Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิวสอบ IELTS ครั้งแรก Band 7.5 ตั้งแต่การเตรียมตัวเองจนถึงวันสอบจริง

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาเขียนเกี่ยวกับเรื่องเตรียมตัวสอบ IELTS (Academic) ด้วยตัวเอง รวมไปถึงวันสอบจริงแบบละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ เพราะบนเอาไว้ว่าถ้าสอบได้ Overall 7+ จะมาตั้งกระทู้รีวิวแบบละเอียดยิบ 55555 ตั้งใจว่าจะเขียนถึงการเตรียมตัว ข้อมูลแต่ละพาร์ทรวมไปถึงเทคนิคแต่ละพาร์ทที่ได้มาจากการลองถูกลองผิดของเราเอง จนถึงวันสอบจริงและได้คะแนนเลยค่ะ   กระทู้นี้ยาวแน่นอน แต่รับรองครบค่ะ


คะแนนแต่ละพาร์ท
Listening - 9
Reading - 8.5
Writing - 6
Speaking - 6

Overall - 7.5


Personal Background

เกริ่นก่อนถึงพื้นฐานเรา เราเรียนมัธยมรร.รัฐบาลหลักสูตรเสริมภาษาอังกฤษมา 6 ปี (ไม่ใช่ EP) แล้วก็จบตรีหลักสูตรภาษาไทยค่ะ แต่มีเรียนกับอาจารย์ต่างชาติ 1-2 ตัวในทุกปี และ text ในการเรียบนหนังสือส่วนใหญ่ก็เป็นภาษาอังกฤษ หลังจบไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลยมาประมาณเกือบๆ 1 ปี ล่าสุดเตรียมตัวไปสอบ TOEIC มาเมื่อธันวา 2021 ได้ 910 และการเตรียมสอบครั้งนี้ เราใช้เวลาประมาณเกือบ 2 เดือนค่ะ เราไม่ได้ทำงานเลยไม่ต้องแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่น สามารถทุ่มกับการสอบได้อย่างเดียว แต่บางวันก็มีอู้บ้างค่ะ 5555 รวมถึงเราไม่ได้เรียนกับติวเตอร์หรือสถาบันที่ไหนเลย เป็นการเตรียมตัวเองจากการถามเพื่อนที่สอบไปแล้วกับหาอ่านประสบการณ์คนอื่นหมด โดยกำหนดเป้าหมายไว้ว่าจะสอบครั้งแรกและครั้งเดียวให้ได้ Overall Band 7 เป็นอย่างต่ำค่ะ (ไม่ได้คิดถึงขั้นต่ำแต่ละ Band) 

Test Format

ข้อสอบ IELTS เป็นข้อสอบที่ออกโดย Cambridge มีทั้งหมด 4 พาร์ทประกอบด้วย Listening, Reading, Writing และ Speaking เวลาสอบทั้งหมดประมาณ 3 ชั่วโมง โดยแต่ละพาร์ทจะมีคะแนนโดยคิดเป็น Band โดยแบนด์ที่มากที่สุดคือ Band 9 ส่วน Overall Band คือการนำคะแนนแต่ละพาร์ทมาหาร 4 หรือหาค่าเฉลี่ยนั่นเองค่ะ 

- Listening : มีทั้งหมด 4 พาร์ท พาร์ทละ 10 ข้อ เวลาประมาณ 30-40 นาที โดยแต่ละพาร์ทจะมีลักษณะแตกต่างกันค่ะ
---- Part 1 เป็นบนสนทนาของสองคน ถามตอบกันในเรื่องของการจะทำธุรกรรมอะไรบางอย่างค่ะ เช่น จองตั๋ว จองทริป สมัครงาน 
---- Part 2 เป็น monologue หรือมีผู้พูดแค่คนเดียวค่ะ เนื้อหาจะเป็นเรื่องทั่วไป เช่น แนะนำสถานที่ทัวร์ เล่าประวัติโครงการ
---- Part 3 เป็นบทสนทนาคน 2-3 คน เนื้อหาจะเป็นแนววิชาการค่ะ เช่น คุยกันเรื่องโปรเจ็กต์วิทยาศาสตร์ รีเสิร์ชมหาลัยกับที่ปรึกษา
---- Part 4 เป็น monologue เช่นกัน แต่เนื้อหาวิชาการ เช่นพวก lecture ค่ะ

ซึ่งลักษณะคำถามในพาร์ท listening จะมีตั้งแต่ เติมคำลงในช่องว่าง, ช้อยส์ ABCD, จับคู่, เติมคำลงในแผนภาพ เติมคำลงในสรุป เป็นต้น

- Reading : มีทั้งหมด 3 บทความให้อ่าน บทความนึงมีคำถาม 13 ข้อ (บทความสุดท้าย 14 ข้อ) ให้เวลา 1 ชั่วโมง เห็นเค้าว่ากันว่าเรียงลำดับบทความจากง่ายไปยากค่ะ แต่ส่วนตัวเรา เราว่าก็พอๆ กันหมด 555555 ไม่ได้ต่างชัดเจนอะไร โดยลักษณะคำถามก็จะเป็นพวก เลือก title เรื่องหรือพารากราฟ, True/False/Not Given, เติมคำลงในช่องว่าง, ช้อยส์, เลือกพารากราฟที่มีเนื้อหาตามที่กำหนด, จับคู่เติมคำลงช่องว่างสรุปเนื้อหา เป็นต้น

- Writing : มี 2 Task ให้เวลา 1 ชั่วโมง
---- Task 1 จะมีรูปภาพให้โดยเป็นอธิบายกราฟ, diagram หรือแผนที่ ให้อธิบายให้ถูกต้องหรือเปรียบเทียบ(ถ้าจำเป็น) ขั้นต่ำ 150 ตัวอักษร
---- Task 2 เขียน discursive essay หรือเขียนเพื่อ discussion โดยโจทย์จะกำหนดความคิดเห็น หรือประเด็นมาให้ เราต้องตอบตามที่โจทย์ถามค่ะ เช่นให้เราเขียนว่าเห็นด้วยหรือไม่, เปรียบเทียบทั้งข้อดีและข้อเสีย, ข้อดีเอาชนะข้อเสียได้หรือไม่, สาเหตุและวิธีแก้ปัญหา เป็นต้นค่ะ ขั้นต่ำ 250 ตัวอักษร

- Speaking : มี 3 พาร์ท  ประมาณ 11-14 นาที
---- Part 1 คำถามถามตอบเรื่องทั่วไปที่เกี่ยวกับเรา ประสบการณ์ส่วนตัวของเรา
---- Part 2 กำหนดหัวข้อมาให้ ให้เราพูดคนเดียวทั้งหมด 1.30-2 นาที โดยคนคุมสอบจะไม่พูดด้วยเลย 
---- Part 3 เป็นคำถามที่เกี่ยวกับ Part 2 โดยมีลักษณะที่มีความกว้างกว่า ไม่ได้เจาะจงเกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัวของเรา จะมีความ abstract ในพาร์ทนี้สูงค่ะ

Preparation, Techniques & Resources

ขั้นตอนแรกอันนี้เพื่อนเราบอกมาว่าถ้าไม่รู้จักกับข้อสอบ IELTS มาก่อนควรจะเริ่มต้นจากหนังสือ The Official Cambridge Guide to IELTS Student's Book with answers ค่ะ  เป็นหนังสือที่มีรายละเอียดการสอบ IELTS ทั้งหมด ลักษณะคำถาม และแบบฝึกหัดของแต่ละพาร์ท เพื่อให้เราเห็นแนวว่าข้อสอบจริงๆ จะมีคำถามประมาณไหน และต้องมี skills อะไรบ้างที่จำเป็นในแต่ละพาร์ทค่ะ โดยเล่มนี้จะมีข้อสอบให้ฝึกมือทั้งหมด 8 ชุด ถ้าผ่านเล่มนี้จะทำให้พอคุ้นเคยกับแต่ละพาร์ทในข้อสอบมากขึ้นค่ะ แต่ส่วนตัวเราว่าเล่มเดียวไม่พอ ต้องฝึกแต่ละสกิลที่จำเป็นต่อแต่ละพาร์ทเพิ่มอีกค่ะ

Listening : พาร์ทนี้เป็นพาร์ทที่เราได้คะแนนเยอะที่สุด และเราตั้งใจเก็บพาร์ทนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งที่ช่วยได้คือการพยายามให้หูชินกับภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุดค่ะ สองเดือนก่อนสอบเราไม่ดูหนังหรือละครที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษเลย โดยส่วนใหญ่ในนี้จะเป็นสำเนียงบริทิช หรือสำเนียงอังกฤษ เราเองไม่ค่อยคุ้นสำเนียงบริทิชเท่าไหร่เลยต้องพยายามหาสื่อหรืออะไรที่เป็นสำเนียงบริทิชดูค่ะ ที่เราแนะนำมากๆ คือ Podcast ของ BBC เราฟังใน Spotify แต่เราไม่ค่อยชอบท็อปปิคใน BBC News เราเลยฟัง Business Daily ของ BBC Service ค่ะ ส่วนตัวเราว่าเนื้อหาหลากหลายน่าสนใจไม่น่าเบื่อ ความยากของศัพท์อยู่ในระดับเดียวกับข้อสอบ และความยาวแต่ละคลิปไม่นานมาก จริงๆ ฟังได้หมดเลยค่ะถ้าฟังก็จะยิ่งชินยิ่งดี อีกทางคือดู Netflix แต่เปิดซับภาษาอังกฤษเท่านั้น ถ้าเปิดอย่างน้อยเราก็จะได้รู้จัก คำ สำนวนใหม่ๆ เพิ่มมาด้วย จริงๆ จะดูสำเนียงอเมริกันหรือบริทิชก็มีประโยชน์หมด แต่บังเอิญในข้อสอบจะเป็นบริทิชซะเยอะ แล้วเราเองไม่ค่อยชินบริทิชค่ะ เลยฝึกฟังบ่อยกว่า ฟังวันละนิดต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ มันจะช่วยได้ระดับนึงเลยค่ะ


เทคนิคพาร์ท Listening : สิ่งที่ควรรู้ไว้เลยคือลำดับคำตอบจะมาตามลำดับข้อค่ะ หมายถึงเราสามารถฟังแล้วตอบไล่ข้อไปได้เลย ไม่ใช่ว่าฟังแล้วจะฟังเจอคำตอบของข้อ 4 ก่อนเจอคำตอบของข้อ 1 เป็นต้น ข้อสอบจะมีหลอกบ้างค่ะ โดยเฉพาะพวก Part 2,3 ถ้ามาเป็นช้อยส์ เราจะได้ยินคีย์เวิร์ดของแต่ละช้อยส์เลยค่ะ แต่เราต้องฟังให้ดีว่าเค้าหลอกหรือจริง ที่สำคัญมากๆ คือสมาธิค่ะ อยากให้ให้ความสำคัญกะตรงนี้จริงๆ เพราะข้อสอบจะเป็นการฟังต่อเนื่อง 30 นาที ต้องฝึกจดจ่อให้ได้ค่ะ อย่างเราช่วงฝึกทำข้อสอบชอบมีปัญหาฟังแล้วหลุด บางข้อก็ตอบไม่ได้เลยเพราะเสียงเล่นแค่รอบเดียว อีกเรื่องที่ต้องระวัง คือเอกพจน์ พหูพจน์ค่ะ ก็จริงอยู่ที่บางคำตอบไม่จำเป็นต้องเติม s แต่หลายคำตอบจำเป็นต้องเติมค่ะ อยากให้ฟังถึงตัว s ตอนท้ายของคำตอบที่เป็นคำนามแต่ละครั้งดีๆ ด้วย

Reading : พาร์ทนี้ก็เป็นอีกพาร์ทที่เราว่าทุกคนสามารถดันคะแนนให้เยอะๆ ได้ ในพาร์ทนี้จะมี 3 บทความ เพราะฉะนั้นแต่ละบทความต้องใช้เวลาภายใน 20 นาที เราอยากให้ฝึกอ่านบ่อยๆ ค่ะ เพราะการที่จะอ่านบทความเยอะและยาวได้ในเวลาสั้นๆ ถ้าไม่เคยอ่านอะไรเยอะๆ มาก่อน มันจะทำให้อ่านภาษาอังกฤษช้า ที่เราแนะนำก็จะเป็น BBC, The New Yorkers, NY Times, Scientific American, The Atlantic, The Economist จุดประสงค์คือให้อ่านภาษาอังกฤษทุกวัน อ่านข่าวสั้นๆ วันละ 2-3 ข่าว หรืออ่านบทความยาวๆ วันละ 1 บทความก็ได้ค่ะ แต่เน้นความต่อเนื่อง มันจะทำให้เราไม่กลัวและไม่ล้ากับภาษาอังกฤษเป็นพรืดๆ ค่ะ  ส่วนเรื่องท่องศัพท์ พูดตามตรงว่าเราไม่ได้ท่องค่ะ พวกรวมศัพท์ IELTS อะไรแบบนี้ ไม่ได้หาท่องเลย แต่ถ้าเป็นคนศัพท์ภาษาอังกฤษในหัวมีไม่เยอะเลย เราก็แนะนำให้หาท่องนะคะ ยิ่งรู้มากยิ่งดี  แต่มันก็ไม่มีเจาะจงอะค่ะว่าศัพท์ไหนจะออกๆ มันจะกลายเป็นการพัฒนาความสามารถทางภาษาโดยรวมมากกว่า ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพสอบ IELTS ดีขึ้นตามไปอยู่แล้วค่ะ 

เทคนิคพาร์ท Reading : เช่นเดียวกับ Listening ว่าคำถามทุกข้อกับเนื้อหาในบทความจะเรียงกันไปเป็นคู่ขนานไล่ข้อไปได้เลยค่ะ คำตอบของคำถามข้อแรกๆ จะอยู่ช่วงบนๆ เทคนิคที่เราได้จากการลองทำหลายๆ ครั้งคือ เราต้องจับให้ได้ว่าคำถามของเรามันอยู่ตรงส่วนไหนของบทความ เทคนิคที่เราใช้บ่อยคือ สมมติว่าบทความแรก (ข้อ1-13) ข้อ 6-13 เป็นคำถามชนิดเติมคำ มันก็จะมีคีย์เวิร์ดในนั้นที่ทำให้เราจับได้ค่ะว่าพารากราฟไหนที่มีคำตอบ สมมติว่าเป็นพารากราฟที่ 4 เป็นต้นไป แสดงว่าคำตอบของข้อ 1-5 จะต้องอยู่ในพารากราฟที่ 1-3 ค่ะ เทคนิคนี้ทำให้เราไม่ต้องทำข้อสอบเรียงข้อ เราสามารถข้ามไปทำข้อหลังๆ ที่เรา spot คีย์เวิร์ดได้เลย ซึ่งเทคนิคข้อนี้ทำให้โยงไปถึงว่าบางทีเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอ่านบทความทั้งหมดทุกตัวอักษรค่ะ แค่เราต้อง spot ให้ได้ว่าคำตอบของเราจะอยู่ตรงส่วนไหนของบทความ มันจะประหยัดเวลาได้มากๆ อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากคือ ห้ามคิดไปเอง ข้อนี้สามารถใช้ได้กับทั้งคำถามชนิดเติมคำ กับ T/F/NG ค่ะ การเติมคำอย่าไปนั่งคิดคำที่ความหมายเหมือนกันหรือเรียบเรียงคำใหม่เป็น form ใหม่ ในบทความเห็นแบบไหน ตอบแบบนั้นทุกตัวอักษรค่ะ ส่วน T/F/NG บางคนอาจจะมองว่ายาก (เราตอนแรกเหมือนกัน) แต่เทคนิคคือ อะไรที่ไม่พูด ไม่ได้เมนชั่นมาก่อน คือ NG แต่อะไรที่ขัดกันอย่างชัดเจน คือ F ค่ะ อีกเรื่องหนึ่งคือแน่นอนอยู่แล้วว่าจะต้องเจอคำศัพท์แปลกๆ ที่เราแปลไม่ออก หรือประโยคที่อ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าประโยคนั้นคือประโยคที่มีคำตอบ เราอยากให้พยายามแยก Part of Speech ของประโยคนั้นค่ะ อันไหนเป็น noun, adv, adj บางทีเราจะสามารถลองเชื่อมโยงกับคำตอบได้ว่าคำตอบนั้นควรจะเป็น n, v, adj หรือ adv เป็นต้น

Writing : พาร์ทนี้เราคะแนนไม่ค่อยดีด้วยความรู้สึกส่วนตัว คิดว่าดีได้กว่านี้ แต่ส่วนตัว condition ตอนสอบเรามันเกินคาดมากๆ ได้ Task 2 หัวข้อที่ค่อนข้าง abstract และไม่เคยฝึกหัวข้อที่ยากขนาดนี้มาก่อน จนเราก็แก้จนนาทีสุดท้ายของการสอบ แล้วไม่ค่อยเหลือเวลามาตรวจทานแกรมม่าและการสะกดเลย ด้วยพาร์ทนี้ ควรแบ่งเวลาเป็น Task 1 20 นาที / Task 2 40 นาที สิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากๆ คือแกรมม่าค่ะ เราเองไม่แม่นแกรมม่า ตอนก่อนจะมาตะลุย IELTS จริงจัง เราทวนแกรมม่าทั้งหมดก่อน เราใช้หนังสือ English Grammar in Use - Raymond Murphy เป็นการทวนแกรมม่าค่ะ และพาร์ทนี้จะยากถ้าเราฝึกเองเพราะไม่มีฟีดแบค วิธีเช็คแกรมม่าของเราคือเราก็เอาเข้า Grammarly บางทีก็จะผิดจุดเดิมซ้ำๆ จนจำได้แล้วครั้งหน้าก็ไม่ผิดค่ะ ส่วนพวกเรื่องแนวคิดต่างๆ เราแนะนำเว็บ https://www.ieltsbuddy.com/ ค่ะ ตัวอย่างเยอะมากๆ และครอบคลุม ส่วนถ้าฝึกเขียนจากข้อสอบจริงๆ บางทีจะมี model answer ที่บอกว่าตอบเลเวลแบบนี้ ได้แบนด์อะไร อีกเรื่องที่ควรรู้คือ Marking Criteria ค่ะ อยากให้มาอ่านว่าเค้ามีเกณฑ์ในการให้คะแนนยังไง เราจะได้โฟกัสกับแต่ละจุดที่เค้าต้องการถูกค่ะ   ส่วนพวกอธิบาย Task เราดูยูทูปช่อง IELTS Advantage   ค่ะ จริงๆ มีเรื่องอื่นด้วย แต่เราดูพาร์ท Writing ของเค้าค่ะ   สองคลิปนี้ที่พูดถึง Task1 และ Task2 ค่ะ  และเรารู้สึกว่าการสอบ Writing เราควรรู้คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องด้วย คำเชื่อมต่างๆ เราแนะนำเว็บ  IELTS Liz  กับหนังสือ IELTS Academis Task1, Task2 - Ryan Higgins ค่ะ ปกสีแดงกับสีฟ้า  เราอ่านตามนี้ค่ะ 

เทคนิคพาร์ท Writing : ส่วนตัวแล้วคะแนนเราก็ไม่ค่อยดีมากเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยมีอะไรแนะนำ แต่ก็ดีกว่าที่คิดจาก perfomance วันจริง 55555 แต่ว่าอย่าไปเน้นใช้คำศัพท์หรูๆ ที่เราไม่รู้จัก ไม่เคยชินค่ะ พยายามตอบให้ตรงประเด็น ยิ่ง Task 1 เค้าจะซีเรียสมากเรื่องถ้าข้อมูลผิด เพราะมันเป็นอะไรที่เขียนจากแฟคเท่านั้น อย่างเราแนะนำคือควรจะเขียนให้เสร็จภายใน 50 นาทีเลยด้วยซ้ำ เพราะจะได้มีเวลามานั่งเกลาภาษากับแกรมม่า อย่างเราตอนสอบจริงๆ เราไม่ได้มานั่งเกลาเลยค่ะ เสียเวลากับคอนเท้นท์ไปเยอะมาก คิดว่าน่าจะผิดเยอะแน่นอน แต่ที่สำคัญคืออย่าตอบนอกประเด็น ทำตามคำสั่ง คะแนนตรงส่วนของ Task Achievement จะได้ไม่น้อยค่ะ

Speaking : พาร์ทนี้คะแนนเราก็น่าจะดีกว่านี้ได้ เหมือนเดิมค่ะว่าเราควรรู้ Marking Criteria สามารถหาใน Google ได้เลย ซึ่งหนึ่งใน Criteria คือเรื่อง Pronunciation หรือการออกเสียง อันนี้เราโหลดแอพ Elsa มาค่ะ เป็นแอพฝึกภาษาโดยใช้ AI เน้นเรื่องการออกเสียง เราสมัครไปแล้วทำบ้างไม่ทำบ้าง ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าทำมันจะช่วยได้ดีมากเลยค่ะ เพราะเราขนาดทำๆ หยุดๆ ยังรู้สึกเลยว่าหลายปัญหาถูกแก้เลย แหล่งที่เราแนะนำในยูทูปคือ IELTS Daily ไว้ดูคนแบนด์ต่างๆ มาทำ Mock Test ดู แล้วทางช่องเค้าจะวิเคราะห์ให้ฟังด้วยค่ะ เราก็ได้หลายศัพท์สำนวนไปจากช่องนี้เหมือนกัน อีกอันคือช่อง English Speaking Success ดีมากๆ เค้ามีคอร์สด้วยค่ะ เราสมัครไปราคาไม่แพงเลย น่าจะไม่ถึงพันบาทค่ะ แต่จริงๆ Resources เขาก็ดีมากๆ แล้วในช่องยูทูปค่ะ

เทคนิคพาร์ท Speaking : คะแนนพาร์ทนี้เราก็ไม่ค่อยดีค่ะ 555555 แต่ว่าข้อผิดพลาดของเราที่เรารู้ตัวตอนสอบจริง คือคิดคำไม่ออกค่ะ  มันจะทำให้ Fluency ของเราโดนหักคะแนนไป  อีกอย่างที่ทุกคนพูดตรงกันคือ อย่าจำคำตอบไปค่ะ  เช่นพาร์ท 1 ที่จะเป็นคำถามง่ายๆ เบสิค ซึ่งบางทีอาจจะมีซ้ำ ถ้าเราจำคำตอบไป ผู้คุมสอบเขารู้ค่ะ ส่งผลกับคะแนนมากๆ แน่นอน  ให้คิดเหมือนเราไปคุยกับฝรั่งเฉยๆ  พยายามทำให้เป็นธรรมชาติค่ะ แต่ในหัวก็ต้องคำนึงถึง Grammar, Vocab, Pronunciation ไว้ให้เยอะๆ ค่ะ 

Important!  สิ่งที่สำคัญมากคือต้องฝึกทำข้อสอบจริงค่ะ  ซึ่งถามว่าฝึกจากไหน เราบังคับเลยว่าถ้าจะไปสอบ IELTS ต้องลองทำข้อสอบจริงเท่านั้นค่ะ เราไม่แนะนำให้ลองทำข้อสอบที่จำลองโดยเจ้าอื่นนะคะ (โดยเฉพาะ Listening, Reading แต่พวก Writing, Speaking เอาคำถามมาฝึกๆ ได้ไม่เป็นอะไร) ซึ่งทาง Cambridge เขามีหนังสือ  IELTS Academic 16 (เล่มล่าสุด)   หน้าตาตามนี้เลยค่ะ

   

มันคือเล่มที่มีข้อสอบจริงทั้งหมด 4 ชุดด้วยกัน เราแนะนำว่าฝึกทำแบบจับเวลาเสมอค่ะ  แต่ทีนี้หนังสือเซตนี้ก็มีเล่ม 1-16  โดยเล่ม 16 จะเป็นเล่มที่ใหม่ที่สุด  เราแนะนำว่ายิ่งเล่มใหม่ แนวจะยิ่งคล้ายข้อสอบจริงค่ะ จะได้เห็นแนวโน้มลักษณะของคำถามที่มักจะถามในข้อสอบจริง  แต่ว่าถ้าเล่มต่ำกว่า 10 ลงไป แนวข้อสอบจะยิ่งไม่ตรงกับปัจจุบันเท่าไหร่แล้วค่ะ ส่วนตัวเราทำเล่ม 10-16   โดยเก็บเล่มใหม่ที่สุดไว้ช่วงใกล้ๆ สอบค่ะ ส่วนตอนทำข้อสอบ พยายามอย่าพักระหว่าง Listening, Reading, Writing นะคะ เพราะตอนสอบจริง ไม่มีช่วงเว้นให้ค่ะ สอบต่อกันเลย พยายามฝึกตัวเองให้เหมือนอยู่ในสถานการณ์สอบจริงค่ะ  จะได้รู้ตัวเองด้วยว่าล้าประมาณไหนแล้ว

อีกสกิลหนึ่งที่สำคัญมากๆๆ  ต้องทำให้ได้ คือ Paraphrase ค่ะ สกิลนี้จะใช้ในการเขียน Writing ที่เราต้อง Paraphrase โจทย์ให้ได้มากที่สุดในการเขียนตอบหรือเขียน Intro หรือเราต้องอ่านคำถามที่ถูก Paraphrase มาแล้วจากบทความ เพื่อเพิ่มความยากให้กับการ spot  พารากราฟของบทความค่ะ รวมถึงตอน Speaking การทวนคำถามด้วยคำพูดเป๊ะๆ ของคนถามจะทำให้คะแนนไม่เยอะมากค่ะ เราจึงควร paraphrase คำถามเขาตอนที่เราจะทวนตอบ เห็นได้เลยว่าสำคัญมากในข้อสอบ และเป็น Skill จำเป็นสำหรับการสอบ IELTS ค่ะ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้เรื่องนี้มากๆ สามารถหาแหล่งบทความได้เลยจากยูทูป กูเกิ้ลค่ะ 

สรุปเว็บไซต์ ยูทูป  (เฉพาะที่เราดู)

- IELTS Advantages  : มีเว็บไซต์ค่ะ ซึ่งมีทุกพาร์ทเลย เราว่า Resources เว็บนี้ดีมากๆ  เราดูพาร์ท Writing เว็บนี้ค่ะ แต่พาร์ทอื่นไม่ได้ดู ซึ่งส่วนตัวคิดว่าน่าจะดีเหมือนกันค่ะ 
Keith Speaking Academy  : เป็น Resource เรื่องพาร์ท Speaking โดยเฉพาะค่ะ เขามีช่องยูทูปด้วยในชื่อเดียวกัน เราว่าคนนี้เค้าสอนไม่น่าเบื่อ  ให้ฟีลเหมือนครูประถม 55555 เพลินๆ ดี  คอร์สออนไลน์ก็มีค่ะถ้าอยากสมัคร ราคาประมาณพันบาท แต่ในยูทูปก็มีเยอะมากๆ แล้วค่ะ
- IELTS Liz : เว็บฟรีที่มีทุกพาร์ท เราไม่ได้ดูคลิปเค้าค่ะส่วนตัว เรามาดูคำถาม Speaking ที่เค้ารวบรวมไว้ รวมถึงโมเดลคำตอบของพาร์ท Writing ค่ะ 
- IELTS Buddy : อย่างที่บอกไปว่าเป็นเว็บรวมโมเดลคำตอบของพาร์ท Writing ค่ะ มีแยะประเภทคำถามเยอะแยะเลย เราเพิ่งมาดูช่วงท้ายๆ ของการเตรียมตัวสอบเหมือนกัน  แต่จริงๆ เค้ามีทุกพาร์ทของการสอบค่ะ แต่ส่วนตัวดูแค่ Writing ของเค้า
IELTS Daily :  เป็นช่องยูทูปที่เค้าจำลองการสอบ Speaking  ค่ะ แล้วจะมาคอมเม้นท์จุดแข็งจุดอ่อนของคนสอบแต่ละคนให้ฟังเลย เราว่าดูช่องนี้มันจะฝึกได้ทั้ง Listening และ Speaking เลยค่ะ บางทีเค้าเอา Native Speaker มาให้ลองฟังด้วย จะได้เห็นความแตกต่างค่ะ 


Test  Registeration & Test Day

ในประเทศไทยเราสามารถสอบ IELTS ได้กับ 2 ศูนย์ คือ IDP กับ British Council ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์โดยตรงกับ Cambridge ค่ะ  ซึ่งสอบที่ไหนก็จะได้ข้อสอบเหมือนกัน  เน้นเลือกศูนย์สอบที่เราสะดวกเลยค่ะ   โดยข้อสอบ IELTS แบบ Academic จะมีแยกไปอีกว่าจะสอบแบบ Paper Based Test หรือ  Computer Based Test ความต่างกันตามชื่อเลยค่ะ สอบในกระดาษกับสอบในคอมพิวเตอร์ และความเร็วในการประกาศผลจะต่างกัน ส่วนบางคนอาจจะสงสัยตอนเข้าเว็บไปสมัครว่า IELTS UKVI คืออะไร อันนี้คือสอบเพื่อการยื่นคะแนนในประเทศอังกฤษค่ะ ถ้าสอบแบบ UKVI แปลว่าถูกรับรองโดยสถานฑูตอังกฤษแล้วค่ะ ไว้สำหรับการทำวีซ่าอังกฤษ แต่ว่าคะแนน UKVI ก็สามารถใช้ได้ทั่วโลกเช่นกันค่ะ ก็คือสอบ UKVI แต่ยื่นคะแนนที่ไทยก็ได้ค่ะไม่มีปัญหา ราคาจะสูงกว่าแบบปกติประมาณ 600-700 บาท ส่วนตัวเราเลือกสอบแบบ IELTS Academic (UKVI) Computer Based Test ที่ศูนย์สอบ British Council   จามจุรีสแควร์ กรุงเทพค่ะ

การสมัครสอบ IELTS แบบ CBT  ทางเว็บจะให้เราเลือกวันที่เราจะสอบ รวมถึงเวลาได้เอง  โดยจะสอบพาร์ท Speaking คนละสล็อตเวลากับ Listening, Writing  และ Reading  ของเราสอบ  Speaking  ตอนเช้า และที่เหลือช่วงบ่ายค่ะ แต่ทั้งหมดนี้คือวันเดียวกันค่ะ ส่วนตัวถ้าถามเรา เราแนะนำให้สอบแบบคอมมากกว่า เพราะจะมีประโยชน์มากในพาร์ท Writing คือเราไม่ต้องมานั่งนับคำ โปรแกรมมันนับคำให้ค่ะ และ Reading เราไม่ต้องพิมพ์คำตอบเอง สามารถก๊อปจากบทความมาวางได้ในช่องคำตอบเลยค่ะ   และในวันสอบจริง เราจะเอาอะไรเข้าไปไม่ได้เลย ยกเว้นเสื้อกันหนาว และน้ำเปล่าที่แกะฉลากเรียบร้อย เครื่องเขียนทางศูนย์จะเตรียมให้ค่ะ เราไปสอบตัวเปล่าพร้อมบัตรประชาชนได้เลย  

การไปถึงสถานที่สอบ เราแนะนำว่าไปถึงก่อนเวลาเลยค่ะ  ซัก 1   ชั่วโมง เพราะถ้าเข้าสายหรืออะไรแม้จะแค่พาร์ทเดียวที่พลาด ก็ต้องไปสมัครใหม่ค่ะ อย่างเราตอนพาร์ทพูดตอนเช้าเราไปถึงก่อนหนึ่งชั่วโมง นั่งรอแล้วสต๊าฟจะมาขานชื่อค่ะ และขั้นตอนต่อๆ ไป เขาก็จะไกด์ให้เราเอง   ตอนสอบ Speaking ถ้าเราพูดนานเกิน เขาจะบอกเองค่ะไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาเลย คนสอบเค้าจะมอนิเตอร์เวลาแล้วตัดเราเองค่ะ ของเราก็ไม่มีอะไร เข้าไปสอบกับฝรั่งที่พูดสำเนียงบริทิช เราพูดอะไรเขาก็จะเป็นคนคอยหยุดเวลาให้ หรือถ้าน้อยเกินไปเขาก็อาจจะถามช่วยค่ะ  และมาสอบพาร์ทที่เหลือกับคอมช่วงบ่าย ซึ่งจะสอบเป็น Listening, Reading และ Writing ค่ะ ในทุกๆ พาร์ทจะมีการแจกกระดาษและดินสอให้  โดยกระดาษของแต่ละพาร์ทจะเก็บไปหลังจบพาร์ทนั้นๆ ก็คือประมาณว่าเราจดศัพท์ดีๆ จากพาร์ท Reading  กะเอามาเผื่อเขียนใน Writing ต่อ แบบนั้นไม่ได้นะ ตอนก่อนสอบผู้คุมสอบจะมีอธิบายกฎเกณฑ์ต่างๆ ชัดเจนก่อนเริ่มอยู่แล้วค่ะ โปรแกรมที่ใช้สอบก็จะสามารถปรับขนาดตัวหนังสือได้ ปรับสีกระดาษตัวอักษร ไฮไลท์ประโยค เขียนโน้ตใน passage รวมถึงสามารถ Ctrl+C,V ได้ค่ะ และพาร์ท Writing จะมีนับคำอัตโนมัติให้ค่ะ  ไม่ต้องเสียเวลามานั่งนับเองเลย   โดยพาร์ท Lstening พอเทปเล่นหมดแล้ว จะมีเวลาให้เช็คคำตอบทั้งหมด 2  นาที แล้วระบบจะตัดไปเองค่ะ พาร์ท Reading, Writing ก็เช่นกัน ถ้าทำเสร็จแล้วก่อนเวลา ก็ต้องรอระบบตัดไปเองค่ะ ส่วนถ้าทำไม่เสร็จก็คือจะต้องโดนระบบตัดอัตโนมัติค่ะ แต่คำตอบก็เซฟไว้หมดแล้วไม่ต้องกังวลค่า เป็นไปได้พยายามตอบให้ครบทุกข้อนะคะ  ถึงจะไม่มีคะแนนหักก็จริงถ้าเว้นว่างไว้ แต่ยังไงตอบให้หมดไปก่อนก็ดีกว่าแน่นอนค่ะ

Test Result

เราสอบแบบ CBT ซึ่งเค้าบอกไว้ว่าผลจะออก 3-5  วันหลังวันสอบค่ะ ของเรารอ 3  วัน เค้าจะส่งอีเมลมาว่าดูผลได้แล้วนะให้ล็อคอินเข้าไปดู ส่วนผลที่เป็นกระดาษเค้าจะส่งมาให้ที่อยู่เราทีหลังค่ะ เค้าให้ฟรี 1 ชุดก่อน ถ้าอยากได้เพิ่มต้องไปขอค่า  เราได้รับผลทางไปรษณีย์ประมาณ 4-5 วันหลังสอบค่ะ

Conclusion

ตอนแรกเราก็กลัวและกังวลกับการสอบ IELTS มากกก เพราะค่าสอบแพง และเราตั้งใจมากๆ ว่าอยากสอบให้ได้ตามเป้าภายในครั้งเดียว เพราะมันแพง  ไม่อยากจ่ายหลายรอบ 55555555 เรารู้สึกว่าพาร์ท Listening, Writing มันฝึกกันได้ถ้ารู้เทคนิค และเป็นสองพาร์ทที่จะช่วยดันคะแนน Overall Band มากก ดูได้จากเราเลยว่าพาร์ทอื่นเราก็ 5555555  แต่ได้ Overall เยอะเพราะมีคะแนนดึงขึ้น สิ่งที่สำคัญคือสมาธิค่ะสำหรับเรา สำคัญกับทุกๆ พาร์ทเลย ตอนเราฝึกทำเองที่บ้านก็ชอบหลุดๆ เวลาฟัง หรือตอนอ่านอยู่ๆ ก็ใจลอยหลุดไป อ่านไม่รู้เรื่อง คะแนนไม่ตามเป้า แต่ตอนสอบเราดันรู้สึกมีสมาธิมากกว่าตอนฝึกทำข้อสอบเอง เลยทำให้จดจ่อได้มากค่ะ  เราว่าการสอบ IELTS คือการรู้เขารู้เรา รู้ว่าอะไรที่เรามักจะพลาด และจะได้แก้ไขกับจุดนั้นๆ ทันเวลา กับรู้ว่าเขามีเทคนิคอะไรในการตอบ สอบ รวมถึงฝึกข้อสอบจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ จะได้รู้ระดับของเราที่น่าจะเป็นไปได้ในวันสอบจริง  เพื่อการพัฒนาในแต่ละพาร์ทค่ะ

เขียนจบแล้วว หวังว่าประสบการณ์ของเราจะเป็นประโยชน์กับคนที่เตรียมตัวสอบไม่มากก็น้อยนะคะ ถ้ามีคำถามสามารถพิมพ์ถามไว้ในคอมเม้นท์ได้เลยย จะพยายามเข้ามาตอบให้เร็วที่สุดค่า  

 

แสดงความคิดเห็น

>

4 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

เว็บไซต์ Dek-D.com ขอสงวนสิทธิ์ในการงด โพสต์ข้อความซื้อ/ขาย/แลกเปลี่ยน/โฆษณา สินค้าทุกชนิดในเว็บบอร์ด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ใช้งานท่านอื่น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

เว็บไซต์ Dek-D.com ขอสงวนสิทธิ์ในการงด โพสต์ข้อความซื้อ/ขาย/แลกเปลี่ยน/โฆษณา สินค้าทุกชนิดในเว็บบอร์ด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ใช้งานท่านอื่น

Nestor Marcinek 27 เม.ย. 66 เวลา 23:47 น. 4

ขอบคุณมากๆๆ กำลังจะไปสอบเหมือนกัน เพื่อนคนไหนสนใจสอบ ลองดู IELTS BC หรือ IDP นะ

https://www.ielts.org/

https://ielts.idp.com/thailand

https://ielts.idp.com/thailand/th-th

https://ielts.idp.com/thailand/about/what-is-ielts/th-th

https://www.britishcouncil.or.th/exam/ielts


0