สวัสดีค่ะชาว Dek-D ถ้าใครคิดอยากหารายได้พิเศษ พี่จะพาไปรู้จักประเภทงานที่เรียกว่า ฟรีแลนซ์ (Freelance) หรือ "งานอิสระ" ถ้าเป็นวัยเรียนก็คือการรับจ็อบมาทำไปด้วยเรียนไปด้วย เหมาะกับคนที่พอจะมีเวลาว่าง อยากหารายได้เสริมป้องกันภาวะเงินขาดกระเป๋า หรืออยากฝึกสกิลด้านที่ตัวเองถนัดให้ดียิ่งขึ้น แถมเวลาทำงานก็ยืดหยุ่น ตื่นมาทำตอนไหนก็ได้ เพียงแต่ต้องเสร็จทันเดดไลน์ และข้อดีอีกอย่างนึงคือ คนที่รับงานฟรีแลนซ์จะมีคอนเนกชั่นที่เบ่งบาน เป็นผลดีกับหน้าที่การงานในอนาคต
แต่ช้าก่อน!! ย่อหน้าเมื่อกี้ฟังดูสวยงามใช่มั้ยคะ หลายคนเลือกจะมาบอกต่อแค่นี้ แต่จริงๆ มันมีอีกด้านนึงที่ทำให้ฟรีแลนเซอร์บางคนต้องวางมือไป ดังนั้นพี่เลยขอพาน้องๆ ไปเช็กก่อนว่า เราควรมีคุณสมบัติอะไรถึงจะอยู่รอดยาวๆ ในเส้นทางนี้!
1. ต้องมีความสามารถในการทำงานนั้นจริงๆ
ต้องเช็กก่อนนะคะว่าเราถนัดด้านนั้นจริงๆ มั้ย จับทางตัวเองให้ได้ เพราะแน่นอนว่าคนที่จะทำงานฟรีแลนซ์ได้ในยาวๆ ฝีมือก็ต้องเป็นที่น่าพอใจ คุณภาพงานต้องคุ้มกับเม็ดเงินที่เค้าจ่ายให้เรา ถ้าเกิดผลลัพธ์แย่หรือไม่ได้มาตรฐาน เขาก็จะโบกมือลาแล้วไปจ้างคนอื่นทำแทน
แล้วความสามารถด้านไหน สามารถทำงานอะไรได้บ้าง? เรามาดูตัวอย่างกันค่ะ
ถนัดเขียน : เขียนบทความ เขียนบทละคร เขียนบทวิทยุโทรทัศน์ พิสูจน์อักษร รีไรต์งานเขียน ฯลฯ
ถนัดออกแบบ/วาดภาพ : ทำกราฟิก วาดภาพเหมือน วาดภาพการ์ตูน วาดภาพปกหนังสือ ฯลฯ
ถนัดภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สาม : แปล ล่าม ทำซับไตเติ้ล สอนพิเศษ ฯลฯ
ถนัดเล่นโซเชียล : เป็นแอดมินดูแลเพจ ฯลฯ
ข้างบนนี้เป็นแค่ตัวอย่างนะคะ จริงๆ งานฟรีแลนซ์มีหลากหลายมาก ถ้าใครยังนึกไม่ออกอาจลองนึกถึงความชอบก่อนก็ได้ อย่างเช่น ชอบดูหนังดูซีรี่ส์ต่างประเทศ และรู้ว่าตนสามารถแปลภาษาในต้นฉบับได้ แปลว่าเรามีโอกาสทำงานแปลหรือทำซับไตเติ้ลได้เหมือนกัน เพียงแต่เราอาจต้องศึกษาลงลึกเกี่ยวกับงานให้มากขึ้น (***แต่ขอเตือนให้ทำใจก่อนว่า ถ้าขาดคอนเนกชั่นและประสบการณ์ ช่วงเริ่มต้นจะหาลูกค้ายากมากๆ)
Tips: บางครั้งเราอาจประเมินฝีมือของเราต่ำหรือสูงกว่าที่คนส่วนใหญ่มองเห็นก็ได้นะคะ ดังนั้นอาจปรึกษาเพื่อน อาจารย์ หรือผู้รู้ด้านนั้นๆ ว่าผลงานของเราเข้าขั้นมั้ย ต้องพัฒนาหรือปรับปรุงยังไงบ้าง (ในบางกรณี ผู้จ้างอาจมีแบบทดสอบให้เราลองเทสต์ฝีมือก่อนทำงานจริงด้วยค่ะ)
2. ต้องเป็นคนสตรอง
ถ้าใครเป็นคนขี้เกียจ ไม่ชอบความกดดัน และเกลียดความเรื่องมาก รับรองว่ามียกธงขาว เพราะเวลาพักผ่อนช่วงที่ไม่มีเรียน ก็ต้องเอามาปั่นงานพิเศษให้เสร็จทันเดดไลน์ แถมลูกค้าก็มักไม่ได้พอใจงานในครั้งเดียวด้วย อย่างสมมติงานกราฟิก อาจเจอทั้งลูกค้าที่อยากให้ปรับปรุงเพราะมันยังดูไม่ลงตัวจริงๆ หรืออีกกรณีคือเจอลูกค้าติสต์แตก ทำยังไงก็ไม่ถูกใจ แก้ไปสิบแปดรอบ...สุดท้ายเอาอันแรกนั่นแหละ (เย่ย!) แบบนี้ก็ต้องกล้ำกลืนฝืนรับค่ะ ถ้าเผลอแสดงอารมณ์ไม่ดีใส่ จะกลายเป็นเสียภาพลักษณ์และลูกค้าไป
นอกจากต้องอดทนกับการโดนแก้รัวๆ แล้ว ยังต้องอดทนกับลูกค้าบางคนที่คุยยาก อธิบายไม่ชัดเจน หรือบางคนก็ขยันเร่งกดดันบ่อยๆ ด้วยค่ะ เรียกว่าเทรนตัวเองพร้อมเจอชีวิตการทำงานจริงๆ ได้เลยแหละ
3. ต้องบริหารจัดการตารางเวลาเป็น
ปกติแล้วเวลาใน 1 วันของน้องๆ จะถูกแบ่งไปใช้เรียน ทำการบ้าน อยู่กับครอบครัว ทำงานอดิเรก ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอใช่มั้ยคะ แต่พอตัดสินใจรับงานฟรีแลนซ์เข้ามาเมื่อไหร่ ย่อมกระทบกับตารางเวลาปกติของเราด้วย คราวนี้ในเมื่อเวลาแต่ละวันจะยังคงมี 24 ชั่วโมงเหมือนเดิม เราก็ต้องจำยอมที่จะบาลานซ์เวลาใหม่ โดยลดกิจกรรมบางอย่างลงไปบ้าง เช่น เวลาเล่นเกม เวลาดูทีวี ฯลฯ แต่สิ่งที่ไม่ควรลดคือเวลาเรียนและเวลาพักผ่อน ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรละเลยครอบครัวด้วย
ดังนั้นถ้าใครอยากรับงานฟรีแลนซ์ สิ่งที่แนะนำให้ทำคือ
1. ประเมินพลังตัวเองให้ดี แล้วรับงานเท่าที่ไหว เช็กตารางตัวเองให้ดีว่าช่วงนั้นมีสอบหรือมีงานต้องส่งเยอะหรือไม่ หรือถ้างานไหนค่าจ้างไม่แฟร์ ไม่จำเป็นต้องรับก็ได้ค่ะ เพราะถ้ารับสุ่มสี่สุ่มห้า กลายเป็นว่าเราต้องหยุดเรียนหรือนอนดึกเพื่อนั่งปั่นงานฟรีแลนซ์ ปัญหาที่ตามมาไม่คุ้มเลยนะ
2. ต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพื่อลดเวลาที่ใช้ในการทำงานแต่ละครั้ง โดยที่คุณภาพคงเดิมหรือดีขึ้น แต่ข้อนี้ต้องอาศัยทักษะเฉพาะตัว ซึ่งบางครั้งอาจเกิดจากการรับงานฟรีแลนซ์เยอะๆ แล้วทำจนชำนาญขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้
4. ต้องพร้อมรับปัญหาสุขภาพที่อาจแวะมาหลอกหลอน
ถ้าวันนึงปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิตแวะมาเยี่ยม เราจะรับมือได้มั้ย? บางครั้งอาจเกิดจากการที่เราขาดคุณสมบัติในข้อ 1. เช่น ยังไม่ชำนาญพอ ผลงานจึงออกมาไม่ดี หรือต้องใช้เวลาทำงานนานกว่าปกติ ฯลฯ หรือขาดคุณสมบัติในข้อ 3. เช่น รับงานเยอะจนนอนดึก ไม่มีเวลากินข้าว ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ฯลฯ นอกจากนี้ เราอาจไปเจอปัญหาจากปัจจัยนอกเหนือการควบคุมด้วย เคสที่เห็นบ่อยๆ เลยคือลูกค้าไม่มีเหตุผล - เล่นตุกติก - กดค่าจ้าง ฯลฯ จึงไม่แปลกเลยที่เราจะจิตตก
5. ต้องสื่อสารได้และรู้เท่าทันคนบ้างนะ
เคยได้ยินมั้ยคะกับประโยคที่ว่า “ฟรีแลนซ์ = ทำงานฟรี(อีก)แลนซ์” ...แปลง่ายๆ คือ โดนเบี้ยวค่าจ้าง! ซึ่งเกิดจากความไว้ใจล้วนๆ บางคนโดนเล่นตุกติกใช้งานเยอะกว่าที่ตกลงกันไว้ บางคนทำไม่ถูกใจแล้วโดนผู้จ้างเทไปหรือขอลดค่าจ้าง (แต่ก็มีฟรีแลนซ์บางคนที่ไปเทผู้จ้างจนงานเขาเสียหายด้วยเหมือนกัน อย่าทำนะคะ) อย่างไรก็ตาม จุดเริ่มต้นชีวิตฟรีแลนซ์ของหลายๆ คน คือการรับงานจากคนใกล้ตัวที่รู้หน้ารู้ใจกันอยู่แล้วนั่นแหละ พอมีประวัติการทำงานแล้วถึงจะมีผลงานไปการันตีกับคนนอกได้
ส่วนบางคนที่ไม่เคยติดต่อประสานงานกับใครมาก่อนเลย ก็อาจต้องเทรนตัวเองหน่อยค่ะ เพราะเราต้องพูดคุย บอกรายละเอียดงาน และทำข้อตกลงกับลูกค้าของเรา ขืนไปพูดจาห้วนๆ พูดใจความสำคัญไม่ครบ หรือไปตีหน้าเหวี่ยงใส่ อาจทำให้เค้าไม่อยากจ้างเราก็ได้นะ
Tips: ฟรีแลนเซอร์คนนึงแนะนำให้ใช้วิธีตั้ง “มัดจำ” แล้วส่งงานโดยแปะลายน้ำหรือเครดิตเราเอาไว้เพื่อป้องกันการนำไปใช้ จากนั้นให้เรียกเก็บเงินเต็มจำนวนก่อนแล้วค่อยส่งงานไฟนอลไปให้ แต่วิธีอาจยากในกรณีที่เรายังเป็นโนเนม เพราะบางคนเค้าก็ยังไม่เชื่อใจเราเหมือนกัน
ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออก พี่ขอแนะนำให้ดูหนังไทยเรื่อง “ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” (2015) ค่ะ เรื่องนี้แสดงให้เห็นชีวิตฟรีแลนเซอร์ได้ดีมากๆ (บางคนอาจไม่เจอหนักเท่าในหนังนะคะ มันมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง) ถ้าเช็กแล้วเห็นว่าตัวเองสตรองพอจะรับมือกับด้านมืดได้ พี่ก็แนะนำให้ลุยเลย เพราะงานแบบนี้จะทำให้เราได้ทักษะ ประสบการณ์ และคอนเนกชั่น ซึ่งสามสิ่งนี้เราจะได้ใช้ในอนาคตแน่นอนค่ะ ^^
1 ความคิดเห็น
อันนี้จริง