เปิดเส้นทางความฝัน ทันตะฯ ม.มหิดล "พี่มาร์ค ธนัท" พร้อมเทคนิคการเตรียมตัวสอบ กสพท

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ชาว Dek-D ที่น่ารักทุกคน เมื่อพูดถึงความทรงจำในช่วงชีวิตวัยเด็กของเรา สิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับวัยเด็กของเรา ก็คงหนีไม่พ้นกับเพลงในวัยเด็ก หรือศิลปินคนโปรดของเรา เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะรู้จักกับเพลง “แมนๆ ไปเลย” , “เกินหน้าที่” ของศิลปินที่ชื่อ พี่มาร์ค ธนัท กันใช่ไหมคะ แต่จากตอนนั้นถึงตอนนี้ทุกคนก็เริ่มเติบโตไปในเส้นทางของตัวเองกันแล้ว และพี่มาร์ค ปัจจุบันก็เป็นนักศึกษาทันตแพทย์แล้วเช่นกัน แต่กว่าพี่มาร์คจะมาถึงจุดนี้ได้ ต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมายกันเลยทีเดียว

และในวันนี้ก็ถือเป็นวันที่พิเศษไม่แพ้กัน เพราะเราจะพาทุกคนไปพูดคุยกับ "พี่มาร์ค ธนัท"  โดยเราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับพี่มาร์คในเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมา พร้อมทั้งมุมด้านการเรียนที่ละเอียดยิบและ exclusive สุดๆ  เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ถ้าพร้อมแล้ว 1 2 3 ไปกันเลย!!

เปิดเส้นทางความฝัน "พี่มาร์ค ธนัท" กับบทบาทนักศึกษาทันตแพทย์ ในเวอร์ชันที่โตขึ้น
เปิดเส้นทางความฝัน "พี่มาร์ค ธนัท" กับบทบาทนักศึกษาทันตแพทย์ ในเวอร์ชันที่โตขึ้น

เปิดเส้นทางความฝัน "พี่มาร์ค ธนัท" กับบทบาทนักศึกษาทันตแพทย์ ในเวอร์ชันที่โตขึ้น

ตัวตนของมาร์ค ธนัท ในมุมมองของมาร์ค ธนัท

"อยากให้คนรู้จักมาร์ค ในฐานะคนคนหนึ่งมากกว่า ไม่ใช่อดีตศิลปินหรือว่าคนที่สำคัญ" เป็นประโยคที่มาร์คได้บอกกับเราขณะกำลังสัมภาษณ์ พร้อมกับแนะนำตัวให้น้องๆ ชาว Dek-D ของเราฟังว่า "หลายๆ คนก็อาจจะรู้จักมาร์คกันอยู่แล้วนะครับ แต่หลายๆ คนคงจะไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร สวัสดีครับ ผม มาร์ค ธนัท รัตนสิริพันธ์นะครับ ตอนนี้มาร์คก็เรียนอยู่ที่ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ชั้นปี 3 ครับ" และยังทิ้งท้ายกับเราว่า “งานในวงการบันเทิงตอนนี้ไม่ได้ทำเลยครับ เพราะมาโฟกัสกับการเรียนหนังสือมากขึ้นครับ”

จุดเริ่มต้นการเป็นศิลปินในสังกัดค่ายมาจากเวทีประกวด เพราะชอบเสียงดนตรี 

พี่มาร์คเริ่มต้นจากการที่ชอบเล่นดนตรีและชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก โดยมีความฝันในตอนเด็กว่าอยากจะเป็นนักดนตรี เพราะตอนนั้นชอบฟังเพลงมาก ซึ่งสมัยนั้นพี่มาร์คชอบฟังเพลงของ Eric Clapton, Jason Mraz และพี่ตูน บอดี้สแลม มากๆ พอมาเห็นศิลปินต่างประเทศที่เป็นแรงบันดาลใจเลยรู้สึกว่า ได้รับแรงบันดาลใจในการเป็นนักร้องจากพวกเขา

จุดเริ่มต้นของความฝันในวัยเด็กตอนนั้น จึงเริ่มไปประกวดในเวทีหนึ่ง ตอนแรกพี่มาร์คเล่าว่าได้ที่ 2 มา แต่มีคนติดต่อให้ไปประกวดที่รายการ The Trainer ต่อ หลังจากนั้นทีมงานจาก RS มาเห็นจึงได้มีโอกาสไป casting แล้วก็ติด!! ทำให้ชีวิตช่วงประมาณ ม.ต้น ในช่วงตอนเย็นหลังเลิกเรียน ต้องไปฝึกซ้อมที่บริษัททุกวัน ตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ ทำให้พี่มาร์คเองไม่ค่อยมีเวลาเล่นกับเพื่อนเท่าไหร่ บางวันก็เคยร้องไห้ เพราะตอนนั้นรู้สึกเหนื่อย  และรู้สึกว่าไม่ได้ใช้เวลาชีวิตในวัยเด็กแบบเต็มที่เหมือนคนอื่น 

นอกจากนั้นตอนที่ได้เป็นศิลปิน เคยโดนล้อ โดนแกล้ง และโดนหมั่นไส้บ่อยๆ   แต่พี่มาร์คก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็คงต้องทำใจอยู่กับมันให้ได้ แถมบอกอีกว่า “ถึงแม้ความทรงจำในตอนนั้นอาจจะไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ก็สามารถผ่านมาได้จนถึงวันนี้ ถ้าเกิดย้อนกลับไปก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันหนักอะไรแล้วครับ” (ทางเราต้องขอชื่นชมพี่มาร์คจริงๆ นะคะ เข้มแข็งสุดๆ ไปเลย) 

พี่มาร์ค กับ บทบาทนักเรียน
พี่มาร์ค กับ บทบาทนักเรียน 

จุดพลิกผันจากนักร้องมาเป็นนักแสดง

น้องๆ จะเห็นว่านอกจากการเป็นนักร้องแล้ว พี่มาร์คมีโอกาสเป็นนักแสดงด้วย พี่มาร์คได้เล่าถึงการมาเป็นนักแสดงว่า “จริงๆ เราไม่ได้มีความฝันหรือว่าอยากจะเป็นนักแสดงตั้งแต่แรก แต่เหมือนกับตอนนั้นทางกามิกาเซ่เอง มีซีรีส์ให้เราลองไปเล่น เราก็เลยตัดสินใจลองไปเล่นดู และปรากฏว่าจริงๆ เราก็ทำได้ บวกกับการเป็นนักแสดงทำให้เราเป็นใคร ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันก็ทำให้เรารู้สึกว่ามันก็เป็นอะไรที่สนุกดีครับ

พี่มาร์คเล่าต่อถึงเรื่องความเหมือนและต่างของการเป็นนักร้องและนักแสดงว่า “สิ่งที่เหมือนกันทั้งนักร้องและนักแสดง คือ เป็นอาชีพที่ต้องส่งความรู้สึกที่เรารู้สึกตอนนั้นให้คนอื่นรู้สึกตามไปด้วย ส่วนความแตกต่างคือ การเป็นนักร้องทำให้เราได้เป็นตัวเองมากกว่า เพราะการเป็นนักแสดงมันต้องแสดงเป็นตัวตนที่เราได้รับบทบาทมา แต่นักร้องมันคือการแสดงความเป็นตัวเองออกมาผ่านการร้องเพลง เหมือนเราไม่ต้องคิดอะไรมากเท่ากับการเป็นนักแสดง ทำให้เรารู้สึกว่า นักแสดงมีเรื่องให้คิดเยอะมากกว่า ผมเลยชอบการเป็นนักร้องมากกว่าครับ

แต่ว่าพออยู่ไปสักพัก เรารู้สึกว่ามันมีเรื่องที่เครียดมากๆ เหมือนกัน เพราะตอนที่ผมเป็นนักแสดง ผมค่อนข้างประสบปัญหาความเครียด เช่น บางครั้งมันก็ทำให้ผมต้องคอย recheck ความรู้สึกของตัวเองตลอดเวลาว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันคือความรู้สึกจริงๆ ของผมหรือเปล่าอะไรประมาณนี้ครับ แต่ถ้าถามว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีไหม สำหรับผม มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี และทำให้เราโตมากขึ้นครับ”

พี่มาร์ค กับ บทบาทนักศึกษาทันตแพทย์
พี่มาร์ค กับ บทบาทนักศึกษาทันตแพทย์ 

แรงบันดาลใจในการเรียนทันตะฯ มหิดล เกิดจากการเดินผ่านพี่ๆ ในคณะ

พี่มาร์คได้เล่าย้อนไปถึงช่วงเรียนมัธยมตั้งแต่การเลือกแผนการเรียนว่า “จริงๆ ต้องบอกก่อนว่า เป็นคนเรียนไม่เก่งเลยตั้งแต่ ม.ต้น ถึง ม.ปลาย อาจารย์บางท่านจะชอบพูดว่า เป็นดาราแล้วทำไมผลการเรียนไม่ค่อยดีเลย มันเลยกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่ผลักดันให้เราเลือกเรียนสายวิทย์ด้วยครับ 

ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือตอน ม.3 เทอมสุดท้าย มีการสอบวิชาวิทยาศาสตร์ แล้วอยู่ๆ เราก็อยากลองตั้งใจอ่านหนังสือไปสอบสักครั้ง เหมือนว่าอยู่ดีๆ ก็อยากได้ท็อปของห้อง  แล้วตอนนั้นเราก็ทำได้จริงๆ แต่ในความรู้สึกเราตอนนั้น ข้อสอบมันยากเลยนะ มันเลยทำให้เรารู้สึกภูมิใจที่ทำได้ อีกอย่างคือ เราก็ไม่ชอบที่คนอื่นเคยว่า เป็นดาราแล้วไม่มีสมอง (หัวเราะ) แถมจริงๆ ตอนนั้นที่บ้านเลือกสายศิลป์ให้เราไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เราก็เป็นคนบอกเขาเอง ว่าขอลองเรียนสายวิทย์ดูก่อน

สำหรับจุดเริ่มต้นที่ตัดสินใจเรียนคณะทันตแพทยศาสตร์ เกิดจากการที่เราได้เห็นงานที่พี่สาวทำ  ซึ่งพี่สาวเรียนจบคณะทันตแพทยศาสตร์เหมือนกัน รู้สึกว่าชอบงานที่เราต้องประดิษฐ์หรืองานที่มันมีความละเอียด และเราชอบสิ่งที่ได้ลงมือทำจริงกับการใช้สกิลที่เรามีมากๆ และคิดว่าเป็นคณะที่ได้ใช้​ Arts & Sciences ร่วมกันด้วยครับ

และเหตุผลที่อยากเรียนที่คณะทันตแพทยศาสตร์  ม.มหิดล คือ ช่วงที่ปิดเทอมขึ้น ม.6 พี่สาวเราเรียนที่คณะทันตะฯ ม. มหิดล พอพี่สาวไปเรียนที่คณะ เราก็จะไปเรียนพิเศษที่ตึกวรรณสรณ์   ซึ่งทุกครั้งที่คุณพ่อมาส่ง เราก็จะลงรถไปกับพี่สาว เพื่อขึ้น BTS ซึ่งระหว่างทางที่ขึ้น BTS อนุสาวรีย์ เราก็จะเดินสวนรุ่นพี่ทันตะฯ มหิดลที่ใส่ชุดคลินิกบ่อยๆ เราเลยรู้สึกว่ามันคือแรงบันดาลใจที่ดีมาก ทำให้เรารู้สึกว่า สักวันหนึ่งเราจะต้องมาเรียนที่นี่ให้ได้  แล้วพอเราได้มาเรียนจริงๆ ทุกครั้งที่เราเดินขึ้น BTS จะทำให้เรานึกย้อนไปถึงภาพตอนที่เป็นนักเรียนอยู่ และพอได้มองย้อนกลับไปแล้วเหมือนเราเห็นตัวเองที่เดินผ่านในวันนั้น ก็เลยทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจในการเรียนด้วยครับ”

3 เทคนิคสำคัญในการเตรียมตัวสอบเข้าทันตะฯ 

สำหรับการเตรียมตัวสอบเข้าคณะทันตแพทยศาสตร์ ที่ ม.มหิดล มีหลักๆ 4 ข้อคือ 

  1. การอ่านจะไม่ได้อ่านหว่านสลับไปมา จะเน้นอ่านเป็นวิชาไป เพื่อให้ต่อเนื่อง
  2.  เพราะเป็นคนชอบเขียน ก็จะเขียนคล้ายๆ กับการทำสรุปว่าเนื้อหาแต่ละวิชาจะมีอะไรบ้าง เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น
  3. ฝึกทำข้อสอบเก่าบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นวิชาอะไรก็ตาม ต้องจับเวลาระหว่างทำด้วย
  4. อ่านหนังสือกับเพื่อน สัก 2-3 คน จะช่วยให้เครียดน้อยลง

ในส่วนของการเตรียมตัวสอบ กสพท ในแต่ละวิชาของพี่มาร์ค ธนัท คือ "อย่างแรก เราต้องวางแผนก่อนว่าเราจะเทวิชาไหน (จริงๆนะ ให้แม่นทุกวิชาสำหรับเรามันก็คงยากไป) อย่างเราก็จะเลือกเก็บ อังกฤษ เลข ให้แม่นๆ วิชาอื่นก็พอถูๆ ไถๆ มันก็ได้อยู่นะ

  • วิชาภาษาอังกฤษ จะเน้นไปที่การซึมซับภาษามาจากการไปดู content สิ่งที่ชอบเป็นภาษาอังกฤษ และมาจากการฟังเพลงด้วยครับ เพราะผมชอบดูศิลปินเล่นคอนเสิร์ตและฟังเพลงสากล บางอย่างมันก็จะซึมซับมาเอง แล้วก็เราทำข้อสอบเก่าภาษาอังกฤษเยอะมาก ไม่ใช่แค่ 9 วิชาสามัญ แต่ GAT หรือว่าสนามสอบแปลกๆ เราก็เคยหามาทำหมดเลยครับ
  • วิชาภาษาไทย สังคม ส่วนใหญ่จะเป็นการเน้นทำโจทย์ให้ดี ด้วยการฝึกทำข้อสอบเก่า มีเรียนบ้างนิดหน่อยครับ
  • วิชาคณิตศาสตร์ จริงๆ ผมเรียนเก็บไว้ตั้งแต่ ม.4-5 ให้มันครบ เพื่อที่จะทำข้อสอบอย่างเดียวในตอน ม.6
  • วิชาฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ตอนนั้นเราเลือก 2 ใน 3 วิชานี้ที่จะไม่เท เราเลยเลือกที่จะเทชีวะ เพราะเราไม่ชอบวิชาชีวะ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ตั้งใจเลย เราก็ต้องพอทำได้ และทำให้มันไม่ตกด้วยนะครับ ที่สำคัญถ้าเราเทวิชาไหนใน 3 วิชานี้แล้ว อีกสองวิชาก็ต้องห้ามเทนะ
  • วิชาความถนัดทางแพทย์ สำหรับผมเป็นวิชาที่ยากที่สุดแล้ว ตอนนั้นผมก็เลยต้องทำข้อสอบบ่อยๆ ฝึกทำโจทย์เยอะๆ เพื่อทำข้อสอบให้ทันครับ”

คำแนะนำถึงน้องๆ ที่อยากสอบเข้าคณะทันตะฯ

พี่มาร์คได้เล่าถึงคำแนะนำสำหรับน้องๆ ที่สนใจเรียนทันตะฯ ว่า “สำหรับผม คิดว่าจริงๆ มันไม่ต่างกับสอบหมอเลย คือเราเข้าเกณฑ์เดียวกับหมอ เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องมานั่งคิดว่า ทันตะฯ มันจะมีอะไรพิเศษกว่าหมอไหม เราต้องอ่านหนังสือให้เหมือนเพื่อนเลยครับ รวมไปถึงคณะที่เป็นสายสุขภาพด้วย ควรอ่านมันให้เต็มที่ก่อน คะแนนค่อยมาว่ากันทีหลัง และที่สำคัญควรอ่านหนังสือให้แม่นเป็นวิชา วิชาไปดีกว่า ไม่เอาแบบอ่านให้ครบทุกวิชา แต่ไม่แม่นสักวิชา อาจจะเอาวิชาที่เราคิดว่าเราไหวให้เน้นมากๆ ส่วนวิชาอื่นก็เน้นไปในแบบที่เราไม่ตกก็พอ” 

พี่มาร์ค กับ การเรียนคณะทันตแพทยศาสตร์
พี่มาร์ค กับ การเรียนคณะทันตแพทยศาสตร์

บรรยากาศการเรียนทันตะฯ ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ที่แตกต่าง เพราะมีทั้ง online และ on-site 

ตอนปี 1 ได้เรียนรวมกับเพื่อนคณะอื่นเยอะมาก โดยจะต้องไปเรียนที่ศาลายา เราเลยรู้สึกว่าแบบ โอ้โฮ โลกนี้มันกว้างจังเลย มีคนที่ไม่เหมือนเราอีกเยอะ พอเราได้ทำความรู้จักกับเขา แล้วเราก็รู้สึกว่า มันเป็นโอกาสที่ดีมากเลยที่เราได้รู้จักเพื่อน ๆ ต่างคณะ แล้วเพื่อน ๆ ทุกคนก็น่ารัก ส่วนเนื้อหาการเรียนปี 1 ก็มีทั้งความยากง่าย สบายต่างกันออกไปครับ อย่างที่ ม. มหิดล จะมีวิชาแคลคูลัส เคมีอินทรีย์(ออเคม) ซึ่งเป็นวิชาที่ยาก ตอนแรกเราก็เครียดเหมือนกัน แต่ก็ผ่านมาได้แบบงงๆ ครับ

ส่วนตอนปี 2 เราได้เข้าคณะจริงๆ รู้สึกว่ามันหนักมากครับ เพราะเรียนตั้งแต่ 8 โมงเช้าเลิกเย็นๆ ทุกวัน แถมมีทำแล็บด้วย และบางเนื้อหาผมก็ไม่เข้าใจเลย แต่พอเรียนไปสักพัก เราก็รู้สึกว่า บางอย่างก็ต้องปล่อยวางนะ บางอย่างไม่สามารถจำได้ทั้งหมด พอปล่อยวางได้เยอะขึ้น ก็จะรู้สึกมีความสุขมากขึ้นครับ”

ช่วงเรียนออนไลน์ ตอนแรกพี่มาร์คเล่าว่า รู้สึกดีมาก เพราะไม่ต้องตื่นไปเรียนที่คณะและเดินทางไปเรียน แต่ในตอนนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ยากมากกับการเรียนออนไลน์ พี่มาร์คเล่าเพิ่มเติมว่า “การเรียนออนไลน์เป็นสิ่งที่เราเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องเลย เพราะเนื้อหาบางอย่าง เหมาะกับการลงมือทำจริงมากกว่า เช่น วิชาฟันปลอม เราเรียนไม่รู้เรื่องเลย TT และอีกอย่างการทำแล็บไม่สามารถทำออนไลน์ได้ มันจำเป็นต้อง on-site จริงๆ ผมเลยรู้สึกว่า ต่อให้ระบบเรียนออนไลน์จะพัฒนาดีแค่ไหน นักศึกษาก็อาจจะเรียนไม่รู้เรื่องอยู่ดี ทำให้ขาดปฏิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับนักศึกษาอีกด้วย แถมยังทำให้นักศึกษามีความเครียดเพราะเราแทบจะไม่ได้ออกไปเจอใครเลย เรียนคนเดียวในห้องเหงาๆ อย่างเดียวเลยครับ”

บรรยากาศการลงมือทำจริง ของ พี่มาร์ค
บรรยากาศการลงมือทำจริง ของ พี่มาร์ค

ความท้าทายและความประทับใจของมาร์ค ธนัท กับการเรียนทันตะฯ

ในเรื่องของความท้าทายจากการเรียนทันตะฯ สำหรับพี่มาร์ค คือ การที่บางครั้งต้องทำแล็บกับการเตรียมตัวสอบพร้อมกัน ซึ่งพี่มาร์คเล่าว่า “มันจะมีบ่อยครั้งที่วันนี้ต้องส่งแล็บ และพรุ่งนี้ต้องสอบ ทำให้ต้องบริหารเวลาว่า จะเอาเวลาที่เหลืออยู่ไม่กี่ชั่วโมงที่จะต้องตื่นเช้าไปสอบ จะอ่านหนังสือหรือทำแล็บดี” แต่พี่มาร์คก็บอกว่าสนุกดีนะคะน้องๆ ดังนั้น น้องๆ อาจจะไม่ต้องกังวลกันไปนะคะ ><

ส่วนความชอบและความประทับใจของพี่มาร์คในการเรียนทันตะฯ คือ การได้ลงมือทำแล็บจริงๆ ในวิชาเรียน ซึ่งพี่มาร์คเอง ชื่นชอบการได้ลงมือจริงมาก และรู้สึกว่าการได้ใช้สกิลทำให้เกิดความสนุก เพราะเวลาได้ทำแล็บ มันเหมือนกับการที่ได้มีผลงานที่ตัวเองทำออกมาให้เห็นเป็นรูปเป็นร่าง ไม่ใช่เพียงแค่การอ่านหนังสือ ซึ่งมันคล้ายๆ กับการได้เรียนวิชาศิลปะ ที่จะเป็นวิชาหนึ่งที่ทำให้ผ่อนคลายนั่นเอง

บรรยากาศการลงมือทำจริง ของ พี่มาร์ค (2)
บรรยากาศการลงมือทำจริง ของ พี่มาร์ค (2)

สิ่งที่พี่มาร์ค ธนัท อยากฝากถึงน้องๆ ชาว Dek-D

พี่มาร์คทิ้งท้ายถึงน้องๆ ชาว Dek-D ว่า "คือเราก็รู้อยู่แล้วว่าน้องๆ ทุกคนมีความกดดัน และถ้าบอกไม่ให้กดดันจริงๆ มันก็เป็นไปไม่ได้ เราจึงอยากบอกกับน้องๆ ว่า พยายามทำให้ความกดดันที่เรามีอยู่ มันเป็นเรื่องที่ดี ถ้าเรารู้สึกกดดัน งั้นเราต้องอ่านหนังสือ ต้องมีเป้าหมายในแต่ละวันจริงๆ ว่าเราต้องทำอะไรบ้าง บางทีมันจะ force เราเพื่อให้เรา active มากขึ้น เต็มที่กับการสอบ คิดว่ามันคือการสอบครั้งเดียวของเราแล้วกัน เพราะเราคงไม่อยากจะมาสอบหลายๆ รอบ และช่วง ม.6 เป็นช่วงที่หนักที่สุดและเครียดที่สุดแล้ว ก็ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนประสบความสำเร็จกับความฝันของตัวเองครับ"  

พี่มาร์คแอบเสริมว่า จริงๆ ตอนนั้นเคยตั้งวอลล์เปเปอร์ของโทรศัพท์ว่า "ถ้าเหนื่อยกินข้าวมันก็หาย แต่ว่าสอบไม่ติดมันกินอะไรก็ไม่หายนะ" เป็นกำลังใจให้ตัวเองช่วงเตรียมตัวสอบอีกด้วย!! ถ้าน้องๆ คนไหนยังไม่มี คำพูดคมๆ ส่วนตัว เอาประโยคนี้ไปใช้กันได้นะคะ

 

พี่มาร์คก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เผชิญกับเรื่องราวต่างๆ มากมายในชีวิต ทำให้ได้เรียนรู้และเติบโตมาเป็นมาร์ค ธนัทอย่างทุกวันนี้ เรียกได้ว่าเก่งไม่เบาเลยค่ะ เพราะการพลิกผันจากศิลปินหรือนักแสดง มาเป็นนักศึกษาทันตแพทย์อย่างในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ดังนั้นถ้าตอนนี้น้องๆ คนไหนที่กำลังหมดกำลังใจ  หรือรู้สึกท้อกับการเตรียมตัวสอบ พี่นุกนิกเชื่อว่า เรื่องราวของพี่มาร์ค ธนัท อาจเป็นอีกหนึ่งกำลังใจดีๆ ให้น้องๆ อีกหลายคนแน่นอน เราอาจจะมีวันที่แย่ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีวันที่ดีกันนะคะ ><

 

ในวันนี้น้องๆ หลายคนคงได้กำลังใจดีๆ หรือเทคนิคส่วนตัวจากพี่มาร์ค ธนัทไปกันแล้ว นะคะ และพี่นุกนิกเองก็ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนในการเตรียมสอบเข้าคณะและมหาวิทยาลัยในฝันกันนะคะ ขอให้น้องๆ ทุกคนประสบความสำเร็จและขอให้ได้ทำในสิ่งที่รักกันนะคะ ><

 

พี่นุกนิก
พี่นุกนิก - Columnist คอลัมนิสต์

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น