สวัสดีค่า พบกับคอลัมน์เด็กพลังบวกที่จะพาน้องๆ ไปรู้จักวัยรุ่นทัศนคติดีๆ ที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้น้องๆ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ทำกิจกรรมดีๆ เพื่อตัวเองและสังคมค่ะ
ช่วงไม่กี่วันนี้ หลายคนอาจเห็นข้อความที่แชร์จากทวิตเตอร์ของ @Thejajah เกี่ยวกับชีวิตที่ย่ำแย่จากการเป็นโรคกระดูกเปราะ ซึ่งโรคนี้ส่งผลให้เธอเดินไม่ได้ตั้งแต่เกิด ผ่านการผ่าตัดมาแล้วมากกว่า 30 ครั้ง ทั้งส่วนขา แขน กระดูกสันหลัง ยกเว้นแค่ศีรษะ แถมกระดูกยังเปราะหักง่ายมาก แต่โชคดีในความโชคร้ายคือเธอเป็นคนเข้มแข็งที่ไม่ยอมให้ร่างกายมาเป็นอุปสรรคต่อการทำตามความฝัน เพราะในที่สุดเธอก็คว้าใบปริญญามาเป็นของขวัญให้ตัวเองและแม่บุญธรรมสำเร็จ!
แนะนำตัว
"สวัสดีค่ะ ชื่อ 'จ๊ะจ๋า - จิณจุฑา จุ่นวาที' เป็นคนกรุงเทพฯ เพิ่งจบปริญญาตรีสาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีธัญบุรี นิสัยส่วนตัวเราเป็นคนสองบุคลิก ถ้าอยู่กับคนอื่นจะยิ้มสดใสร่าเริง ชอบคุยชอบอ้อน แต่ถ้าอยู่คนเดียวจะกลายเป็นคนเงียบๆ อยู่ในโลกของตัวเอง^^"
แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ค่ะ เพราะตอนที่พูดคุยกัน น้ำเสียงของเธอสดใสเป็นปกติไม่เหมือนคนที่กำลังเจอกับโรคร้ายแรงเลย พอถามถึงอาการ เธอบอกว่าตอนนี้อาการทรุดลง กระดูกสันหลังโค้งเป็นตัว S จนต้องนั่งเอียงไปข้างหนึ่ง แถมมันยังไปเบียดปอดกับหัวใจ ดังนั้นเวลาที่ปอดกับหัวใจขยาย หลังจะรับภาระหนักขึ้น การทำงานภายในร่างกายจึงแย่ไปหมด อาการทั้งหมดนี้มีสาเหตุจากสารในยาขับที่เธอได้รับขณะอยู่ในครรภ์ ส่วนช่วงนี้เธออยู่ระหว่างการทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล ประมาณ 2 อาทิตย์ครั้ง เพราะกระดูกงอ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
เพิ่งเป็นบัณฑิตหมาดๆ
ถ้าใครตามอ่านทวิตเตอร์ของเธอ จะเจอข้อความนึงที่บอกว่า "วันนี้ก็จบแล้ว ภูมิใจที่ตัวเองไม่ท้อยอมแพ้ไปก่อน อดทนมาก" เราเลยอยากรู้ว่าชีวิตการเรียนของเธอเป็นยังไงบ้าง
"เราเลือกเรียนบริหารการตลาดเพราะเชื่อว่าจะนำไปปรับใช้กับงานได้ และมีวิชาเกี่ยวกับการสื่อสารที่เราชอบด้วย แรกๆ ยอมรับเลยว่าสายนี้ไม่ใช่สำหรับเราหรอก ไม่ชอบคำนวณด้วย ปีแรกนี่แทบจะเทหมด เกรดตกต่ำไป 1 กว่าๆ แต่พอปี 2 เราปรับตัวได้แล้ว ลุกมาฟิตหนักเต็มที่ ตั้งใจเรียน ทบทวนตลอดจนเกรดเพิ่มเป็น 3 กว่า อาจเพราะเราทนเห็นเกรดปีแรกไม่ได้ด้วยเนาะ 5555 แล้วพอจบมาเราภูมิใจมาก เพราะเราได้พยายามทำในสิ่งที่ตอนแรกตัวเราไม่ชอบ โชคดีอย่างนึงที่ทั้งอาจารย์และเพื่อนเห็นบุคลิกและผลการเรียน แล้วเขาบอกว่าเราทำได้ ตอนนี้เราก็คิดนะว่าเรามาถูกทางแล้ว ส่วนเหตุผลที่เราตั้งใจและซีเรียสเรื่องเรียนมากๆ เป็นเพราะเราสามารถแสดงศักยภาพทางนี้ได้เต็มที่"
จากนั้นจ๊ะจ๋าได้เล่าถึงคนรอบข้างให้ฟัง “ตอนเรานอนโรงพยาบาล ทั้งเพื่อนทั้งพี่รหัสช่วยติวช่วยเอาหนังสือมาให้เพื่อให้เราสอบผ่าน จริงๆ ก็แอบคิดนะว่าถ้าไม่มีพวกเขา ตอนนี้เราจะเรียนจบแล้วรึยัง คือตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาเต็มใจช่วยเหลือมากๆ และไม่เคยมองว่าเราเป็นภาระเลยค่ะ^^”
ไม่ใช่แค่รักเรียน แต่เธอยังเป็นเด็กกิจกรรมที่เก่งมากๆ อีกด้วยค่ะ เธอเล่าว่า "ช่วงประถมมัธยมเราอยู่โรงเรียนศรีสังวาลย์ที่เป็นโรงเรียนสำหรับคนพิการค่ะ มือไม้เรายังใช้ได้ปกติเลยได้ทำกิจกรรมเยอะมาก ทั้งรำ เป็นพิธีกร เป็นตัวแทนโรงเรียน ฯลฯ เราเห็นว่าตัวเองชอบอยู่กับงานแบบนี้และทำได้ดีด้วย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราชอบสายสื่อสาร พอตอนขึ้นมหา'ลัย เราเข้ากิจกรรมตลอด อย่างเช่นการรับน้องที่ทำให้ได้เพื่อน"
นับว่าการเรียนจบปริญญาตรีคือจุดเริ่มต้นของเธอเลยก็ว่าได้ เพราะความฝันของสาวตัวเล็กคนนี้คือการเรียนจบโทและมีบ้านของตัวเองสักหลังมอบให้แม่บุญธรรมที่ดูแลเธอมาตั้งแต่เด็กนั่นเองค่ะ
พยายามใช้ชีวิตให้เหมือนคนปกติ
"แม่สอนให้เราใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ พยายามไม่ทำอะไรให้แตกต่างจากคนอื่น อย่างตอนเรียน เราก็นั่งโต๊ะเลกเชอร์เหมือนคนอื่น ปกติแล้วจะนั่งเรียนกับกลุ่มเด็กเรียน ซึ่งเขาก็จะนั่งหน้ากันอยู่แล้ว ส่วนเรานั่งริมเพราะจอดวีลแชร์ไว้ข้างๆ ได้ อาจลำบากนิดนึงตอนไปเรียนตึกที่ไม่มีลิฟต์ เพื่อนหรือคนแถวนั้นก็จะช่วยอุ้มเรา เพราะเราตัวเบาอยู่แล้ว หรือไม่ก็ยกทั้งเราทั้งรถขึ้นบันไดเลย"
"ถ้าเรื่องที่เป็นอุปสรรคจริงๆ คือการเดินทางนี่แหละค่ะ ปกติถ้าไปโรงพยาบาลจะมีแท็กซี่ประจำอยู่แล้ว แต่บางทีเขาไม่ว่างเราก็ต้องเดินทางไปเอง เคยลองไปขึ้นรถเมล์เพราะประหยัด และเห็นว่าทางขึ้นก็กว้างพอจะเอาวีลแชร์ขึ้นไปได้ ปรากฏว่าเขากลับไล่เราลงจากรถ เวลาเราจะไปเที่ยวหรือคอนเสิร์ตเลยเลือกขึ้น BTS และ MRT แทนค่ะ"
เคยเจอโรครุมเร้าถึงขั้นคิดอยากตาย...
"มีช่วงแย่ๆ หน่อยคือตอนผ่าตัดแล้วต้องหยุดเรียนไป 1 ปี ถ้าแค่ผ่าเฉยๆ จะไม่อะไรเลยนะ แต่คราวนี้ต้องใส่เฝือกตั้งแต่หน้าอกถึงเท้าเหมือนมัมมี่ ต้องนอนนิ่งๆ ขยับไม่ได้ พลิกตัวตะแคงก็ไม่ได้ วันๆ ต้องเงยหน้ามองเพดาน แค่นั้นไม่พอ เราแพ้สารในยาแก้ปวดด้วย แต่มันก็จะเป็นต้องปล่อยให้แพ้อะ มีผื่นขึ้นตามตัว ทั้งกดดันทั้งอยากกลับไปเรียน รู้สึกแย่จนอยากตายไปเลย สุดท้ายก็ผ่านมาได้ ตอนนั้นมี 'หมอเจี๊ยบ-ลลนา' มาช่วยดูและเปลี่ยนยาให้จนหายดี^^"
ตอนอาการทรุดถึงขั้นนั้น เราได้กำลังใจดีๆ จากไหนบ้าง? "ได้กำลังใจจากแม่(บุญธรรม)และเพื่อนที่มาเยี่ยม และอาจารย์ก็เข้าใจเราด้วย ที่ขาดไม่ได้เลยคือเราคิดถึงตัวเอง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกและไม่ใช่ครั้งที่หนักสุด ตอน ม.3 เราเคยเป็นไข้เลือดออกกับไข้หวัด 2009 เกือบตายของจริงค่ะ หมดสติไปหลายรอบ เรายังสู้จนผ่านมาได้เลย แล้วทำไมครั้งนี้จะต้องยอมแพ้ล่ะ"
เป็น "อากาเซ" สปิริตแรงกล้า!
ในช่วงชีวิตที่เธอต้องเจอปัญหาสุขภาพรุมเร้า อย่างน้อยๆ เธอก็มีแรงบันดาลใจเป็นศิลปินเกาหลีวง GOT7 (หรือที่เรียกว่า 'กัซ') เธอเล่าว่า "ช่วงที่นอนป่วยอยู่ เราก็เปิดหาอะไรดู หาเพลงฟังแก้เบื่อ แล้วไปเจอไลฟ์ของ GOT7 จากนั้นก็ไปเจอ 'จินยอง' หนึ่งในศิลปินของวงไลฟ์เดี่ยว เขาพูดในเชิงให้เราคิดบวก ตอนนั้นเรารู้สึกเขาเก่งมากเลย เหมือนเป็นทั้งนักร้องและนักเขียนในคนคนเดียว แล้วพอหลังจากนั้นเราก็ได้ยินว่ากัซจะมีคอนเสิร์ตช่วงที่เราใกล้ถอดเฝือกพอดี พอขอแม่เรียบร้อยแล้วก็ไปคอนฯ ทั้งเฝือกเลยค่ะ จากนั้นก็ติ่งยาววว 55555"
ไหนๆ ก็พูดถึงกัซแล้ว เธอเล่าต่อถึงโมเมนต์ชวนให้อากาเซทางบ้านต้องตาร้อน~ "จริงสิ ครั้งนั้นมีโมเมนต์นึงที่ 'มาร์ค' สมาชิกอีกคนในวงเห็นเรา เขาหยุดยืนมอง ยิ้มให้แล้วโบกมือ นานประมาณ 1 นาทีเลย ฟินแรงมาก><"
นอกจากนี้ เธอยังพูดถึงไอดอลคนอื่นๆ อีกด้วย "่เราตามดูซีรี่ส์ของ 'โบกอม' มีโอกาสได้ไฮทัชและขึ้นไปนั่งคุยด้วย ส่วนศิลปินไทย เราชอบ 'พี่ไมค์-พิรัชต์' ตั้งแต่เขาออกอัลบั้มแรก ครั้งนึงตอนรายการตีสิบเปิดโอกาสให้เด็กพิการไปเข้าร่วมรายการ แล้วเราได้รับเลือกด้วย อาวิทวัสก็พาเราขึ้นเวที พอได้เห็นพวกเขาแล้วเราดีใจจนร้องไห้เลย ทุกวันนี้พี่ไมค์เป็นเหมือนพี่ชายที่ดีของเรา เขาเทคแคร์แฟนคลับอย่างเราดีมากๆ เลย"
"เราอยากบอกทุกคนว่า คนที่เป็นแฟนคลับเกาหลีหรือใครก็ตาม ไม่ใช่ชอบแค่เพราะหน้าตา แต่มีปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่นเราที่ชอบ GOT7 เพราะผลงาน ทัศนคติ และความพยายามของเขา"
คว้าอันดับ 3 บนเวที Miss Wheelchair 2012
"ตอนประถมมีพี่คนนึงแนะนำว่าเราน่าไปประกวดเวทีนี้ เขาบอกว่าเราหน้าตาดีและมีความสามารถทางการแสดง พอขึ้น ม.5 ได้ยินว่ามีจัดประกวดเลยลองสมัคร ตอนแรกไม่คิดว่าจะติดนะ เพราะเราแค่เล่นขิมกับพูดแนะนำตัวเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ อายุก็ยังน้อย"
"ส่วนเหตุผลที่อยากประกวด คืออยากแสดงให้คนอื่นเห็นว่า เราไม่ใช่แค่เรียนได้อย่างเดียว แต่มีหลายอย่างที่เราทำได้ และอยากให้คนเห็นคนพิการในอีกด้านหนึ่งว่าเขาทำอะไรได้มากกว่านั้น เหมือนเป็นกระบอกเสียงให้คนพิการที่ไม่ได้รับโอกาสหลายๆ อย่างเพราะโดนมองข้าม แล้วในที่สุดการประกวดครั้งนั้นเราก็ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ค่ะ"
จากนั้นเธอได้เล่าเรื่องที่ประทับใจที่ขนาดเราได้ยินยังแทบน้ำตาซึม... "ก่อนหน้านั้นเพื่อนสนิท ม.ปลาย บอกไว้ว่ามาดูเราไม่ได้ เพราะตรงกับวันเรียน เราก็คิดว่าคงเหลือแค่เรากับแม่แหละ ปรากฏว่าตอนประกาศผล เพื่อน ม.ปลายทั้งกลุ่มลุกขึ้นยืน แล้วเรารู้ทีหลังอีกว่านักเรียนห้องอื่นก็หยุดเรียนเพื่อดูการประกวดของเราผ่านโปรเจคเตอร์ด้วย!"
จ๊ะจ๋าได้อะไรจากการประกวดครั้งนั้นบ้าง? "ชีวิตเราเปลี่ยนไปมากเลย จากเด็กธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จัก กลายเป็นมีคนรู้จักมากขึ้น พอได้อันดับ 3 ก็ต้องไปทำงานกับกองประกวด 1 ปี เป็นใบเบิกทางที่แสดงว่าเราอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ ได้ไปทำงานช่วยสังคม เช่นเสนอโครงการรถแท็กซี่สำหรับผู้พิการ เพราะปกติรถแท็กซี่จะเอารถเข็นขึ้นไปไม่ได้ ปรากฏว่าเขาก็อนุมัติและออกรถมาให้ และคนชรา คนป่วย หรือคนท้อง ก็ใช้บริการได้เหมือนกัน"
คำทิ้งท้ายจากสาวตัวเล็กใจใหญ่
"ขอบคุณทั้งคนที่ให้กำลังใจเราและคนที่ให้เราเป็นกำลังใจของเขาด้วย ส่วนคนรอบข้าง พวกเขามีอิทธิพลต่อความรู้สึกเรามาก ขอบคุณที่อยู่ข้างกันมาตลอด เราไม่ค่อยพูดก็จริงนะ แต่เราจะแสดงออกว่าเรารักเขา อยากทำให้เขาภูมิใจในตัวเรา ทั้งคนที่เลี้ยงดูและช่วยเหลือเรา จนถึงคนที่ไม่รู้จักที่เห็นแล้วเอ็นดูเราด้วย"
"สุดท้ายนี้ เรายังไม่ถึงขั้นกล้าบอกคนอื่นให้เอาเรื่องของเราเป็น Case Study เพราะความรู้สึกและขีดจำกัดของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่เราแค่แชร์ประสบการณ์ให้คนมีกำลังใจมากขึ้นและทำให้ดีที่สุดเมื่อต้องเจอปัญหาของตัวเองค่ะ"
Photo Credit: twitter @Thejajah
เรียกได้ว่าสาวตัวเล็กคนนี้สร้างคุณค่าให้ตัวเองและคนรอบข้างแบบไม่ยอมแพ้ให้ร่างกายเลยทีเดียว และเธอยังพยายามหาความสุขจากสิ่งที่เธอรัก รวมทั้งรับแรงใจจากคนรอบข้างที่ไม่เคยทิ้งเธอให้อยู่คนเดียวอีกด้วย พี่หวังว่าเรื่องราวชีวิตของจ๊ะจ๋าจะเป็นกำลังใจให้น้องๆ กล้าเผชิญกับปัญหาของตัวเอง เพราะเธอพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าถึงต้นทุนชีวิตจะต่างกัน แต่ไม่มีข้อจำกัดอะไรยิ่งใหญ่จนบดบังความสุขในชีวิตได้เลยค่ะ ^^ สุดท้ายนี้เราก็ขอเป็นกำลังใจให้น้องจ๊ะจ๋าทำตามความฝันสำเร็จนะคะ
4 ความคิดเห็น
สุดยอดจริงๆ... เป็นอากาเซเหมือนกัน ที่ชอบไม่ใช่เพราะแค่หน้าตา แต่รวมทุกอย่างจริงๆ ทั้งทัศนคติ ความสามารถ ความพยายาม
นับถือคุณจ๊ะจ๋ามากค่ะ มีความอดทนพยายามขนาดนี้ เราครบสามสิบสอง สุขภาพแข็งแรง เห็นแล้วนึกอาย ต้องพยายามมากกว่านี้ซะแล้ว
แม่ใจร้ายมาก ทำไหมต้องกินยาขับอ่ะ แต่น้องเค้าก้อน่ารัก สดชื่น สวยด้วย กำลังใจดีมองโลกในแง่ดี
เก่งมากๆเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ อากาเซ+ติ่งโบกอมเหมือนกันเยยยยยย
น้องจิตใจเข้มแข็งมาก น่ารักมากๆ ขอเป็นกำลังใจให้อีกคนนะคะ :)