนอื่นเห็นว่า เราไม่ใช่แค่เรียนได้อย่างเดียว แต่มีหลายอย่างที่เราทำได้ และอยากให้คนเห็นคนพิการในอีกด้านหนึ่งว่าเขาทำอะไรได้มากกว่านั้น เหมือนเป็นกระบอกเสียงให้คนพิการที่ไม่ได้รับโอกาสหลายๆ อย่างเพราะโดนมองข้าม แล้วในที่สุดการประกวดครั้งนั้นเราก็ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ค่ะ" 

 


Photo Credit: twitter @Thejajah
 
        จากนั้นเธอได้เล่าเรื่องที่ประทับใจที่ขนาดเราได้ยินยังแทบน้ำตาซึม... "ก่อนหน้านั้นเพื่อนสนิท ม.ปลาย บอกไว้ว่ามาดูเราไม่ได้ เพราะตรงกับวันเรียน เราก็คิดว่าคงเหลือแค่เรากับแม่แหละ ปรากฏว่าตอนประกาศผล เพื่อน ม.ปลายทั้งกลุ่มลุกขึ้นยืน แล้วเรารู้ทีหลังอีกว่านักเรียนห้องอื่นก็หยุดเรียนเพื่อดูการประกวดของเราผ่านโปรเจคเตอร์ด้วย!"
 
        จ๊ะจ๋าได้อะไรจากการประกวดครั้งนั้นบ้าง? "ชีวิตเราเปลี่ยนไปมากเลย จากเด็กธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จัก กลายเป็นมีคนรู้จักมากขึ้น พอได้อันดับ 3 ก็ต้องไปทำงานกับกองประกวด 1 ปี เป็นใบเบิกทางที่แสดงว่าเราอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ ได้ไปทำงานช่วยสังคม เช่นเสนอโครงการรถแท็กซี่สำหรับผู้พิการ เพราะปกติรถแท็กซี่จะเอารถเข็นขึ้นไปไม่ได้ ปรากฏว่าเขาก็อนุมัติและออกรถมาให้ และคนชรา คนป่วย หรือคนท้อง ก็ใช้บริการได้เหมือนกัน"

 
คำทิ้งท้ายจากสาวตัวเล็กใจใหญ่
 
        "ขอบคุณทั้งคนที่ให้กำลังใจเราและคนที่ให้เราเป็นกำลังใจของเขาด้วย ส่วนคนรอบข้าง พวกเขามีอิทธิพลต่อความรู้สึกเรามาก ขอบคุณที่อยู่ข้างกันมาตลอด เราไม่ค่อยพูดก็จริงนะ แต่เราจะแสดงออกว่าเรารักเขา อยากทำให้เขาภูมิใจในตัวเรา ทั้งคนที่เลี้ยงดูและช่วยเหลือเรา จนถึงคนที่ไม่รู้จักที่เห็นแล้วเอ็นดูเราด้วย"
 
        "สุดท้ายนี้ เรายังไม่ถึงขั้นกล้าบอกคนอื่นให้เอาเรื่องของเราเป็น Case Study เพราะความรู้สึกและขีดจำกัดของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่เราแค่แชร์ประสบการณ์ให้คนมีกำลังใจมากขึ้นและทำให้ดีที่สุดเมื่อต้องเจอปัญหาของตัวเองค่ะ"
 
 
Photo Credit: twitter @Thejajah


        เรียกได้ว่าสาวตัวเล็กคนนี้สร้างคุณค่าให้ตัวเองและคนรอบข้างแบบไม่ยอมแพ้ให้ร่างกายเลยทีเดียว และเธอยังพยายามหาความสุขจากสิ่งที่เธอรัก รวมทั้งรับแรงใจจากคนรอบข้างที่ไม่เคยทิ้งเธอให้อยู่คนเดียวอีกด้วย พี่หวังว่าเรื่องราวชีวิตของจ๊ะจ๋าจะเป็นกำลังใจให้น้องๆ กล้าเผชิญกับปัญหาของตัวเอง เพราะเธอพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าถึงต้นทุนชีวิตจะต่างกัน แต่ไม่มีข้อจำกัดอะไรยิ่งใหญ่จนบดบังความสุขในชีวิตได้เลยค่ะ ^^ สุดท้ายนี้เราก็ขอเป็นกำลังใจให้น้องจ๊ะจ๋าทำตามความฝันสำเร็จนะคะ  

 
อย่าลืมย้อนอ่านเด็กพลังบวกคนก่อนหน้านะคะ ><
"ขิม" เจ้าของเพจ "ตามติดชีวิตอินเดีย"
ผู้หญิงคิดบวกที่มองทุกเรื่องให้กลายเป็นเรื่องขำๆ
 
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

4 ความคิดเห็น

ปริย์ณัฐฐา Member 10 ต.ค. 60 17:09 น. 1

สุดยอดจริงๆ... เป็นอากาเซเหมือนกัน ที่ชอบไม่ใช่เพราะแค่หน้าตา แต่รวมทุกอย่างจริงๆ ทั้งทัศนคติ ความสามารถ ความพยายาม

นับถือคุณจ๊ะจ๋ามากค่ะ มีความอดทนพยายามขนาดนี้ เราครบสามสิบสอง สุขภาพแข็งแรง เห็นแล้วนึกอาย ต้องพยายามมากกว่านี้ซะแล้ว

0
กำลังโหลด
Nunu 10 ต.ค. 60 21:13 น. 2

แม่ใจร้ายมาก ทำไหมต้องกินยาขับอ่ะ แต่น้องเค้าก้อน่ารัก สดชื่น สวยด้วย กำลังใจดีมองโลกในแง่ดี

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด