5 สถานที่ท่องเที่ยวที่ทำให้ ‘ชิลี’ เป็นประเทศในฝันของใครหลายคน!

        สวัสดีค่าน้องๆ Dek-D คิดกันไว้แล้วหรือยังคะว่าปิดเทอมนี้จะไปเที่ยวที่ไหนดี? (หลายๆ คนอาจจะถาม เพิ่งเปิดเทอมมาได้ไม่นาน พี่จะให้คิดเรื่องเที่ยวแล้วหรอ จำไว้นะคะน้องๆ แพลนเที่ยวของเราต้องพร้อมเสมอค่ะ อิอิ) วันนี้พี่ไอซ์จะพาทุกๆ คนไปรู้จัก 5 สถานที่ท่องเที่ยวที่ทำให้ประเทศชิลีเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในฝันของนักท่องเที่ยวมากมาย คนไหนพร้อมไปเที่ยวกับพี่แล้ว ก็ไปกันเลยยย


1.  เมืองบัลปาราอิโซ



Photo Credit: Pixabay

         ที่แห่งแรกนั้นเป็นสถานที่ที่ทำให้บรรดานักท่องเที่ยวรู้สึกถึงบรรยากาศสไตล์โบฮีเมียนและสดใสจากสถาปัตยกรรมที่รายล้อมพวกเขา ที่แห่งนั้นก็คือ ‘เมืองบัลปาราอิโซ’ เมืองซึ่งจะทำให้ทุกๆ คนได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ ในทุกย่างก้าวนั่นเอง 

     สถานที่ที่ห้ามพลาดเมื่อมาที่นี่
   
   1. เนินเขาคอนเซปชั่น (Concepcion Hill)

        นอกจากการสำรวจท่าเรือขนส่งและท่าเรือประมงที่จะทำให้ได้เห็นอาชีพการเดินเรือของชาวชิลีอย่างแท้จริง และอาคารโบราณต่างๆ สมัยที่เมืองบัลปาราอิโซเคยเป็นที่ตั้งของสภานิติบัญญัติและสำนักงานใหญ่ของกองทัพเรือชิลีมาก่อนนั้น สิ่งที่น้องๆ ห้ามพลาดเลยก็คือ การไปยังเนินเขาคอนเซปชั่น เพื่อดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของเมืองในมุมสูงและชื่นชมโบสถ์ลูเทอแรนของลาซานตาครูซซึ่งเป็นไฮไลท์แห่งหนึ่งของที่นี่ (เดินเหนื่อยนิดหน่อยแต่คุ้ม!)
 
   2. ลาเซบาสเตียนา (La Sebastiana)

        สถานที่ต่อมาก็คือ ‘ลาเซบาสเตียนา’ พิพิธภัณฑ์บ้านของนักกวีชื่อดังชาวชิลี ‘ปาโบล เนรูดา’ มีลักษณะเป็นตึก 4 ชั้นที่เต็มไปด้วยของสะสมจากการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกของเขา ซึ่งจะทำให้น้องๆ สัมผัสได้ถึงความทรงจำ ความหลังของกวีเจ้าของรางวัลโนเบลผู้นี้แน่นอนค่ะ (น่าไปมากเลย ><)

   3. จัตุรัสโซโตมายอร์ (Sotomayor Square)

        ปิดท้ายด้วย 'จัตุรัสโซโตมายอร์' อนุเสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับลูกเรือที่เสียชีวิตในยุทธนาวีครั้งสำคัญแห่งเมืองอิกคีเค (Iquique) ต้องบอกว่าที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์สุดฮิตเมื่อใครก็ตามที่มาเยือนเมืองบัลปาราอิโซแล้วต้องแวะ (หานั่งคาเฟ่สวยๆ นั่งกินขนมชมท่าเรือ แค่คิดก็ฟินแล้ววว)


2.  เกาะอีสเตอร์



Photo Credit: Pixabay

          วัฒนธรรมใหม่ๆ รวมทั้งการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นคือ สิ่งที่รอทุกๆ คนอยู่ที่เกาะอีสเตอร์แห่งนี้ (คนพื้นเมืองเขาเรียกที่นี่ว่า Rapa Nui ซึ่งเป็นเกาะที่ชนพื้นเมืองสร้างที่แห่งนี้ขึ้น) น้องๆ จะได้พบกับรูปปั้นโมอายซึ่งเป็นไฮไลท์ของเกาะแห่งนี้ อีกทั้งยังสามารถรียนรู้วัฒนธรรมของชาว Rapa nui ผ่านการพูดคุยเรียนรู้ภาษา เพลง การเต้นและอาหารพื้นเมืองของพวกเขาได้อีกด้วย ถ้าคนไหนที่สนใจประสบการณ์ทางวัฒนธรรมแบบนี้ พี่ก็ขอแนะนำเลยว่าให้มาในช่วง Tapati ซึ่งเป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของเกาะอีสเตอร์ จัดขึ้นทุกเดือนกุมภาพันธ์ บอกเลยว่าทุกๆ คนจะได้สัมผัสประเพณีของชนพื้นเมือง Rapa Nui อย่างแท้จริง!!

     สถานที่ที่ห้ามพลาดเมื่อมาที่นี่

   1. หาดอนาเคนา (Anakena)

        สิ่งที่ทุกคนจะได้พบคือ หาดทรายขาวที่น้องๆ สามารถนั่งชิลล์และเพลิดเพลินไปกับรูปปั้นโมอายที่ตั้งอยู่ข้างหน้า (เป็นวิวที่พลาดไม่ได้เลยล่ะ) หาดแห่งนี้ยังมีเอมปานาดาทูน่าและขนมหวานอย่างโปเอ (พุดดิ้งที่ทำจากฟักทองและแป้ง) ซึ่งเป็นอาหารแถบละตินอเมริกาให้ได้ลองกันอีกด้วย

   2. ภูเขาไฟราโน กาอุ (Rano Kau)

        รู้มั้ยคะ ถ้าทุกๆ คนมาที่แห่งนี้ เราก็จะได้พบกับปล่องไฟที่ใหญ่ที่สุดในเกาะอีสเตอร์!! ย้อนไปเมื่อ 2 ล้านกว่าปีก่อน การระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟแห่งนี้ยังเป็นหนึ่งใน 3 ปัจจัยที่ก่อให้เกิดเกาะนี้ขึ้นมาใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิกอีกด้วย ด้วยความที่ภูเขาไฟแห่งนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 1 กิโลเมตร จึงทำให้ปล่องของมันสามารถกักเก็บน้ำจนก่อเป็นทะเลสาบที่งดงามให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชม


3.  ทะเลทรายอาตากามา (Atacama)



Photo Credit: Pixabay

          สถานที่ถัดมาคือ ทะเลทรายซึ่งถูกจัดว่าเป็นทะเลทรายที่แห้งที่สุดในโลก แต่ว่าที่แห่งนี้มีโอเอซิสที่อุดมสมบูรณ์ช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพเอาไว้จนทำให้เป็นสถานที่ที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลกและน่าสำรวจมากที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว นอกจากนี้ที่นี่ยังมีกิจกรรมให้เหล่านักเดินทางได้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าอย่างการนวด และบ่อน้ำพุร้อน พร้อมทั้งเติมพลังด้วยอาหารพื้นเมืองและอาหารนานาชาติมากมายอีกด้วย

     สถานที่ที่ห้ามพลาดเมื่อมาที่นี่

   1. หุบเขา Moon and Mars

        เมื่อกลางคืนมาเยือน ก็คงไม่มีอะไรจะสวยไปกว่าการดูดาวนับล้านซึ่งส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้าใช่มั้ยล่ะคะน้องๆ หุบเขาแห่งนี้น่ะตอบโจทย์ทุกๆ คนเลยนะคะ> < เพราะว่าพอฟ้ามืดเมื่อไหร่ ที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นสถานที่ดูดาวที่โรแมนติกมากที่สุดที่หนึ่งเลยล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นมาหุบเขานี้เมื่อไหร่ ก็อย่าลืมแวะชมดาวตอนกลางคืนกันที่นี่ด้วยนะคะ 

 
4.  อุทยานแห่งชาติ ตอเรส เดล ปาอิเน่
(Torres del Paine)



Photo Credit: Pixabay

          เพียงแค่น้องๆ มีกระเป๋าแบ็คแพคหนึ่งใบกับรองเท้าผ้าใบอีก 1 คู่ น้องๆ ก็พร้อมสำหรับการผจญภัยในสถานที่แห่งนี้แล้วค่ะ ที่ที่พี่พูดถึงก็คือ ‘อุทยานแห่งชาติ ตอเรส เดล ปาอิเน่’ ยังไงล่ะคะ ที่แห่งนี้น่ะเป็นเขตสงวนทางชีววิทยาที่ถูกยกย่องโดยยูเนสโกเลยนะคะ ทุกๆ คนสามารถเพลิดเพลินไปกับการส่องสัตว์ป่าอย่างสุนัขจิ้งจอกหรือกวางแอนเดียนและธรรมชาติโดยรอบได้มากที่สุดถึง 17 ชั่วโมเลยนะคะ (ในช่วงฤดูร้อนที่นี่จะมีแสงอาทิตย์ยาวนานถึง 17 ชั่วโมงเลยทีเดียว -0-)

     สถานที่ที่ห้ามพลาดเมื่อมาที่นี่

   1. ทะเลสาบเกรย์ (Grey Lake)

   ทะเลสาบนี้ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ ตอเรส เดล ปาอิเน่ เมื่อน้องๆ ได้เห็นที่นี่ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยตะกอนน้ำแข็งและภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ น้องๆ จะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่แห่งนี้ถึงทำให้หลายๆ คนประทับใจกับความสวยงามของมัน นอกจากนี้แล้วนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมที่นี่ยังสามารถพายเรือคายัคหรือเรือแคนูเพื่อชื่นชมความงดงามของทะเลสาบแห่งนี้ได้อีกด้วย

   2. แทร็ก W (W TRAIL)

        ทางเดินแทร็กนี้สามารถพาทุกๆ คนไปยังสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ในอุทยานแห่งชาตินี้ได้ จึงเป็นทางเดินที่ผู้คนส่วนมากมักเลือกเดินกัน ถึงแม้ว่าทางเดินนี้จะมีวิวทิวทัศน์ที่งดงาม แต่ก็มีความลาดชันอย่างมาก ดังนั้นพี่ก็ขอแนะนำให้น้องๆ ฟิตร่างกายให้พร้อมก่อนออกเดินทางนะคะ^^


   5.  ธารน้ำแข็งซานราฟาเอล (San Rafael Glacier)



Photo Credit: Bookmundi

          สถานที่สุดท้ายนี้ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติซานราฟาเอล ลากูน (San Rafael Lagoon National Park) ฟังจากชื่อแล้ว จุดเด่นของที่นี่ก็คงจะหนีไม่พ้นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งหลงเหลืออยู่ชิ้นสุดท้ายของปาตาโกเนีย (ภูมิภาคที่ตั้งอยู่ปลายใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้) ในยุคน้ำแข็ง

          การเดินทางไปสถานที่แห่งนี้อาจจะใช้ระยะเวลานานสักหน่อย แต่พี่รับรองว่าคุ้มค่ากับระยะเวลาที่เสียไปอย่างแน่นอน การเดินทางไปที่นี่สามารถทำได้ 2 วิธี วิธีแรกก็คือการขึ้นเรือขนาดใหญ่ไปยังธารน้ำแข็งก่อนที่จะเปลี่ยนไปยังเรือลำเล็กเพื่อที่จะเห็นธารน้ำแข็งใกล้ๆ ซึ่งเป็นการเดินทางที่คนนิยมใช้กันมากที่สุด กับอีกวิธีคือ การพายเรือคายัค ซึ่งหัวหน้าทัวร์จะพานักท่องเที่ยวพายไปยังมหาสมุทรและมุ่งหน้าไปที่ทะเลสาบซานราฟาเอล นักท่องเที่ยวเหล่านี้ก็จะได้พายเรือผ่านภูเขาน้ำแข็งและสำรวจอุทยานไปพร้อมๆ กัน พี่ว่าวิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ค่อนข้างตื่นเต้นเร้าใจเลยทีเดียว  

*หมายเหตุ: พี่อยากให้ทุกๆ คนหลีกเลี่ยงการมาที่นี่ในช่วงที่ฤดูหนาวเพราะว่าอาจจะมีฝนและหิมะตกหนักมากจนทำให้ไม่สามารถเข้าชมได้


          อ่านบทความนี้จบแล้วเตรียมจองตั๋วเครื่องบินกันเลยหรือเปล่าน้าาา> < หลังจากได้เห็นสถานที่เหล่านี้แล้วพี่ไม่สงสัยเลยว่าทำไมชิลีถึงเป็นประเทศในฝันของบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลาย มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามหลากหลายรูปแบบให้เลือกสรรกันขนาดนี้ ถ้าไม่ไปก็คงไม่ได้แล้วล่ะ งั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พี่กลับไปแพ็คกระเป๋าดีกว่า บ๊ายบายค่าา





Source:
https://chile.travel/en/where-to-go/central-area-santiago-and-valparaiso/valparaiso
https://chile.travel/en/where-to-go/rapa-nui/rapa-nui
https://chile.travel/en/where-to-go/north-and-the-atacama-desert
https://chile.travel/en/where-to-go/patagonia-and-antartica/torres-del-paine
https://www.bookmundi.com/t/san-rafael-glacier-worth-a-visit
พี่ไอซ์

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด