Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิวสอบสัมฯ MUIC

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีจ้าาทุกคน จากกระทู้ที่แล้วที่มาบอกว่าใช้เอกสารอะไรยังไงแล้วยื่นเอกสารเป็นยังไง รอบนี้เลยจะมาบอกเกี่ยวกับการสอบสัมภาษย์นะค้าบบบ

จริงๆสอบสัมฯมันผ่านสักพักไปแล้ว จนตอนนี้ก็ประกาศแล้วด้วย แหะๆ
วันที่สอบสัมฯคือวันที่ 7 มิถุนาค่ะ เราลงสมัครไว้สองที่ ที่ธรรมศาสตร์BSI (Bachelor of Services Inovation)เป็นอินเตอร์เหมือนกัน และก็ที่มหิดล (International Hospitality)

สอบสัมฯของสองม.มันชนกันค่ะ ตอนแรกก็เลือกไว้แล้วว่าถ้าไปไม่ทันจะเอามหิดลแล้วสละที่นั่งธรรมศาสตร์ไปเลย
(ธรรมศาสตร์8:30 ที่ท่าพระจันทร์ บ่ายสองที่มหิดล ศาลายา)
แต่ก็ทันค่ะเพราะธรรมศาสตร์สอบสัมฯแค่สองนาที เราก็แบบ เอ๊ะ เร็วไปไหม สัมฯเป็นภาษาอังกฤษเนี่ยแหละ แต่ครูเป็นคนไทย สำเนียงชัดและก็อินเตอร์ใช้ได้
บ่ายสองเราก็มาที่มหิดลเลย ตึกอาทิตยาทร พิมพ์ถูกไหมนะ?
เค้าให้เราขึ้นไปชั้นสาม ยามก็จะบอกเลยว่ารอห้องนี้นะคะ
พอเดินไปถึงใกล้ๆห้องก็มีรุ่นพี่มาเดินด้วยเลย ถามว่าMajor อะไรคะ? เค้าจะให้เราลงชื่อ ให้ฟอร์มมาหนึ่งใบและพาเราไปนั่งในแถวของเรา
คนมาสอบเยอะมากกก เราก็ไม่รู้จักใครเล้ยยยย
จนตอนเรากรอกฟอร์ม อีบร้าาา ชั้นไม่ได้เอาปากกามา!!!

เราก็แบบ ทำไงดีวะ
คนข้างๆเลยยื่นปากกาให้ เค้ายังใจดีถามด้วยนะ เอาเป็นปากกาใช้ได้ไหม ยื่นไอแพดมารองกระดาษให้อีกต่างหาก
เราก็แบบขอบคุณนะ แล้วก็เริ่มคุยกันตามอัธยาศัย
เค้าเป็นคนต่างชาติ คุยภาษาอังกฤษกับเราเนี่ยแหละ เข้าคณะเดียวกันเลย คุยง่าย สำเนียงโคตรชัด พูดเก่งมากกก
สักพักคนที่นั่งในแถวเดียวกันก็เริ่มมา คนที่นั่งข้างเราอีกข้างก็ยืมปากกาคนนี้เหมือนกัน 55+
คนนี้เป็นคนไทยแต่เรียนอินเตอร์มา
รอนานมากกว่าจะได้สอบสัมฯ เค้านัดบ่ายสองกว่าจะได้สอบเกือบบ่ายสาม อาจจะเพราะฝนตกเลยเดินข้ามตึกช้าหรืออะไร แต่รุ่นพี่ใจดีมาก ถือร่มให้ไปรับไปส่งอย่างดี

ตอนก่อนสอบสัมฯ นั่งรอหน้าห้องก็กลัวมาก กลัวจะไม่ติด
แต่พอเข้าไปสอบมีอาจารย์สองท่าน คนหนึ่งเป็นคนจีนส่วนอีกคนเป็นคนแนวๆเอเชีย สำเนียงเหมือนคนฟิลิปปินส์งั้นเหรอ? ไม่แน่ใจ แต่สำเนียงฟังง่ายและชัดมาก ไม่เร็วไป รุ่นพี่ก็บอกว่าเราโชคดี 55+

อาจารย์ก็เริ่มชวนคุย ชื่ออะไรแนะนำตัวเองหน่อย
เราก็เออ ชั้นชื่อXXXนะ เรียกสั้นๆว่า XX ก็ได้ อายุ17แล้ว ฉันมีน้องสาวสองคนและฉันก็เคยไปเรียนอินเดียมาห้าปี

ครูก็ถามต่อเรื่อง ทำไมอยากเรียนคณะนี้ล่ะ เราก็ตอบไปตามตรงว่า เออ เราชอบคุยและได้พบเจอคนใหม่ๆ ฉันชอบคุยกับชาวต่างชาติแปลกหน้าบนบีทีเอสด้วยนะ อาจารย์ก็หัวเราะใหญ่เลย ฉันชอบวิธีที่เค้าใช้คำพูดต่างๆ มันไม่เหมือนกันนะ เธอก็รู้ใช่ไหมว่าคำพูดบางคำที่ให้ความหมายเหมือนกันทำให้คนฟังรู้สึกต่างกันในแต่ละสถานการ์ณ ฉันชอบจุดนี้ของการบริการ ก็พูดๆไป
แล้วก็ถามเราว่าไปเรียนที่อินเดีย อะไรคือประสบการ์ณที่ดีที่สุดที่คุณได้

เราก็บอกว่า จริงๆรร.ของฉันมันเป็นรร.ประจำ มันไม่เหมือนกับรร.ไปกลับหรอกนะ มันทำให้ฉันรู้วิธีปรับตัว อยู่กับคนอื่น ทำให้ฉันรู้จักความแตกต่างของคนและรู้จักพวกเค้ามากขึ้น มันสนุกมากที่ได้รู้ว่าแต่ละคนนั้นแตกต่างและชอบสิ่งต่างๆไม่เหมือนกัน

เค้าถามเราด้วยว่าตอนไปเรียนอินเดียแรกอะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดที่คุณต้องเจอ เราก็แบบอย่างแรกเลยคือภาษา ตอนแรกๆที่ฉันไปที่นั่นฉันจำได้ว่าฉันนั่งกินข้าวคนเดียวและก็ไม่กล้าคุยกับใครเพราะฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ
แล้วก็เรื่องวัฒนธรรมด้วย ศาสนาต่างกันมากเสียจนฉันตกใจ

ก็ถามอะไรเกี่ยวกับอินเดียนิดหน่อย พูดภาษาเค้าได้ไหม ถ้าฉันไปมีที่ๆแนะนำให้ไปเที่ยวไหม ก็ตอบตามที่เรารู้สึก
แล้วในที่สุดก็จบ เค้าถามคำถามสุดท้ายว่า มีอะไรสงสัยหรืออยากจะถามไหม เราก็ตอบว่า การที่ฉันมาเลือกเรียนที่นี่ ฉันอยากรู้ว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดไหม แม่ของฉันเขาสงสัยเกี่ยวกับอนาคตของฉัน

ครูก็บอกว่าที่นี่เป็นมหาลัยฯที่ดี แต่มันก็ขึ้นอยู่กับตัวของคุณด้วย คำตอบของข้อสงสัยของแม่เธอ เธอคือคำตอบอยู่ที่ว่าเธอต้องการจะให้คำตอบเค้าแบบไหน เธอควรจะเลือกสิ่งที่ใจต้องการ อยากเรียนอะไรหรืออยากทำอะไร ในที่สิ้นสุดของวัน คุณก็เป็นคนเลือกเองว่าคุณมีความสุขกับสิ่งที่ทำไหม

เราก็แบบ ฉันจะตั้งใจและแม่ของฉันก็จะรู้เกี่ยวกับคำตอบที่ดีที่ฉันจะมอบให้เธอ


ออกมาจากห้องสอบ นี่หมดแรงเลย ร้องเฮ้ออ ดังมาก พวกรุ่นพี่ก็บอกไม่เป็นไร ผ่านอยู่แล้ว

กลับบ้านมารอผล

ในความรู้สึกของเราการสอบสัมฯของธรรมศาสตร์และมหิดลต่างกันราวฟ้ากับเหว
ตอนเราถามธรรมศาสตร์ว่ามหาลัยฯนี้เน้นการเมืองจริงไหม ครูก็ตอบว่าใช่ นั่นมันเพราะจุดเริ่มต้นของที่นี่มันเน้นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่พอเราถามมหิดลมันให้ความรู้สึกที่แตกต่าง
อาจารย์มหิดลให้เราได้คิดเองและรู้สึกว่าเค้าให้ความสำคัญกับอนาคตเราแม้ว่าเราจะเป็นเด็กที่ยังสอบไม่ติดที่ไหนเลย

ตอนสอบสัมฯที่ธรรมศาสตร์อาจารย์ก็ถามเบสิค แนะนำตัว ทำไมอยากเรียน คิดว่าเรียนแล้วจะเอาไปพัฒนายังไง
แต่มหิดลถามเรื่องเบสิคแล้วยังถามเรื่องเกี่ยวกับตัวเรา ความเป็นมา ความรู้สึก เราคิดว่าอาจารย์ที่นี่ใส่ใจเด็กมาก มันเป็น internal healing สุดๆ รู้สึกดีจากข้างในเวลามีคนใส่ใจเรา

เราเลยว่า โว๊ะอาจารย์ดีขนาดนี้ ไม่ติดรอบนี้ กูก็มาอีกรอบหน้าเว้ยยยย

ท้ายที่สุดเราไม่ผ่านสอบสัมฯที่ธรรมศาสตร์ ซึ่งก็ไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว แต่เราผ่านสอบ MUIC ที่เราต้องการและหวังไว้
เราดีใจมาก แม่ก็บอกว่าตั้งใจเรียนนะ ทุกคนร่วมยินดี
ที่ลุ้นแบบนี้มันไม่ใช่อะไรเลย มันเป็นเพราะเราเรียนจบแค่เกรดสิบและที่บ้านก็ไม่มั่นใจว่าเราจะทำได้ไหม เราสัญญาว่าจะตั้งใจเรียน

พอมาถึงจุดๆนี้รู้สึกขอบคุณทุกๆคนและทุกๆอย่างจริงๆที่ทำให้เรามีวันนี้ ขอบคุณกระทั่งคนที่ร้ายใส่เรา ไม่มีเค้าเราก็คงไม่ดีขึ้นจากคนก่อน

เราไปรายงานตัวในวันถัดมาเพื่อยืนยันสิทธิ์ ซื้อยูนิฟอร์มทางการและธรรมดา เขาให้แฟ้มเรามากรอกที่บ้านและนำไปคืนในวันที่27พร้อมกับสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน มีค่าใช้จ่าย admission fees เป็นจำนวนหนึ่งหมื่นบาท วันที่ 27 มีตรวจสุขภาพด้วย

ถึงจุดๆนี้ ใครที่กำลังสอบเข้า MUIC เทอมหนึ่งรอบสองก็สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ รอบสอบสัมฯอาจารย์จะวัดว่าเราพูดอังกฤษได้คล่องไหมและเรามาถูกทางหรือเปล่า

ขอให้โชคดีนะคะ แล้วมาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน เจออาจารย์ดีๆรุ่นพี่น่ารักๆแถมใจดีอีก

แสดงความคิดเห็น