เมื่อไม่นานมานี้ ชื่อ ‘H 3 F’ วงอินดี้ไทยแนวเพลง R&B/Soul/Pop ถูกพูดถึงกันเยอะมากทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวต่างชาติ หลังจากเพลง ‘How Can I’ ที่ปล่อยมาเมื่อราวๆ กลางปีที่แล้วได้เข้าไปโลดแล่นบนเพลย์ลิสต์ What I’m listen to ของหนุ่มๆ บังทัน (วง BTS) จนล่าสุด (20 ต.ค.63) ยอดวิวบนยูทูบพุ่งไป 2.4 ล้านแล้วค่ะ!
แต่ต้องบอกว่าเขาไม่ใช่ศิลปินหน้าใหม่ และ How Can I ไม่ใช่เพลงเดียวของวงที่ควรค่าแก่การฟังแน่นอน เพราะถ้าลองไปเปิดฟังในช่องยูทูบของ H 3 F จะสัมผัสได้ถึงคุณภาพ ความพิถีพิถัน และมีกลิ่นอายอินเตอร์ทั้งเพลงและ MV วันนี้จะพาไปพูดคุยกับ ‘ก้อง’ เทพวิพัฒน์ ประชุมชนเจริญ ตำแหน่งนักร้องและกีตาร์ ที่จะเล่าการเดินทางของเขาและเพื่อนอีก 3 คน ได้แก่ แม็ก–ฐากร อัญภานนท์ (กลอง), ปิง–อาราการ จันทร์ทอน (กีตาร์) และหม่อม–ธนบัตร สมบูรณ์สิทธิ์ (เบส) ถ้าได้อ่านต้องได้รับพลังบวกดีๆ สมชื่อหมวดแน่นอนค่ะ
ก่อนเริ่มอ่านเปิดเพลงเพราะๆ คลอสักหน่อยนะคะ
แน่นอนว่าผมต้องหวัง
แต่มันไม่ใช่พลังขับเคลื่อน
“ถึงผมจะเริ่มต้นด้วยความมั่นใจเลือนราง แต่ร้อยทั้งร้อยทุกคนต้องคาดหวังกับผลงานของตัวเองแหละ ผมเองก็ไม่ปฏิเสธนะ แต่ขอหวังแบบแอบๆ ไม่กล้าหวังเสียงดัง ว่าอยากให้มีคนฟังเพลงเราแล้วชอบ อยากให้กระแสตอบรับดี แล้วมีวันที่ได้ไปเวิลด์ทัวร์"
" จุดเริ่มต้นของพวกเราอาจจะซับซ้อนหน่อยนะครับ 5555 ช่วงที่เรียน ม.รังสิตปี 2-3 ผม (ก้อง) ทำ 2 วงพร้อมกัน หนึ่งในนั้นคือวงชื่อ 'Happy Three Friends' มีกันอยู่ 3 หน่อคือ ผม แม็ก และหม่อม เล่นเพลงคนอื่นด้วยกันมาก่อน จนวันนึงแพสชันความอยากแต่งเพลงผมมันยังอยู่ เลยชวนเพื่อนทำเพลง และปล่อย 4 เพลงเป็น Episode แรก แล้วมัดรวมเป็นแผ่นไปขายงาน Cat Expo ซึ่งตอนนั้นคนยังไใม่ได้มาหาพวกเราเยอะหรอกครับ เพราะไม่เคยไปเดินสายที่ไหนเลย ส ่วนใหญ่เป็นเครือข่ายเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน ฯลฯ หรือคนที่เคยเห็นเราเล่นเพลงที่งานมหา'ลัย (ตอนนั้นก็ภูมิใจอยู่ดี เพราะคนที่มาคือคนที่ฟังเพลงเราจริงๆ) มันคือจุดเริ่มต้นเล็กๆ น่ารักๆ แล้วค่อยๆ เติบโตขึ้น"
“ ส่วนเนื้อร้องจะเป็นภาษาอังกฤษล้วน ไอเดียจากสิ่งที่ผมเจอในแต่ละวัน พยายามจินตนาการว่าเหมาะกับให้ทุกคนฟังตอนขับรถหรือฟังก่อนนอนได้มั้ย? เริื่องคาดหวังผลตอบรับก็ส่วนนึง แต่เราอยากพัฒนาตัวเองผ่านการทำเพลงด้วย”
“พอปีถัดมาจะทำอัลบั้มเต็ม ผมก็ชวนปิงมาเล่นกีตาร์ ซึ่งปิงคือมือเบสของอีกวงนึงที่ผมทำและแตกไปในตอนหลัง ผมเลยจัดการย่อชื่อวงจาก Happy Three Friends ให้เหลือเป็น H 3 F เพราะเราไม่ได้มีกัน 3 คนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว จากนั้นปีต่อมาก็ปล่อยเพลงชื่อ How Can I และ Just Sayin’ ฟีดแบ็กเริ่มดีขึ้น คนรู้จักมากขึ้นเพราะเราเน้นทำเรื่อยๆ ไม่หายไปไหน ส่วนหนึ่งเพราะทำ MV ให้คนมีภาพจำด้วยครับ”
"ปล. ตอนที่เพลงของผมไปอยู่ในเพลย์ลิสต์ของวง BTS คนรอบข้างแตกตื่นทักมากันมาเยอะมาก ส่วนผมรีแอคชันช้าไปครึ่งวัน แต่พอรู้สึกตัวก็ เฮ้ยยยย นี่มันเรื่องใหญ่่นะ ดีใจมากๆ ครับที่เพลงจาก ม.รังสิต จะไปถึงหูเค้าได้ ใจนึงก็อยากรู้ว่าเค้าบังเอิญได้ยินจากช่องทางไหน แล้วเค้ารู้มั้ยว่าพวกเราเป็นวงไทยเล็กๆ วงนึงที่ไม่ได้สังกัดค่ายไหนเลย"
"หลังจากปล่อย 2 เพลงหลัง เราก็ได้ไปออกงาน Cat Expo และเล่นในนามวงครั้งแรก เวลามีใครอยากให้วงเล่น เราก็ไป ถ้าอยากได้เงินก็เล่นร้าน เล่นดนตรีกลางคืน แต่เมื่อไหร่อยากเดินตามฝัน เราจะเล่นเพลงตัวเอง ทำควบคู่กัน "
"จนวันนึงมีคนเดินมาบอกว่า "ผมตามตั้งแต่พี่เล่นร้านแล้วนะ" เป็นอะไรที่ภูมิใจที่สุดในชีวิตเลยครับ เพราะวันที่เค้าบอกมามันก็ 1-2 ปีที่แล้วนะ ลองมานั่งย้อนคิดดูว่า ถ้าเมื่อก่อนเอาแต่มานั่งคิดว่า ‘โห ไม่มีคนฟังเลยว่ะ’ คนที่ตั้งใจเดินทางมาดูเราเค้าจะรู้สึกยังไง เราจะไม่ดูถูกตัวเองและคนฟังครับ ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเราคิดเหมือนกันว่ากำลังไปทำเรื่องที่สนุกและตื่นเต้นอยู่นะ เราคาดหวังก็จริงแต่ไม่มานั่งกดดันให้ตัวเองบั่นทอนเล่นๆ เอนไปทางว่าเราได้อะไรจากตรงนั้นมากกว่า"
เปิดเบื้องหลัง Family Product
ลงขันด้วยไม้เด็ดที่ตัวเองมี
“ถ้าเรื่องดนตรีกับเพลง เราทำกันเองในวง H 3 F แต่ขั้นตอน production ต่างๆ คือความโลกกลม พวกเราทำงานกับเพื่อนที่เรียนและคนใกล้ตัวทั้งนั้นเลยครับ”
- เจ้าของห้องอัดชื่อ 'นัท' (Nattawut Thongnopnua) เป็นเพื่อน ม.รังสิตเหมือนกัน ปัจจุบันมีห้องอัดชื่อ Sayin Studio เค้าตั้งตามเพลง Just Sayin' เพราะเป็นเพลงแรกที่เรายกกันไปอัดที่นั่น 55555
- Sound Engineer ที่ควบคุมการอัดและ mix เพลงในอัลบั้ม Family Product ชื่อ 'วิน' (Warapat Hoonsadee) เป็นรุ่นพี่ที่คณะดนตรี ม.รังสิต
- คนถ่ายปกอัลบั้มและทำ Art work ชื่อ 'พี่ระ' (Baybies)
- ผู้กำกับ MV ทุกตัวในอัลบั้ม Family Product ชื่อ 'เกรท' (Wutikorn Chernsiri) เป็นพระเอก MV How Can I ด้วย~ ส่วนผู้กำกับ MV เพลง How Can I ชื่อ 'มะปราง' (Maprang Suteekan) ครับ
- ผู้กำกับ MV เพลง Time's Not a Friend กำกับโดย 'แบงค์' (Chantip Pisutseriwong)
"หลังจากปล่อยอัลบั้ม Family Product ออกไป ก็มีจัดคอนเสิร์ตเดือนมีนาคม ฟีดแบ็กดีบัตรขายหมด แล้วมีบางคนทักมาหาในเพจว่าขอโทษที่ไปไม่ได้เพราะโควิด แต่เค้าไม่ขอคืนเงิน (refund) เค้าอยากซัพพอร์ต เราซึ้งเลยครับ วันนั้นใจฟูมาก // แล้วโควิดก็พรากโอกาสไปไต้หวันกับเกาหลีด้วยครับ จริงๆ ปีนี้จะได้ไปแล้ว กลายเป็นต้องมาอัดเพลงกันต่อ แต่แผนปีหน้าจะเป็นยังไงก็ต้องรอดูสถานการณ์โลกกันต่อไปแหละเนอะ"
เปิดที่มาของสำเนียงสุดเป๊ะ
(เคยเรียนที่อินเดีย)
“ตอนป.3 ที่บ้านส่งไปเรียนประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษครับ แล้วก็มาลงตัวที่อินเดีย ได้ยินตอนแรกก็รู้สึกสำเนียงเค้าเดือดๆ นะ เหมือนพูดปนภาษาอินเดียไปด้วยอะครับ พอเวลาเรียนเด็กแต่ละคนพูดอังกฤษกันปร๋อเลย (ถ้าจุดนั้นผมเรียนมหาลัยอยู่ก็สู้เด็กไม่ได้แน่) แล้วเวลาเรียนก็โหดมาก เค้าสอนเน้นลงเรื่องทักษะ สอนต่อเนื่องและมีหลักการ ไม่ได้เน้นแกรมมาร์ เพราะเค้ามองว่าถึงสอนแกรมมาร์ไปก็ไม่ได้ใช้หรอก”
“พอเราไปปุ๊บ ณ ตอนนั้น รู้สึกเรียนรู้ได้เร็วมาก เพราะไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าไม่พูดก็คือไม่ได้กินข้าว 55555 ลองผิดลองถูก แค่ไม่กี่เดือนก็พูดได้ครับ”
"แล้วถึงจะเรียนที่นู่นปีเดียวกลับ ผมก็โตมากับการชอบฟังเพลงภาษาอังกฤษตลอด ผมเป็นคนชอบฟังเพลงภาษาอังกฤษอยู่แล้ว เราชินว่าประโยคแบบนี้ต้องร้องแบบนี้นะ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษจะไม่จักจี้ แต่ถ้าเป็นไทยอาจจะมีความเด๋อๆ เพราะสระภาษามันต่าง เป็นเหตุผลที่ทำเพลงภาษาอังกฤษ อยากให้ดนตรีพาเราไปหลายๆ ที่ พอบอกคนในวง ทุกคนโอเค ‘เอาดิพี่’ เหมือนเรากำลังพยายามหาที่ที่อยู่ของเรา เพื่อนๆ เค้าพร้อมเรียนรู้ไปด้วยกันถึงภาษาอังกฤษจะไม่ได้แข็งกันมาตั้งแต่ต้น"
แต่่มีช็อตช็อกๆ
เพราะร้องเพลงไทยแล้วร้านไล่ออก
“ผมเคยไปออดิชันที่ร้านในโซนนึง ตอนไปขอเค้าเล่น เค้าบอกผมให้เล่นตามแนวที่ถนัดเลย ผมก็เล่นวงที่ชอบซึ่งเป็นวงภาษาอังกฤษ พอเล่นไปเจ้าของร้านก็ชอบ แล้วโอเคเลย ให้เราเริ่มงาน”
"แต่ดันมีวันนึงลูกค้าโวยวายว่าฟังไม่รู้เรื่อง บอกเราว่า ‘ช่วยเล่นเพลงไทยได้มั้ย?’ ตอนนั้นผมไม่ได้ซ้อมเพลงไทยมาเลย และเป็นแค่มือกีตาร์ที่มาทำวงเล่นร้าน แต่จุดนั้นก็จำเป็นอะครับ ทำอะไรไม่ได้ เล่นเพลงไทยไปปุ๊บวันแรกโดนไล่ออกเลย ช็อกนะ แต่ไม่ได้เสียความมั่นใจจนล้มเลิกสิ่งที่ทำ"
อย่ากลัวการทะเลาะเลย
ถ้าอยากให้ทีมมันเวิร์ก
“ที่ผ่านมาอุปสรรคที่เจอจะมี 2 ส่วน ถ้าเรื่องความยากของงาน ยังไงก็ต้องแก้ได้แค่ต้องใช้เวลาหน่อย หรือถ้าช่วงที่ฮาร์ดคอร์มากๆ อาจมีเหนื่อยมีนอนน้อย แต่นั่นก็อยู่ที่การบริหารเวลาของเราด้วย”
“แต่ถ้าเรื่องทะเลาะกัน หนีไม่พ้นหรอก จริงๆ เถียงกันยิ่งดีเลย แต่เราต้องมานั่งหาตรงกลาง คุยให้เคลียร์กันแต่แรกโดยไม่ใช้อารมณ์ ต้องอธิบายว่างานศิลป์ต้องการความสุนทรีย์ ผลลัพธ์ = ความสุข นอกนั้นคือผลพลอยได้ ไม่ใช่ทำธุรกิจแบบ หุ้นกันป่ะ? มานั่งแบ่งพายเค้กว่าใครได้เท่าไหร่ มันละเอียดอ่อนกว่านั้น”
“บางคนก็ต้องใช้เวลาครับ ไม่ใช่เข้ามาแล้วเป๊ะทันที ระหว่างทางต้องติเพื่อก่อ เดินไปด้วยกันแบบนี้แหละ พอผ่านอะไรมาด้วยกัน ก็เก็บเรื่องพลาดมาเป็นบทเรียน ปรับจูนกันเพื่อพัฒนาตัวเอง พยายามคิดอยู่เสมอว่าธรรมชาติคนเรามันต่างกัน ควรเรียนรู้กันและกันให้มากที่สุด”
(อันที่จริงขนาดเรายังเคยทะเลาะกับตัวเองเลยครับ 55555 สำหรับผมมันต้องคอยเชื่อตลอด ต้องตั้งเป้าหมายว่าอยากให้ออกมาแบบไหน ไม่งั้นจะไม่ตั้งใจทำ แต่ถ้าเกิดเราควบคุมความรู้สึกไม่อยู่ก็เครียดอีก)
คิดว่าเมืองไทย
เปิดกว้างมั้ยกับวงการนี้?
“ผมว่ามันเปิดกว้างมากถ้าเทียบกับประเทศอื่นอย่างในโซน South East Asia นะ เพราะทุกวันนี้เรามีสื่ออยู่ครับ ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้ยังไงมากกว่า ผมเห็นว่าเดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยฟังวิทยุกับทีวี มีแต่เปิดคอมพ์กับมือถือ ซึ่งคนไทยเล่นเฟซบุ๊กกันมหาศาลมาก นั่นแหละโอกาส ผมรอดมาได้เพราะเฟซบุ๊กกับยูทูบ และอาศัยทำให้ชัดเจน ต่อเนื่อง ใส่ใจคุณภาพงาน อาจไม่ได้ดีที่สุดแต่ตั้งใจเต็มที่”
"สุดท้ายนี้ก็อยากฝากผลงานของพวกเรา H 3 F ตอนนี้กำลังทำอัลบั้มที่ 2 แล้ว และจะทยอยปล่อยทีละเพลงเร็วๆ นี้ พร้อม MV ด้วยครับ ^^”
ช่องทางติดตาม H 3 F
Facebook: officialh3f
Youtube: Official H 3 F
Instagram: official.h3f
0 ความคิดเห็น