ไม่อยากเข้าสายวิทย์แต่พ่อแม่บังคับ เราควรทำไงดีคะ
ตั้งกระทู้ใหม่
พ่อแม่เราบังคับว่าต้องเรียนสายนี้เท่านั้น บอกว่าเรียนสายอื่นจบไปไม่มีงานทำ สายวิทย์มันเข้าได้หลายคณะ รู้ว่าท่านหวังดี แต่เราไม่อยากเรียนค่ะ เราอยากเข้าศิลป์ภาษาเพราะชอบภาษาญี่ปุ่น แต่คะแนนวิทย์คณิต ม.ต้น เราไม่แย่นะ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ ไม่ได้อยากเรียน ไม่รู้ทำไมต้องทนเรียนสิ่งที่ไม่ชอบด้วย ทีพ่อแม่เพื่อนเราเขายังไม่บังคับเลย คือมันเลือกได้ครั้งเดียวแล้วเรียนตลอด 3 ปี เราเป็นคนเรียนก็ควรได้เลือกแผนเองมั้ย นานๆทีจะได้เรียนสิ่งที่ชอบบ้าง ตอนเข้ามหา'ลัย พ่อแม่ก็คงจะเลือกคณะเตรียมรอไว้ให้แล้วมั้ง เห้อ
6 ความคิดเห็น
หาข้อมูลเยอะๆไปโต้แย้งว่ามีงานทำอะไรได้บ้าง ร่ำรวยอย่างไง แล้วตอนสมัครก็สมัครที่อยากไปเลย เพราะสมัครไปแล้วยกเลิกไม่ได้
ผมลองแล้วเขาก็เอาเหตุผลนู่นนี่นั่นมาอ้างตอนนี้ผมทำใจละ
ถ้าชอบภาษาญี่ปุ่นจริงๆ ลองหาทุนญี่ปุ่น หรือหาความก้าวหน้าของบริษัทญี่ปุ่นที่ลงทุนในไทยให้ทางผู้ปกครองดูค่ะ ลองหาในอินเตอร์เน็ตดูนะ มีรุ่นน้องคนหนึ่งไปเรียนศิลป์จีน ได้ทุนไปเรียนต่อมหาลัยที่จีนเลยหลังเรียนจบม.6
ถามว่าสายวิทย์-คณิต มีทางเลือกเยอะกว่าจริงไหม
คำตอบก็คือ จริง แต่ไม่ทั้งหมด
เพราะส่วนตัวเราเองจบบริหารธุรกิจ
แต่ไม่ได้เรียนวิทย์-คณิต สอบ pat 1 ได้แค่ 55/300 คะแนน
ตอนนั้นความหวังจะเข้าคณะบริหารคือริบหรี่มากซะจนคิดว่าจะตัดใจแล้ว คงก้มหน้าก้มตาเรียนคณะที่พอจะสอบเข้าได้ ในเกรดเฉลี่ย 2.61
แต่มันไม่ได้หมดหวังขนาดนั้น เราสอบเข้าวิทยาลัยอาชีวะ
เรียน 2 ปี จบปวส. ต่อปริญญาตรีอีก 2 ปี ก็เรียนจบพร้อมเพื่อนที่เรียนระบบมหาลัย4ปี
สิ่งสำคัญคือการเลือกเรียนอะไรมันจะต้องอยู่ในพื้นฐานความสุขมากกกก ที่เรามีด้วยนะ
เราเองก็กว่าจะเจอก็ทนเรียนในสิ่งที่เลือกผิดพลาดมาตลอด 6 ปี ถ้าถามว่าทำไมต้องอยู่บนพื้นฐานของความสุขมากละก็
เราเรียนจบเกรดเฉลี่ย 3.51 ในระดับปวส. และ 3.48 ในระดับปริญญาตรี ถ้าเราเจอแล้วเรารักเราจะพยายามในการสร้างความก้าวหน้าให้กับเส้นทางของเราเอง
มันยังมีทางเลือกอีกหลากหลาย ความก้าวหน้านั้น เราจะมองเห็นก็ต่อเมื่อเราเลือกเดินทางสายนั้นจริงๆ
เราไม่อยากให้เด็กอีกหลายคนต้องถูกระบบทำร้ายแบบเรา
ขอให้ได้ทางออกที่ดีนะคะ เป็นกำลังใจให้
พี่เคยเป็นแบบน้องเลย เรียนวิทย์คณิตได้ดีนะ เคยไปสอบเตรียมแบบไม่ได้อนส.เยอะ ได้อันดับราว1500 แต่รู้สึกว่าเรียนวิทย์แล้วมันฝืนกว่า ใจอยากเข้าสายศิลป์ภาษา+อักษรฬ ตอนนั้นทะเลาะหนักมาก สุดท้ายต้านไม่ได้ เลยตกลงว่าจะยอมเข้าสายวิทย์ให้ก็ได้ แต่ตอนมหาลัยจะขอเลือกคณะเองเท่านั้น แล้วก็เขียนใส่กระดาษให้พ่อแม่เซ็นเลย(ถ้าไม่มีหลักฐาน อีก3ปีเขาก็จะทำเป็นลืม เหมือนสัญญาแล้วไม่ทำตาม ของพี่ก็เกือบ) แบบน้องดูแล้ว ถ้าตอนนี้ทำให้พ่อแม่ยอมไม่ได้และไม่ตกลงอะไรกับเขา มหาลัยน้องโดนบังคับอีก 100% แน่นอนค่ะ
แต่ส่วนตัวพี่ พอจะขึ้นมหาลัยสุดท้ายพี่ก็เปลี่ยนใจมาเข้าคณะสายวิทย์นะ ไม่รู้ว่าอิทธิพลเพื่อนในห้องด้วยไหมแต่อยากเข้าด้วยตัวเองจริงๆ แต่ก็ไม่โดนบังคับคณะ(จริงๆพ่อแม่จะบังคับเข้าหมอ พี่คะแนนถึงแต่ไม่เอา) แต่ในคณะก็มีอย่างอื่นที่พี่ชอบอยู่บ้าง เลยคิดว่าบางทีตอนนั้นอาจจะโชคดีที่พี่เข้าสายวิทย์ไม่งั้นคงสอบไม่ได้ แต่เคสน้องพี่ก็อยากเชียร์ให้ทำดีที่สุดนะ ถ้าไม่ได้จริงๆก็ค่อยสู้กันต่ออีกทีม.ปลาย อาจจะเรียนด้วยตัวเอง เพื่อนพี่หลายคนก็เจอเหมือนกัน เพื่อนก็ไม่แคร์ เรียนเกาหลีญี่ปุ่นเอาเองตั้งแต่ม.4 ไปสอบ pat7 คะแนนดีเลย สุดท้ายก็ได้เรียนอักษรฬสมใจ
เพิ่มเติมคือ ส่วนหนึ่งที่ผู้ใหญ่ไม่ให้ เพราะเขาคิดว่าที่เราอยากเข้าศิลป์ภาษา/คณะสายนี้มันเป็นแค่ความคิดชั่ววูบ อาจจะอยากเข้าตามใคร ไปได้แรงบันดาลใจอะไรมาอย่างนั้น น้องต้องวางแผนให้เขาเห็นอ่ะว่าเราชอบจริงนะ เรามีการวางแผนอนาคตว่าถ้าไปสายนี้แล้วจะทำแบบนั้นแบบนี้ ตอนม.ปลายก็อาจจะไปสอบวัดระดับ ประกวดด้านภาษา ให้เขาเห็นว่าถ้าเราเรียนสายนี้จริงเราเก่งพอที่จะไปสู้กับคนจบสายนี้คนอื่นๆแล้วหางานดีๆให้ตัวเองได้ เพราะผู้ใหญ่จะมองว่ามันตกงานได้ง่าย แต่สุดท้ายก็ทำเท่าที่เราทำได้นะ ไม่อยากให้เครียดมาก ส่วนตัวที่ไม่ได้อ่อนวิทย์มากตอนม.ต้นอย่างพี่รู้สึกว่าเราพอเรียนๆม.ปลายให้ผ่านไปได้อยู่ ถ้ามหาลัยถึงซีเรียสมากจริงๆกับการเลือก
งั้นตั้งเงื่อนไขกับพ่อแม่ดีไหมคะ ถ้าจะให้เรียนสายวิทย์ ก็ขอเรียนพิเศษภาษาญี่ปุ่นไปด้วย วิชาภาษาที่3ตอนม.ปลายก็เลือกภาษาญี่ปุ่น น่าจะมีวิชาภาษาที่3กันทุกโรงเรียนใช่ไหมคะ เรียนแล้วพากันไปสอบ N1 N2 N3
อยากจะบอกว่า ถ้าคุณอยากใช้ชีวิตชิวๆมีเวลาว่างเรียนภาษาญี่ปุ่น แต่อยากได้เกรดดีๆคุณต้องตั้งใจเรียนในคาบนะคะ แบบว่าโฟกัสและเข้าใจเนื้อหาที่เรียนหน่ะค่ะ เพราะเนื้อหาวิทย์คณิตม.ปลายมันเข้มข้นจริงๆ ไม่งั้นถ้าเรียนไม่รู้เรื่องแล้วต้องไปหาที่เรียนพิเศษวิทย์คณิตต่ออีก และตอนม.4คือช่วงที่ควรตั้งใจที่สุดนะคะ เพราะมันคือพื้นฐานของ ม.5-6 ถ้าไม่ได้ตอนม.4แล้วไปต่อเนื้อหาในม.5-6เนี่ย โคตรจะฝืนเลยค่ะ
สรุปแล้ว ส่วนตัวคิดว่าภาษาญี่ปุ่นเนี่ย เราสามารถเรียนได้เองนะคะ ซื้อหนังสือจากร้านมาเขียนเอง ฟังเสียงจากเว็บไซต์ แถมเรายังสามารถเรียนไปพร้อมๆกับเพื่อนศิลป์ภาษาในวิชาภาษาที่3ด้วย สมัครสอบวัดระดับได้ แต่ถ้าตัวเองรู้แล้วว่าจะไปอาชีพที่มันเป็นภาษาแน่ๆ จะเข้าคณะที่ยังไงก็ไม่ใช้คณิตฟิสิกส์เคมีชีวะแน่ๆ ไปศิลป์ภาษาเลยค่ะ แต่ย้ำว่าแน่ๆนะคะ แต่ถ้าไม่เอาวิทย์แต่ยังเอาคณิตก็ไปศิลป์คำนวน (แต่ความเห็นส่วนตัวเจ้าของเม้นเชียร์วิทย์-คณิตค่ะ)
***ไม่รู้โรงเรียนอื่นมีไหม แต่โรงเรียนเจ้าของเม้น ถ้าไม่โอเคกับสายวิทย์ก็สามารถเทียบโอนเกรดจากสายวิทย์ไปสายศิลป์ในตอนกลางเทอมม.4ได้นะคะ แต่โอนศิลป์ไปวิทย์ไม่ได้ เพราะจะเรียนหมวดวิชาวิทย์ตามเพื่อนไม่ทัน
เราก็โดนค่ะ เรียนสายวิทย์ แต่พอเข้ามหาลัยก้สอบเข้าคณะสายศิลป์อยู่ดี
ตอนเรียนก่อนเข้าม.ปลาย ก็คิดว่าไหวอยู่แหละ วิทย์คณิต เกรดก็ดี แต่พอเข้ามาเรียนจริงๆ แล้ว ไม่ชอบเลย ฟิสิกส์ฉุดเกรดมาก พอจะขอย้ายสายไปเรียนสายศิลป์แม่ก็ไม่ให้ ทนเรียนยันจบม.6 โดยที่เกรดฟิสิกส์ฉุดขามาก พอเข้ามหาลัยได้แล้วมองย้อนกลับไป ก็ได้แต่คิดว่าไปทนทรมานเรียนสายวิทย์ทำไมตั้งนาน ในเมื่ออยากเข้าคณะสายศิลป์อยู่แล้ว
เพราะงั้น ทางแก้ตรงๆ เลย คือควรหาข้อมูลค่ะว่าเราชอบอะไร อย่างน้องชอบภาษาญี่ปุ่นใช่มั้ย มันใช้ทำงานอะไรได้บ้างในอนาคต ตลาดแรงงานเป็นยังไง ความต้องการมีมั้ย ค่าตอบแทนสูงมั้ย แล้วคณะไหนที่ไหนรับบ้าง ต้องใช้คะแนนอะไรยังไง หลายที่เลยถ้าไม่จบสายศิลป์ภาษามาโดยตรงจะสมัครไม่ได้
ใช่ เรียนวิทย์คณิตอาจจะมีทางเลิอกเยอะกว่า แต่มันก็คือการทรมานตัวเองอย่างนึงถ้าเราไม่ชอบ แถมจริงๆ แล้วอาจจะตัดโอกาสเราด้วยซ้ำถ้าเราตั้งใจจะไม่เข้าคณะสายวิทย์อยู่แล้ว
การเลือกสายตอนเรียนม.ปลายมันส่งผลกับการเลือกคณะเข้ามหาลัยและส่งผลยาวยันอาชีพการงานในอนาคตเลย ถ้าเรามีคำตอบให้ตัวเองอยู่แล้วว่าอยากทำอะไร เราควรเลือกเส้นทางแบบไหน ศึกษาดีๆ แล้วเอาข้อมูลไปให้พ่อแม่ดูว่าเราไม่ได้ตัดสินใจลอยๆ เราผ่านการหาข้อมูลมาแล้ว ให้เค้าได้เข้าใจว่าทำไมเราเลือกเรียนสายนี้ค่ะ
เอาจริงๆ นี่ก็ไปเรียนพิเศษภาษาญี่ปุ่นเหมือนกัน เพราะใจจริงก็อยากเข้าคณะเกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่น แต่ผลคือเรียนหนักมาก งานที่โรงเรียนก็เยอะอยู่แล้ว สายวิทย์คณิตก็คือเรียนวิทย์ 3-4 ตัวทุกเทอม สมองรับไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็เลยกลายเป็นเรียนไม่ไหว หยุดเรียนไป (มีทำกิจกรรมเยอะเพื่อเก็บพอร์ทด้วยแหละ เลยไม่ไหว)
นอกจากนี้ เรื่องเรียนพิเศษภาษาเพิ่มมันก็ดี แต่เอาตรงๆ มันก็คือภาระ ทั้งเรื่องการเงินที่ต้องเสียเพิ่ม และภาระสมองเราเอง ต้องเรียนภาษาเพิ่ม แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาเกรดที่เรียนสายวิทย์ไว้ กลายเป็นเพิ่มงานเพิ่มความเหนื่อยให้ตัวเอง สรุปแล้วเราจะทรมานตัวเองไปเพื่ออะไร ถามแค่นี้แหละค่ะ
เพื่อนเราทำแบบนี้ค่ะ เพื่อนเรียนสายวิทย์อยู่ 3 ปี แบบไม่น่าเกลียด หลังจากนั้นลงสอบแข่งกับสายศิลป์ภาษา ภาษานางไม่ดีแต่นางรัก แล้วเอาวิชาของสายวิทย์ไปสู้กับสายศิลป์ (เมิงบ้ามากค่ะเพื่อน) จนได้ที่อยากเรียน ปัจจุบันนางมีชีวิตกับการใช้ภาษาต่างประเทศและเพื่อนต่างชาติ และเป็นเมเนเจอร์ เงินเดือนเยอะกว่าเราที่ทำงานตรงกับการเรียนสายวิทย์ค่ะ
ที่ว่าเอาวิชาสายวิทย์ไปสู้กับสายศิบป์ตอนสอบเข้านี่ หมายถึงพวกสอบแบบเกณฑ์พื้นฐานวิทย์กับพื้นฐานศิลป์หรือเปล่าคะ ถ้าแบบนั้นมันรับแยกกันนะ คือพวกใช้คณิตยื่นคณะภาษา ก็แข่งกับคนเอาคณิตยื่นด้วยกัน แต่ก็นั่นแหละจำนวนรับพื้นฐานวิทย์จะน้อยกว่าศิลป์เยอะมากก ถ้าคะแนนคณิตแย่ คะแนนภาษาไม่ดีพอ ก็ไม่ติดอีก
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?